ตอนที่ 275 วางมวย

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ถึงแม้เฉิงฉือจะอยากขีดเส้นกั้นกับตระกูลเฉิงให้ชัดเจน แต่ก็ไม่ยินดีให้ญาติพี่น้องร่วมสายเลือดของตัวเองต้องถูกลงทัณฑ์ทั้งตระกูล

เขามองไหวซานและคนอื่นๆ ที่เดินเรียงกันออกไปจากห้องหนังสือ พลางจมดิ่งเข้าสู่ห้วงความคิด

การที่ตระกูลเฉิงถูกลงทัณฑ์ ต้องเป็นความคิดของฮ่องเต้พระองค์ใหม่อย่างแน่นอน ต่อให้มิใช่ความคิดของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ก็คงจะเป็นเพราะฮ่องเต้พระองค์ใหม่ได้รับการยั่วยุจากคนที่มีเจตนา อย่างน้อยฮ่องเต้ในเวลานั้นก็เป็นผู้ตัดสินพระทัยว่าต้องการทำลายตระกูลเฉิงทั้งตระกูล

การดำเนินการของทางการค่อนข้างเชื่องช้าเสมอมา โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างตระกูลเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่กลัวว่า ‘ไม่ว่าไฟป่าจะเผาไหม้เพียงใด แต่เมื่อลมวสันต์โชยมาย่อมเกิดต้นกล้าใหม่ทั่วทุกที่’ กล่าวคือ มีคนมาช่วยคนที่จะถูกกุดหัวออกไป จากนั้นภาระหนี้ก็จะถูกโยนมาไว้บนศีรษะของตัวเอง สร้างศัตรูเอาไว้ในที่ลับให้ตัวเองผู้หนึ่ง แต่จากสิ่งที่โจวเสาจิ่นกล่าวมานั้น ตระกูลเฉิงล้มลงอย่างรวดเร็วยิ่งนัก กระทั่งว่าทรัพย์สินของตระกูลยังไม่ทันได้ถูกตรวจสอบและยึดทรัพย์เลย บุรุษของตระกูลเฉิงก็ถูกกุดศีรษะจนหมดแล้ว

นี่ค่อนข้างจะไม่เป็นไปตามหลักปกตินัก

สำเร็จโทษยกตระกูล แต่ก่อนจะลงโทษก็น่าจะยึดทรัพย์สินของตระกูลก่อน

เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีพระประสงค์ให้คนของตระกูลเฉิงตาย

สาเหตุใดกันที่ทำให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่มีพระประสงค์ให้คนตระกูลเฉิงตายถึงเพียงนั้น

เฉิงฉือลุกขึ้น เดินวนไปมาอยู่ภายในห้องหนังสือ

องค์ชายสี่คือฮ่องเต้พระองค์ใหม่ในอนาคต

องค์ชายสี่ผู้นี้ปกติแล้วเป็นคนที่ไม่โดดเด่นในบรรดาเหล่าองค์ชาย ก่อนหน้านี้เฉิงฉือไม่เคยข้องแวะกับเขามาก่อน

ไปจิงเฉิงคราวนี้ เกรงว่าคงต้องทำความรู้จักองค์ชายสี่ผู้นี้สักหน่อยเสียแล้ว

ว่าเขามีนิสัยเป็นเช่นไร มีงานอดิเรกอะไรบ้าง มีตรงส่วนไหนที่ตระกูลเฉิงอาจไปทำให้เขาขุ่นเคืองหรือไม่ชอบพอพระทัย…เฉิงฉือคิดว่าตนควรต้องไปสืบให้ละเอียดทั้งหมดสักครั้ง โดยเฉพาะพี่ชายใหญ่และพี่ชายรองที่อยู่ที่จิงเฉิง หลายปีมานี้ทำอะไรบ้าง คนที่ผูกมิตรหรือข้องแวะด้วยเป็นคนเช่นไร รวมถึงที่ปรึกษาและผู้ช่วยข้างกายพวกเขา ล้วนต้องตรวจสอบให้ละเอียดสักครั้งหนึ่ง

