บทที่ 977+978 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 977 มิขบขันไปชั่วชีวิตหรือ?!
ถึงแม้เขาจะชอบแสดงบทบาทสารพัด แต่โฉมหน้าที่แท้จริงไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย เขาใช้พลังวิญญาณปรับเปลี่ยนเอาทั้งนั้น การหดเล็กลงเช่นนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์! ทำให้เขาหมดคำพูดยิ่งนัก
ผู้อื่นเจ็บป่วยสามารถไปหาเซียนแพทย์ได้ แต่ตัวเขาที่จู่ๆ ก็มีสภาพเช่นนี้กลับไปหาผู้ใดไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่านอกจากสี่ทูตข้างกายเขาแล้ว เขาไม่อาจบอกผู้ใดได้
ฐานะของเขาแขวนอยู่จุดนั้น หากปล่อยให้ผู้อื่นทราบว่าพลังวิญญาณของเขาสูญหายไปมหาศาล เกรงว่าจะดึงดูดให้เกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงขึ้นบนโลกนี้ในทันใด! ผู้บงการอยู่เบื้องหลังรายนั้นต้องรีบก่อสงครามนองเลือดขึ้นเป็นแน่ แผนการทั้งหมดของเขาก็จะพังพินาศด้วย…
เรื่องราวพัวพันใหญ่โต เขาไม่อาจเสี่ยงได้ ดังนั้นแผนของเขาคือรักษาตัวเองให้หาย บนโลกนี้ยังจะมีหมอคนใดที่เลิศล้ำไปกว่าเขาอีกเล่า? ดังนั้นเขาเลยไม่มีความจำเป็นที่ต้องเปิดเผยสาเหตุที่ตนป็นเช่นนี้
เดิมทีเขานึกว่าสภาพเช่นนี้จะไม่คงอยู่นานนัก มากสุดเดือนสองเดือนเขาก็กลับไปเป็นปกติแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าผ่านไปครึ่งปีแล้วเขายังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ เขาใช้ทุกวิถีทางแล้วกลับไม่เติบโตขึ้นเลยสักนิด!
ยามนี้จู่ๆ แสงสีรุ้งก็ผุดออกมาจากร่าง หมายความว่าเขากำลังฟื้นฟูสู่สภาพเดิมใช่หรือไม่?!
หัวใจเขาเต้นกระหน่ำ ขณะนี้รู้สึกเพียงว่าเลือดลมในจุดตันเถียนเสมือนเดือดพล่าน อาการตรงข้ามกับยามที่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกหนก่อน เขามั่นใจยิ่งขึ้นว่าตนกำลังจะกลับสู่สภาพเดิม ด้วยเหตุนี้เขาจึงนั่งสมาธิทันที…
หลังจากแสงสีรุ้งหมุนวนรอบกายเขาประมาณสองรอบ ในที่สุดก็หยุดนิ่งแล้วสลายหายไป
เขาลืมตาขึ้นมา แต่พอมองเห็นมือตนชัดๆ ร่างกายก็สั่นสะท้านทันที สั่นจนแทบหล่นจากต้นไม้!
มือของเขา…หดเล็กลงไปอีก!
เขาตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ล้วงกระจกออกมาจากร่างแล้วส่องดู จากนั้นก็ได้รับความสะเทือนใจจนสั่นสะท้านอีกครา!
เขารู้สึกว่าคราวก่อนที่เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกร่างกายหดเล็กจนอยู่ในวัยสิบห้าปีคือความบัดซบถึงขีดสุดแล้ว คาดไม่ถึงว่ายังมีที่บัดซบยิ่งกว่าอีก! ยามนี้รูปลักษณ์ของเขาเหมือนเด็กน้อยอายุแปดเก้าขวบ!
เขาค่อยๆ เก็บกระจกกลับไปสะบัดเสื้อคลุมตัวน้อยบนร่าง เคราะห์ดีที่เสื้อคลุมตัวนี้สามารถยืดหดได้ตามรูปร่างของผู้ใส่ มิเช่นนั้นเสื้อคลุมตัวนี้น่าจะพันขาจนสะดุดล้มได้!
เขานั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าน้อยๆ ฉายแววซับซ้อนอยู่บ้าง
แผนเดิมของเขาคือหลังจากจัดการเรื่องราวที่นี่เสร็จเรียบร้อย ก็จะไปสมทบกับกู้ซีจิ่ว ยามนี้เมื่อเขาเห็นสภาพเด็กชายตัวน้อยน่าเอ็นดูของตน ก็ไม่อยากไปแล้ว!
