ตอนที่ 73 หงส์เข้าฝูงหงส์ (2)
เข้าบ้านมา ฟางผิงเอ่ยทักแม่ทันที “แม่ครับ ช่วงนี้ฝากดูฟางหยวนหน่อย อย่าให้ก่อเรื่องอะไร ครั้งก่อนเด็กนี้ขายรูปผม ตอนนี้ยังคิดจะขายเสื้อผ้าผมอีก เสื้อผ้ายังดี ถ้าเป็นกางเกงใน คงขายหน้าแน่ๆ ยังไงแม่ช่วยผมจับตาดูหน่อยแล้วกัน…”
หลี่อวี้อิงได้ยิน ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยทั้งโมโหระคนขบขัน “หยวนหยวน ไม่อนุญาตให้ก่อเรื่อง!”
ฟางหยวนถลึงตามองฟางผิงอย่างขุ่นเคือง “รู้แล้ว ฟางผิงย้ำเป็นร้อยครั้งแล้วค่ะ”
“พี่ชายจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ลูกอย่าเอาแต่ก่อเรื่อง…”
หลี่อวี้อิงตำหนิอยู่พักใหญ่ ในสายตาเธอ นักศึกษาศิลปะการต่อสู้นั้นสูงเกินเอื้อมจริงๆ
เมื่อก่อนแทบไม่กล้าคิด แต่ตอนนี้ลูกชายกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้ว คงไม่อาจให้ลูกสาวก่อเรื่องทำให้ลูกชายเสียหน้าได้
ฟางผิงพูดว่า ‘ขายหน้า’ อันที่จริงเรื่องที่เด็กคนนี้ทำ ไม่ได้คอขาดบาดตายขนาดนั้น
แต่ฟางหยวนยังอายุน้อย ฟางผิงไม่อยากให้เธอเอาแต่หมกมุ่นเรื่องเงินทองมากเกินไป
ตอนนี้ฟางหยวนยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ ช่วงเวลานี้ควรจะเรียนเล่นเป็นหลัก ฟางผิงไม่อยากให้เธอหมกมุ่นเรื่องอื่นจนเดินไป
กำชับกับแม่แล้ว ฟางผิงไม่สนใจแววตาโมโหของน้องสาวอีก ต่อดิ่งขึ้นชั้นสองไป
—
ห้องออกกำลังกาย
ฟางผิงโทรศัพท์หาหวังจินหยางอีกครั้ง
พอติดต่อได้ ก็เข้าประเด็นทันที “พี่หวัง ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าจวงกงพัฒนาค่อนข้างช้าลง ผมทะลวงระดับที่หนึ่งมานานแล้วเหมือนกัน แต่ยังสัมผัสความรู้สึกของยืนตั้งมั่นในระดับที่สองไม่ได้เลย…”
หวังจินหยางเงียบไป
เหล่าหวังพูดไม่ออกอยู่บ้าง นายทะลวงจวงกงระดับหนึ่งมานานแล้ว?
นายเพิ่งจะได้เคล็ดวิชาไปไม่ถึงสองเดือนเอง!
เวลาไม่ถึงสองเดือน จวงกงรวมกับเคล็ดวิชาต่อสู้ ปราณคงจะพุ่งทะลวงขีดจำกัดยิ่งกว่าเดิมแล้ว…
ยังมีหน้ามาบอกว่าใช้เวลานานอย่างนั้นเหรอ?
หวังจินหยางถูขมับ ถามว่า “ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้เป็นยังไงบ้าง?”