ทางด้านของท่านอารอง…ก็ต้องตรวจสอบด้วยเช่นกัน

นี่ต้องใช้คนเป็นจำนวนมาก

ควรจะดึงพรรคกระยาจกมาร่วมด้วยดีหรือไม่

สายข่าวของพวกเขารวดเร็วที่สุดแล้ว

จางต้าหนิวเป็นหัวหน้าพรรคกระยาจกทางใต้ ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นหัวหน้าพรรคกระยาจกทางเหนือ เรื่องนี้มอบหมายให้ฉินจื่ออันไปจัดการดีที่สุด

ส่วนเรื่องไปอยู่จิงเฉิงสักระยะหนึ่งนั้น…รอให้เฉิงเจียซ่านกับหญิงสาวตระกูลหมิ่นหมั้นหมายกัน ไม่มีผู้ใดมาเอาเปรียบเสาจิ่นได้แล้วค่อยไปจะดีที่สุด เช่นนี้เขาก็จะได้ไปอยู่จิงเฉิงได้อย่างสบายใจด้วย

พอคิดมาถึงตรงนี้ เขานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะหนังสืออีกครั้ง เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้ฉินจื่ออันส่งไปที่เขาจงหนาน “…ขอให้พระอาจารย์อวิ๋นเฮ่อจื่อช่วยแนะนำให้เจ้ารู้จักกับคนของพรรคกระยาจกทางเหนือ”

ฉินจื่ออันรับจดหมายไปใส่ไว้ในแขนเสื้อเงียบๆ

เฉิงฉือถามเขา “บาดแผลของจี๋อิ๋งเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”

“ภายในครึ่งปีนี้ห้ามต่อสู้กับผู้ใดจะดีที่สุดขอรับ”

เฉิงฉือพยักหน้า เป็นสัญญาณให้เขาออกไปได้

ไหวซานมาขอพบอยู่หน้าประตู

เฉิงฉือให้เขาเข้ามา

ไหวซานกล่าว “เมื่อครู่ป้าซางบอกข้าว่า ตอนที่พวกเราออกไปข้างนอกนั้นคุณหนูรองมักจะมาสืบข่าวของท่านที่เรือนหลีอินบ่อยๆ อีกทั้งคุณหนูรองยังเฉลียวฉลาด ป้าซางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก นางถามว่าให้แม่นางจี๋อิ๋งรั้งอยู่ที่บ้าน อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูรองได้หรือไม่ อย่างไรเสียช่วงนี้แม่นางจี๋อิ๋งก็ต่อสู้กับผู้ใดไม่ได้…”

“ได้!” ไม่รอให้เขาพูดจบ เฉิงฉือก็กล่าวเข้าประเด็นก่อนว่า “ที่กลุ่มเดินสมุทรไปสร้างความวุ่นวายให้ตระกูลจี้ในครั้งนี้ เดิมทีข้าไม่เห็นด้วยให้จี๋อิ๋งออกหน้า แต่นายท่านใหญ่ของตระกูลจี้ยืนกรานว่าต้องการทดสอบฝีมือของจี๋อิ๋ง ข้าจึงไม่อาจขัดขวาง ในเมื่อตอนนี้ตระกูลจี้ก็รู้ระดับฝีมือของจี๋อิ๋งแล้ว ต่อไปเรื่องข้างนอกพวกนั้นก็ไม่ต้องให้จี๋อิ๋งเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยอีก ให้พักฟื้นอยู่ที่บ้าน ไม่แน่ว่าวิชาดาบของนางอาจจะรุดหน้ามากขึ้นก็เป็นได้”