ตอนที่ใช้สภาพของอิงเหยียนนั่วไปพบนาง เขาก็รู้สึกอึดอัดคับข้องอยู่บ้าง ปลุกปลอบตัวเองอยู่หลายครั้ง ถึงทำหน้าหนาเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้ จากนั้นก็ติดหนึบอยู่ข้างกายนางปานแผ่นยาหนังสุนัข ยังพอกล่าวปลอบใจตนอยู่ในใจได้ เมื่อก่อนค่อนข้างริษยาสหายร่วมเรียนของนาง สามารถอยู่กับนางทั้งวันทั้งคืนได้โดยไม่ต้องหาข้ออ้างมากมายปานนั้น ยามนี้ในที่สุดก็สามารถฝึกวรยุทธ์ร่วมกับนางอย่างเปิดเผยชอบธรรมได้ และนับเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่สวรรค์จอมบัดซบชดเชยให้เขา
แต่ยามนี้กลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เขาจะใช้ฐานะใดไปอยู่ข้างกายนางได้อีก?
น้องชายของนางหรือ?!
หากนางทราบตัวตนที่แท้จริงของเขา มิขบขันไปชั่วชีวิตหรือ?!
เมื่ออิงเหยียนนั่วจินตนาการถึงฉากนั้นก็รู้สึกว่าในใจเกิดเงามืดขึ้น!
ถึงแม้หนังหน้าเขาจะหนาพอแต่จะให้เขาไปพบนางด้วยสภาพปัจจุบันนี้ยังคงเป็นการท้าทายสามมุมมองของเขาอยู่บ้าง เขาต้องค่อยเป็นค่อยไป คิดว่าจะทำอย่างไรดูอีกที
ลมหนาวพัดพาเสื้อคลุมตัวน้อยของเขาให้ปลิวไสว และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่สัมผัสถึงความหนาวเหน็บของฤดูหนาวได้
เขานั่งใคร่ครวญอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เหลือบมองสนับข้อมือบนข้อมือตนคราหนึ่ง สนับข้อมือนี้ดูธรรมดายิ่งนัก แท้จริงแล้วคือกำไลคู่บุพเพที่เขาใช้พลังวิญญาณอำพรางรูปลักษณ์เดิมไว้ คนอื่นจะเห็นเป็นสนับข้อมือหนังสัตว์ ทว่าตัวเขาเองเห็นเป็นกำไลคู่บุพเพ
————————————————————————————-
บทที่ 978 ระยะนี้นายท่านเป็นอะไรไป?
เขาสามารถสัมผัสผ่านทางกำไลคู่บุพเพวงนี้ได้ว่ายามนี้นางปกติดี ไม่มีอันตรายใด
บนท้องนภาที่อยู่ห่างออกไปไกลมีเสียงต่อสู้ดุเดือดแว่วมาเขายกมือป้องตามองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นกู้ซีจิ่วล่อสัตว์ร้ายสองตัวนั้นให้ไปโจมตีโฉมงามขี่เจียวนางนั้นเข้าพอดี…
นางมีวิชาเคลื่อนย้ายติดตัว ไม่ได้พบพานอันตรายถึงชีวิตจริงๆ และไร้ความจำเป็นที่เขาต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงไปช่วยเหลืออีก
เขาถอนหายใจเบาๆ รู้สึกว่าตนเหมือนเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ[1] ของกู้ซีจิ่วอยู่บ้าง
ไม่ว่าเขาจะเข้าใกล้นางด้วยตัวตนใด ล้วนคล้ายว่านางไม่ได้วางเขาไว้เป็นอันดับหนึ่งทั้งสิ้น เขารู้สึกว่าในสายตาของนางแล้วความสำคัญจิ้งจอกน้อยตัวนั้นยังมากกว่าตนเสียอีก
หากว่าอิงเหยียนนั่วหายไปเช่นนี้ นางอาจไม่เก็บมาใส่ใจสักเท่าไหร่ เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปพบนางอีก
ตนคงต้องหาทางกลับวังนภาเลือกไปกักตนบำเพ็ญอย่างจริงจังแล้ว สภาพเช่นนี้ไม่อาจพบน้าผู้คนได้จริงๆ!
จะว่าไปก็แปลก เมื่อครู่เขาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากมายยิ่ง ยามที่เพิ่งกระโดดขึ้นมาบนต้นไม้แม้แต่มือเท้าก็อ่อนแรงไปหมด ยามนี้ร่างกายหดเล็กลงอีก แต่พลังวิญญาณในร่างกลับกระปรี้กระเปร่ากว่าเมื่อครู่ไม่น้อย ร่างกายก็มีเรี่ยวแรงบ้างแล้ว ไม่อ่อนระโหยโรยแรงถึงเพียงนั้นอีก
เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นคล้ายจะสัมผัสถึงบางอย่างได้ กวาดสายตามองไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างเฉื่อยชา “มู่อวิ๋น ไสหัวออกมา!”