“ตอนนี้ผมฝึกแค่การต่อสู้ด้วยขาพื้นฐาน รู้สึกว่ายังพอไหว ผมคุ้นชินกับการรวบรวมและระเบิดพลังแล้ว แต่แรง ‘ประกบ’ นั้น ใช้ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ เตะขาออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่สามารถทำให้กระสอบทรายเคลื่อนไหวตามจังหวะของผมได้”
‘ประกบ’ คู่ต่อสู้ได้ ถือเป็นสัญญาณว่าฝึกพื้นฐานของการต่อสู้ด้วยขาสำเร็จแล้ว
การทำให้คู่ต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกลจากเรา เคลื่อนไหวตามจังหวะเดียวกับเรา เป็นจุดที่ทำยากที่สุด
หวังจินหยางนวดขมับอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ปัญหาเรื่อง ‘ประกบ’ ไม่ต้องรีบ นายสามารถรวบรวมและระเบิดพลังได้ นั่นหมายความว่านายมีความสามารถในต่อการสู้บ้างแล้ว การ ‘ประกบ’ คู่ต่อสู้นั้นต้องมีความสามารถให้ใกล้เคียงอีกฝ่ายด้วย หากคู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่านาย นายคงประกบเขาไม่ได้ และถ้าอีกฝ่ายอ่อนแอกว่า นายไม่มีความจำเป็นต้องประกบเหมือนกัน ปัญหาพวกนี้นายเรียนด้วยตัวเองจะมองไม่ออกอยู่บ้าง อันที่จริงแก่นแท้ของมันยังเกี่ยวข้องกับจวงกง ถ้าจวงกงของนายถึงระดับสอง จะควบคุมร่างกายได้ดีขึ้น พลังรับมือกับคู่ต่อสู้ก็จะมากตาม เวลานั้นถ้านายใช้การ ‘ประกบ’ จะพบว่ามันง่ายขึ้นกว่าเดิม ส่วนเรื่องที่นายอยากจะทะลวง…”
หวังจินหยางทิ้งช่วงเล็กน้อย “ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ยังต้องเตรียมอุปกรณ์เสริม จะทำให้นายทะลวงจวงกงได้ง่ายขึ้น แต่ตอนนี้นายคงหาอุปกรณ์นั้นไม่ได้…เอาอย่างนี้ นายไปซื้อสเกตบอร์ดมา ยืนจวงกงบนสเกตบอร์ด ถ้านายยืนได้นิ่งแล้ว จวงกงระดับสองก็อยู่ไม่ไกลเช่นกัน จุดสำคัญของจวงกงคือการควบคุม ควบคุมร่างกายให้อยู่จุดศูนย์กลาง ควบคุมกล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่าง ให้ร่างกายสามารถเคลื่อนไหวตามความคิดนาย ไม่ใช่ว่าร่างกายเคลื่อนไหวตามต้องการแล้วค่อยสะท้อนคำสั่งกลับสมองนาย…”
หวังจินหยางให้คำแนะนำท่าจวงกงระดับสองคร่าวๆ
พูดมาจนจบ หวังจินหยางอดไม่ได้อยู่บ้าง “พวกนายใกล้จะสอบวิชาวัฒนธรรมแล้ว พอสอบเสร็จก็ต้องเลือกมหาวิทยาลัย จากสถานการณ์ของนาย ถ้าทำคะแนนวัฒนธรรมได้ดีสอบสองมหาวิทยาลัยดังคงไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้นายวางแผนยังไง?”
เจ้าฟางผิงก้าวหน้าเร็วเกินไป?
เวลาไม่ถึงสองเดือน ปราณ กระดูก และร่างกายต่างทะลวงขีดจำกัดของคนธรรมดา
ตอนนี้กระทั่งจวงกงยังใกล้จะทะลวงระดับสอง ส่วนเคล็ดวิชาต่อสู้ แม้หวังจินหยางจะไม่เห็นภาพ แต่รวบรวมพลังและระเบิดพลังได้แล้ว เท่ากับว่าฟางผิงมีพลังที่จะต่อสู้แล้วเช่นกัน
เขากลับหยางเฉิงเดือนเมษายน หวังจินหยางคาดไม่ถึงว่าฟางผิงจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้
เวลานั้นเขาแนะนำฟางผิงให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง ทั้งสื่อเป็นนัยว่าจะดูแลช่วยเหลือฟางผิง หวังจินหยางเองก็มีตำแหน่งในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงอยู่บ้าง
แต่มาตอนนี้หวังจินหยางคิดว่า มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีของฟางผิงเสมอไป
ที่จริงฟางผิงเคยครุ่นคิดเรื่องนี้เหมือนกัน ตอนนี้หวังจินหยางถามขึ้นมา ฟางผิงจึงเอ่ยทันที “พี่หวัง เรื่องนี้ผมยังคิดไม่ตก ผมไม่ค่อยเข้าใจภาพรวมของแต่ละมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ รอผมสอบวิชาวัฒนธรรมเสร็จ ผลคะแนนออกมา ถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนพี่หวังแนะนำผมสักหน่อย…”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ตอนปิดเทอมฤดูร้อน ฉันอาจจะกลับหยางเฉิง ถ้าตอนนั้นคะแนนนายออกแล้ว ฉันจะให้คำปรึกษานายคร่าวๆ นายค่อยตัดสินใจ ไม่ต้องรีบเลือกมหาวิทยาลัย ถ้าฉันไม่ได้กลับไป จะโทรหานายอีกที…”
“ได้ รบกวนพี่หวังแล้ว”
“ไม่ต้องเกรงใจ…” ท้ายที่สุดหวังจินหยางยังอดสงสัยไม่ได้ ไอแห้งออกมาเล็กน้อย
“นี่ฟางผิง ฉันถามได้หรือเปล่า ตอนนี้ปราณนายเท่าไหร่แล้ว?”