“ขอรับ!” ไหวซานขานรับคำอย่างนอบน้อม แล้วถอยออกไป

ภายในห้องจึงเงียบเชียบขึ้นมา

ลมพัดพาให้ใบไม้ส่งเสียงดังซู่ๆ

เฉิงฉือเดินไปที่หน้าต่าง

กิ่งก้านใบของต้นไม้ที่เรือนหลีอินอุดมสมบูรณ์ สีเขียวเข้มมันวาว เขียวอ่อน เขียวอ่อนแกมเหลือง เขียวเข้ม…สีเขียวทุกประเภทมารวมอยู่ด้วยกัน สดชื่นเต็มตายิ่งนัก

ทันใดนั้นในห้วงความคิดของเขาพลันปรากฏภาพโจวเสาจิ่นหยีดวงตาโตสีดำสลับขาวขณะแอบมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าประตูห้องเขาขึ้นมา

มุมปากของเฉิงฉือยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่

เย็นนี้ไปรับมื้อเย็นกับเด็กผู้นั้นก็แล้วกัน

จะได้ไปดูเรือนฝูชุ่ยที่นางพักอยู่ด้วยสักหน่อย

ไม่รู้ว่าซางมามาได้ตกแต่งเรือนฝูชุ่ยตามที่เขาสั่งเอาไว้หรือไม่

เขาคิดพลางเดินไปที่ชั้นวางของมีค่าที่อยู่ข้างๆ หยิบกล่องไม้จันทน์สีแดงกล่องหนึ่งออกมา

หลังจากที่ซื้อรูปแกะสลักองค์กวนอิมกลับมาจากถนนจือจิ่นในวันนั้นเขาก็ส่งไปให้วัดกันเฉวียนทำพิธีเบิกเนตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดิมทีตั้งใจว่าจะเอาไปวางไว้ที่ห้องพระเล็กเลย แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากเกิดเรื่องของเฉิงอี้แล้ว มารดาจะใช้โอกาสนั้นไปรับตัวเด็กผู้นี้มาแล้ว เขาจึงยังไม่ทันได้นำไปวาง

ประเดี๋ยวก็ส่งไปให้นางก็แล้วกัน

นางต้องดีใจมากเป็นแน่

เฉิงฉือปัดกล่องไม้จันทน์สีแดงที่ไร้ฝุ่นนั้นเบาๆ

***

โจวเสาจิ่นรีบกลับไปที่เรือนฝูชุ่ยอย่างรวดเร็ว

ตัวยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานผสมปนเปไปกับเสียงนกร้องน่าฟังดังออกมาจากเรือนฝูชุ่ย

โจวเสาจิ่นประหลาดใจเป็นอย่างมาก

เรือนหานปี้ซานไม่ปลูกดอกไม้ ยิ่งเป็นไปได้ยากที่จะเลี้ยงนก

ก่อนที่นางจะไปเรือนหลีอิน ก็ได้ยินเสียงนกร้อง ยังคิดว่าเป็นนกจากที่ไหนที่ผ่านทางมา จึงไม่ได้ให้ความสนใจนัก…เวลานี้ได้ยินเสียงนกร้องอีกครั้ง นางใจเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่ รีบเดินเข้าไปอย่างรีบร้อน

มีสาวใช้กลุ่มหนึ่งยืนล้อมวงอยู่ใต้ซุ้มองุ่น

เสี่ยวถานสังเกตเห็นโจวเสาจิ่นเป็นคนแรก ร้องเรียก “คุณหนูรองเจ้าคะ” อย่างยินดีเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่เอาของฝากกลับมาฝากท่านเจ้าค่ะ!”

เสียงของนางยังไม่ทันขาดหาย บรรดาสาวใช้ที่ล้อมวงกันอยู่ก็ทยอยกระจายตัวออก เปิดทางให้โจวเสาจิ่น

เพียงมองครั้งเดียวโจวเสาจิ่นก็เห็นกรงนกสีแดงสดวางอยู่บนโต๊ะหิน

ผ้าคลุมกรงนกสีน้ำเงินเหลือบทองนั้นถูกเลิกขึ้นมา ลูกนกสีเหลืองคู่หนึ่งกำลังกระโดดไปกระโดดมาอยู่ในกรง ส่งเสียงร้องไม่หยุด ทั้งมีชีวิตชีวาและน่ารักน่าเอ็นดู