กิ่งก้านของไม้ใหญ่ต้นนั้นโยกไหวคราหนึ่ง ทูตมู่อวิ๋นผู้หล่อเหลาองอาจที่สุดในบรรดาสี่ทูตที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้น ยามนี้นัยน์ตาเรียวรีมีเสน่ห์ของเขาเบิกกว้างยิ่งกว่าลูกตาวัว วาจาก็เอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ “นะ…นายท่าน?”
อิงเหยียนนั่วในยามนี้แน่นอนว่าเป็นตี้ฝูอี เขายกมือหนึ่งขึ้นเทาคาง เหลือบมองมู่อวิ๋นด้วยร้อยยิ้ม “มู่อวิ๋น เจ้ามาช้านะ! ช้าไปหนึ่งเค่อ”
บัดนี้เสียงวาจาที่เขาเปล่งออกมาก็เป็นเสียงเด็กผู้ชาย สุ้มเสียงจึงนุ่มนวลยิ่ง ทว่ามู่อวิ๋นกลับหนาวสะท้าน กระโดดลงมาจากต้นไม้เสียงดังตุ้บ โขกศีรษะอยู่ใต้ต้นไม้ของตี้ฝูอี “นายท่าน ข้าน้อยมาสาย! สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง!”
โอ้สวรรค์ นายท่านกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่! เป็นความผิดของเขา เขาควรจะมาให้เร็วกว่านี้…
ในใจของมู่อวิ๋นรู้สึกผิดอย่างยิ่ง คุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“คนอื่นล่ะ?” อิงเหยียนนั่วถามอย่าเอื่อยเฉื่อย
“เรียนนายท่าน มู่เตี่ยนสะกดรอยตามผู้อาวุโหลงไปน่าจะส่งข่าวมาในเร็วๆ นี้ มู่เฟิงอยู่ระหว่างเดินทางมา ได้รับสมุนไพรมาแล้ว มู่เหล่ยไปแจ้งให้พวกอาจารย์ใหญ่กู่ทราบ น่าจะใกล้ถึงแล้วเช่นกันขอรับ…” มู่อวิ๋นรายงานอย่างเป็นการเป็นงาน
ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ “พาหนะของข้าล่ะ?”
มู่อวิ๋นรีบตอบว่า “ข้าน้อยจะเรียกมันมาเดี๋ยวนี้ขอรับ!” เขาลุกขึ้นแล้วผิวปาก ผ่านไปครู่หนึ่ง
รถม้าสีขาวปานก้อนเมฆคันหนึ่งวิ่งห้อลงมาจากฟากฟ้า สัตว์ที่ลากรถคืออาชาเวหา
“นายท่าน ข้าน้อยจะพยุงท่านขึ้นไปนะขอรับ” มู่อวิ๋นก้าวเข้ามา เขามองตี้ฝูอีแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้
ในใจทั้งรู้สึกผิดและเห็นอกเห็นใจ ระยะนี้นายท่านเป็นอะไรไป? หดเล็กลงอยู่บ่อยๆ…
ตี้ฝูอีนั่งอยู่บนต้นไม้ ขาข้างหนึ่งรองแขนอยู่ ขาอีกข้างแกว่งอยู่ใต้กิ่งไม้ และเขากำลังมองเขาอยู่ ทั้งสองตาสบกัน มู่อวิ๋นมองเห็นว่านัยน์ตาดำสนิทของอีกฝ่ายเจือรอยยิ้มไว้…
มู่อวิ๋นหนาวสะท้าน รีบก้มศีรษะลง
เวลาที่เจ้านายของบ้านเขาเผยรอยยิ้มเช่นนี้ออกมานั่นหมายความว่ามีคนกำลังจะดวงซวย…
ถึงแม้ร่างกายของเจ้านายเขาจะหดเล็กลง แต่สติปัญญาไม่ได้ลดลง เล่นงานผู้อื่นถึงตายโดยไม่ต้องชดใช้ได้! ซ้ำยังจัดการเรื่องราวอย่างคำไหนคำนั้น หากเขาสั่งให้คนมายามกะสาม แล้วเจ้ามาสายไปสักนิดก็ต้องได้รับโทษหนัก นับประสาอะไรกับเขาที่หนนี้มาสายไปหนึ่งเค่อ!
————————————————————————————-
[1] เอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ หมายถึง การเสนอตัวเข้าช่วยเหลือหรือเจ้ากี้เจ้าการเรื่องคนอื่นโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องการเลย