เจ้าเด็กนี้ยิ่งรู้จักมากเท่าไหร่ หวังจินหยางยิ่งรู้สึกว่าเขาดูลึกลับมากขึ้นเท่านั้น
ตอนนี้เขาอยากรู้ว่าปราณของฟางผิงเท่าไหร่กันแน่
ฟางผิงลังเลเล็กน้อย ตระหนักว่าพอหวังจินหยางกลับหยางเฉิงมา นัดเจอเขาคงจะมองออกแล้ว ฟางผิงครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “คงจะใกล้หลอมกระดูกรอบที่สองได้แล้ว…”
“…”
เหล่าหวังส่งเสียงหัวเราะออกมา ไม่พูดอะไรต่อก็ตัดสายไปทันที
น่าโมโหชะมัด!
ต้นเดือนเมษายนปราณประมาณหนึ่งร้อยสิบแคล
ไม่นานกินยาผิดเข้าไป ปราณขึ้นมาหนึ่งร้อยยี่สิบแคล
ต้นเดือนพฤษภาคมตรวจปราณได้หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าแคล
ตอนนี้ยังไม่ถึงเดือนมิถุนายน พรุ่งนี้ถึงจะขึ้นเดือนใหม่
เจ้าหมอนี้กลับบอกเขาว่า จะทะลวงจวงกงระดับที่สอง
ปราณนั้นใกล้แตะหนึ่งร้อยแปดสิบแคลแล้ว การต่อสู้ด้วยขาพื้นฐานก็ใกล้จะสำเร็จ นอกจากนี้ยังเตรียมสอบวิชาวัฒนธรรม…
นี่ยังเป็นคนอยู่หรือไง?
หนึ่งวันมียี่สิบสี่ชั่วโมง เขาฝึกอยู่ตลอดเลยเหรอ?
แม้จะไม่เหมือนที่หวังจินหยางคาดเดา แต่ความจริงกลับไม่ต่างกันนัก
ฟางผิงไม่ได้ฝึกวิชาอยู่ตลอด แต่พอค่าปราณและจิตใจของเขาลดลง เขาก็เติมด้วยค่าทรัพย์สินแทนเท่านั้นเอง
คนอื่นๆ ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู
ฟางผิงฝึกวิชาหนึ่งชั่วโมงกลับเทียบเท่าคนอื่นฝึกวิชาหลายวัน
บางวันเขาฝึกกว่าห้าหกชั่วโมง เทียบกับคนอื่นอาจใช้เวลาเป็นเดือนถึงจะได้ผลลัพธ์เท่าเขาด้วยซ้ำ ทุกวันจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
ตอนนี้เขาเริ่มฝึกวิชามาประมาณห้าสิบวันแล้ว
ผลพวงของเวลาห้าสิบวัน เทียบเท่ากับการฝึกเป็นปีสองปีของคนทั่วไป ฟางผิงมีการพัฒนาแบบนี้ ที่จริงไม่นับว่าเกินไปแต่อย่างใด
หวังจินหยางที่ฝึกวิชาในมหาวิทยาลัยไม่ถึงครึ่งปี กลับมีความสามารถก้าวกระโดดยิ่งกว่าฟางผิงเสียอีก
เหล่าหวังคิดว่าฟางผิงไม่ใช่คน ฟางผิงก็คิดว่าเหล่าหวังน่ากลัว เวลาไม่ถึงปีทะลวงขึ้นมาสามขั้น ฟางผิงรู้สึกว่าตัวเองอาจจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทั้งสองคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา ตัวเองยังต้องขยันต่อไป กลับไม่ตระหนักเลยว่า หากคนอื่นรู้ถึงการพัฒนาอันก้าวกระโดดของพวกเขา คงจะก่นด่าบิดามารดาออกมาแล้ว
——————-