“นี่คือของขวัญที่ท่านน้าฉือมอบให้ข้าหรือ” โจวเสาจิ่นซาบซึ้งใจ ถามขึ้นอย่างไม่กล้าเชื่อเล็กน้อย

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ อย่างอิจฉา “เป็นพ่อบ้านฉินนำมามอบให้ด้วยตัวเอง ไม่น่าจะผิดพลาดเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปใกล้ๆ ลูกนกสีเหลืองทั้งสองตัวต่างส่งเสียงร้องพร้อมกับโฉบลงมาเกาะบนขื่อที่อยู่กลางกรงนก หันมาร้องเสียงหวานน่าฟังให้นาง

ปี้เถาร้องขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูรอง พวกมันต้องกำลังร้องเพลงให้ท่านฟังอยู่เป็นแน่เจ้าค่ะ!”

โจวเสาจิ่นเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

นางชอบของขวัญชิ้นนี้ยิ่งนัก ยื่นมือออกไปลูบหัวของลูกนกทั้งสองตัวที่มีซี่ลูกกรงขวางอยู่เบาๆ ลูกนกทั้งสองตัวกระโดดโลดเต้นอย่างมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าให้น้ำให้อาหารพวกมันหรือยัง”

“ให้แล้วเจ้าค่ะ” ชุนหว่านรีบชี้ไปที่ถ้วยอาหารเล็กๆ สองใบภายในกรงนก “ใบหนึ่งสำหรับบรรจุอาหาร อีกใบหนึ่งสำหรับบรรจุน้ำเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นเพ่งสายตามอง ถ้วยอาหารสองใบนั้นแกะสลักมาจากหยกเหอเถียนสีขาว

นางอดไม่ได้หัวเราะขบขันออกมาครั้งหนึ่ง ถามขึ้นว่า “พวกเจ้ามีใครเลี้ยงนกเป็นหรือไม่”

ชุนหว่านเม้มปากยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่ไม่เพียงส่งนกมาให้เท่านั้น ยังส่งบ่าวชายมาให้ท่านผู้หนึ่งด้วยเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโต

มีเสียงตุ้บเสียงหนึ่งดังขึ้นบ่าวชายอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบผู้หนึ่งก็คุกเข่าลงตรงหน้านาง กล่าวโดยไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นว่า “คุณหนูรอง บ่าวรับคำสั่งมาจากท่านสี่ ต่อไปจะอยู่เลี้ยงนกคู่นี้ที่เรือนฝูชุ่ยขอรับ”

โจวเสาจิ่นมองบ่าวชายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นครั้งหนึ่ง แล้วก็มองถ้วยอาหารหยกเหอเถียนสีขาวที่อยู่ในกรงนกนั้นครั้งหนึ่ง ยิ้มแห้งสองครั้ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เจ้าชื่ออะไร ลุกขึ้นมาคุยกันดีๆ เถิด!”

บ่าวชายลุกขึ้นมาอย่างหวาดกลัว กล่าวรายงานว่า “บ่าวชื่อเสี่ยวเชวี่ย[1] นายท่านสี่บอกว่า เช่นนี้จำง่ายดีขอรับ!”

โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก

กำลังคิดจะสอบถามประวัติของบ่าวชายอีกสักหน่อย ทว่าเสวี่ยฉิวที่ไม่รู้ว่ากระโดดออกมาจากที่ใด พุ่งเข้าหากรงนกกรงนั้นพร้อมกับเห่าอย่างบ้าคลั่ง

ลูกนกสีเหลืองทั้งสองตัวยิ่งแล้วใหญ่ตกใจจนกระโดดพล่านไปทั่วกรง

เสี่ยวเชวี่ยรีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง สุนัขกับนกไม่ถูกกันโดยธรรมชาติ ข้าช่วยท่านอุ้มสุนัขตัวนี้เอาไว้ดีหรือไม่ขอรับ!”

“ไม่เป็นไร!” โจวเสาจิ่นอุ้มเสวี่ยฉิวเอาไว้ กล่าวขึ้นว่า “ต่อไปเจ้าคอยระวังเอาไว้สักหน่อย อย่าปล่อยให้เสวี่ยฉิวทำให้ลูกนกนี้ตกใจกลัวก็พอ”

เสี่ยวเชวี่ยยิ้มพลางขานรับว่า “ขอรับ”

โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านนำกรงนกไปแขวนไว้ที่ข้างหน้าต่างในห้องชั้นใน

ชุนหว่านกล่าวยิ้มๆ ว่า “มิใช่ว่าควรจะแขวนลูกนกไว้ที่โถงทางเดินหรือเจ้าคะ เมื่อก่อนข้าเห็นคนเลี้ยงนก ล้วนแขวนเอาไว้ที่โถงทางเดินเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นไม่เคยเลี้ยงนกมาก่อน จึงไม่รู้

แต่นางคิดว่าหากภายในห้องมีลูกนกสีเหลืองสองตัวนี้อยู่ด้วย จะดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเชวี่ยผู้นั้นเป็นคนที่สังเกตสีหน้าคนเก่งมากผู้หนึ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “นกชนิดนี้เข้ากับคนได้ดี เลี้ยงเอาไว้ที่ไหนก็ดีทั้งนั้นขอรับ หากคุณหนูรองคิดว่าเลี้ยงเอาไว้ภายในห้องดีกว่า เช่นนั้นก็เลี้ยงไว้ภายในห้องก็ได้ เพียงแต่ต้องรบกวนพี่สาวให้อาหารมันตามเวลาด้วยขอรับ”

คนเลี้ยงนกอย่างเสี่ยวเชวี่ยกล่าวเช่นนี้แล้ว ชุนหว่านจึงไม่กล้ากล่าวอะไรอีก

นางยิ้มพลางกล่าวอย่างสุภาพไปหลายประโยคทำนองว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” และ “ข้าจะให้อาหารมันตามเวลาอย่างแน่นอน” จากนั้นนำกรงนกไปแขวนไว้ที่ข้างหน้าต่างภายในห้องชั้นในของโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นบอกให้ชุนหว่านเปิดหน้าต่างออก “เช่นนี้มีลมโกรก ลูกนกเองก็จะได้สบายตัวขึ้นบ้าง”

ชุนหว่านและคนอื่นๆ หัวเราะขึ้นมาอีกครั้งขณะเดินไปเปิดหน้าต่าง

เสวี่ยฉิวนอนซบอยู่ในอ้อมกอดของโจวเสาจิ่นอย่างเชื่อฟัง

โจวเสาจิ่นเห็นเช่นนั้นจึงวางเสวี่ยฉิวลงบนพื้น

เสวี่ยฉิวร้องครวญครางขณะถูไถชายกระโปรงของโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก รับกิ่งไม้จากมือของเสี่ยวเชวี่ยไปหยอกล้อเล่นกับลูกนกสีเหลืองสองตัวนั้น

ภายในลานบ้านมีต้นไม้สูงชะลูดสีเขียวชอุ่ม บนบันไดมีดอกโบตั๋น ลูกนกส่งเสียงร้องอย่างเบิกบาน ในใจของโจวเสาจิ่นราวกับมีดอกไม้เบ่งบานก็ไม่ปาน

ทว่าเสวี่ยฉิวกลับพุ่งเข้าหาลูกนกพร้อมกับเห่าใส่อย่างบ้าคลั่ง

โจวเสาจิ่นได้แต่อุ้มมันขึ้นมา

มันสงบลง

แต่พอโจวเสาจิ่นไปหยอกล้อลูกนกสองตัวนั้น มันก็จะเห่าโฮ่งๆ ขึ้นมาอีก เห่าจนผู้คนต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไปหมด แต่พอโจวเสาจิ่นอุ้มมันเข้าไปอยู่ในอก มันก็จะสงบลงมาอีก

ชุนหว่านและอีกหลายคนกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “คงมิใช่ว่าเสวี่ยฉิวกำลังหวงท่านอยู่หรอกกระมัง”

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน วางเสวี่ยฉิวลง

มันก็เห่าขึ้นมาอีก

ทำเช่นนี้ซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง แล้วก็เป็นอย่างที่ชุนหว่านพูดเอาไว้จริงๆ

ขอเพียงโจวเสาจิ่นไม่ไปหยอกล้อเล่นกับลูกนกสองตัวนั้น เสวี่ยฉิวก็จะนั่งมองโจวเสาจิ่นอยู่ข้างๆ อย่างเชื่อฟัง แต่ถ้าโจวเสาจิ่นไปหยอกล้อเล่นกับลูกนกสองตัวนั้น มันก็จะเห่าขึ้นมาไม่หยุด

ทุกคนต่างหัวเราะดังลั่น

เสียงหัวเราะของคน เสียงนก และเสียงสุนัขของเรือนฝูชุ่ยดังมาให้ได้ยินอย่างไม่ขาดสาย

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ ประเดี๋ยวก็เสียงสุนัขเห่าประเดี๋ยวก็เสียงนกร้อง เจ้าสี่ส่งอะไรไปให้ที่เรือนฝูชุ่ยใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นที่เรือนฝูชุ่ยไม่น่าจะอึกทึกครึกโครมจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้กระมัง”

ปี้อวี้รีบกล่าวขึ้นยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าส่งลูกนกสีเหลืองไปให้สองตัว เสียงร้องน่าฟังยิ่งนักเจ้าค่ะ”

“อ้อ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเกิดความสนใจขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “พวกเราก็ไปดูสักหน่อยเถิด”

ปี้อวี้และอีกสองสามคนเดินล้อมหน้าล้อมหลังฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปที่เรือนฝูชุ่ย

คนในเรือนฝูชุ่ยกำลังหยอกล้อเสวี่ยฉิว ทุกคนต่างหัวเราะกันจนตัวงอ

เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้ามา หลังจากที่โจวเสาจิ่นทำความเคารพแล้ว รีบเล่าเรื่องเสวี่ยฉิวและลูกนกสีเหลืองสองตัวนั้นให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง “…ผู้อื่นไปเล่นกับลูกนกสองตัวนั้นไม่เป็นไร ข้าเพียงคนเดียวที่ไปเล่นด้วยไม่ได้ หากไปเล่นด้วยเสวี่ยฉิวก็จะเห่าเสียงดังขึ้นมา เห่าจนผู้คนต่างหวาดกลัวไปหมดเจ้าค่ะ”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่า ให้โจวเสาจิ่นอุ้มเสวี่ยฉิวเอาไว้ ส่วนตัวเองไปหยอกล้อเล่นกับนก

เสวี่ยฉิวหลุบตาลง ไม่สนใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลยสักนิด

จนกระทั่งตอนที่โจวเสาจิ่นไปหยอกล้อเล่นกับนก เสวี่ยฉิวก็ร้อนรนขึ้นมา

“น่าสนใจยิ่งนัก!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหยอกล้อเล่นกับเสวี่ยฉิวและลูกนกสีเหลืองสองตัวนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า หัวเราะจนควบคุมตัวเองไม่ได้ “ี่ช่างเจริญตาเจริญใจยิ่ง สุนัขของเจ้าตัวนี้วางมวยกับลูกนกเสียแล้ว”

โจวเสาจิ่นยิ้มแหย ได้แต่ส่งสุนัขให้เสี่ยวถาน กล่าวขึ้นว่า “ต่อไปเจ้าพามันออกไปวิ่งเล่นให้มากสักหน่อย”

เสี่ยวถานยิ้มร่าขณะอุ้มสุนัขเดินถอยออกไป

…………………………………………………………….

[1] เชวี่ย นกกระจอก