บทที่ 27.3 ฉู่ฉีเหยียน (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 27 ฉู่ฉีเหยียน (3) โดย Ink Stone_Romance

เวลานี้เจิ้งเยียนต้อนรับฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเหยียนด้วยการดื่มน้ำชา

“ยินดีที่ได้พบฮูหยิน!” เมื่อพบว่านางเดินเข้ามา ฉู่สวินหยางก็ลุกขึ้นทักทายอย่างอ่อนน้อม

“ท่านยาย!” ฉู่ฉีเหยียนวางถ้วยชาลง ทำความเคารพนาง

“อืม!” ฮูหยินเจิ้งสีหน้าดูไม่ค่อยดี กล่าวทักทายสารทุกข์สุขดิบอยู่สองสามประโยคก็เข้าสู่ประเด็นทันที กล่าวอย่างรู้สึกผิด “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด วันนี้เป็นวันมงคลของท่านหญิงทั้งสอง เดิมทีข้าก็คอยกำชับให้บ่าวพวกนั้นค่อยไปแจ้งข่าวในวันพรุ่งนี้ แต่ไม่คาดคิดว่า…”

จวี๋เซียงร้อนตัวอยู่บ้างจึงพยายามก้มหน้าก้มตาลงไป

“ฮูหยินอย่าได้โทษตัวเองเลย” ฉู่สวินหยางเผยยิ้มอย่างราบเรียบ กลับไม่แสดงท่าทีอันใด เพียงแต่กล่าวไปว่า “ท่านพ่อถูกเสด็จปู่เรียกตัวเข้าวัง ในจวนก็ยังมีแขก ท่านพี่ไม่สามารถปลีกตัวได้ ดังนั้นข้าจึงมาดูแทน ไม่ทราบว่าตอนนี้สะดวกให้ข้าเจอพี่หญิงใหญ่หรือไม่?”

“ได้อย่างแน่นอน!” ฮูหยินเจิ้งกล่าว ไม่ทันได้ล้มตัวลงนั่งก็พาทั้งสองคนไปยังเรือนหลังทันที

เนื่องจากเกิดเรื่องขึ้นอย่างกะทันหัน จึงไม่ได้มีการเตรียมไว้ทุกข์อย่างเป็นทางการ ร่างของฉู่เยว่เหยายังคงถูกจัดไว้ในห้องเดิมของนางชั่วคราว

คนในสกุลเจิ้งมีท่าทีราวกับระแวดระวังกับทุกเรื่อง บ่าวรับใช้ที่พบตามทางก็ล้วนแต่พากันกลั้นลมหายใจ

คนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในเรือนหลังนั้น ข้าวของในห้องนั้นหลังจากถูกฉู่เยว่เหยาทุบทำลายไป ก็ไม่ได้มีสิ่งใดมาเพิ่มเติม ในห้องนั้นแม้ว่าจะมีขนาดกว้างขวาง แต่นอกจากเครื่องเรือนต่างๆ แล้ว ก็ไม่ได้มีเครื่องตกแต่งอื่นๆ อีก เมื่อมองเข้าไปจึงรู้สึกเงียบเหงาวังเวงเป็นอย่างมาก

ร่างของฉู่เยว่เหยาถูกจัดไว้ในเตียงด้านในสุด เสื้อผ้าได้เปลี่ยนผลัดใหม่แล้ว ทว่ามือและใบหน้าที่ปรากฏออกมาด้านนอกล้วนสามารถมองออกอย่างชัดเจนว่าได้จมน้ำมาเป็นเวลานาน

“เช้าวันนี้มีสาวใช้เข้ามาส่งอาหารเช้า แต่เมื่อค้นหารอบๆ เรือนกลับไม่พบตัวของท่านหญิง ภายหลังเห็นหน้าต่างบานนั้นเปิดไว้อยู่” แม่นมกู้เป็นคนกล่าวอธิบาย พูดไปพลางถอนหายใจไปพลาง ชี้ไปที่หน้าต่างที่แทบไม่สะดุดตาบานหลัง

“หลังจากนั้นบ่าวจึงค่อยนำคนออกค้นหา จนใกล้เวลาเที่ยงจึงค่อยพบบ่อน้ำผุพังด้านหลังเรือน…”

ในขณะที่นางพูดก็ราวกับเสียใจเป็นอย่างมาก ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา

ฮูหยินเจิ้งเผยใบหน้าเงียบขรึม กลับไม่มีท่าทีอะไร เพียงแต่มองไปที่ฉู่สวินหยาง ”ท่านหญิงใหญ่สติไม่ดี เป็นจวนของพวกเราที่ละเลยไม่ดูแลนางอย่างดี เวลานี้เกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ พวกเราสกุลเจิ้งไม่อาจผลักภาระ…”

“เป็นนางเองที่คิดเองเออเอง แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเราสกุลเจิ้งเล่า?” ไม่ทันที่ฮูหยินเจิ้งจะพูดจบ เจิ้งเหวินคังที่อยู่ด้านข้างก็พึมพำด้วยสีหน้าไม่ยินดีออกมา

เพราะว่าเรื่องของคนแซ่หลิน เขาจึงเกิดความไม่พอใจกับฉู่สวินหยาง ราวกับข้ามคืนก็หมดสิ้นซึ่งความรัก กลายเป็นศัตรูคู่แค้น

แท้ที่จริงเมื่อมาคิดดูตั้งแต่แรกเพื่อแต่งให้เขาแล้ว ฉู่เยว่เหยาก็ลงแรงลงใจไปมาก ฉู่สวินหยางกลับบังเกิดความเห็นอกเห็นใจนางขึ้นมาอยู่บ้าง

ผู้ชายคนนี้ ไม่สานต่อความรักก็แล้วไป แต่กลับยังเลือดเย็นเช่นนี้!

ฉู่สวินหยางยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้พูดอันใด เพียงแต่ทำท่ายิ้มราวกับไม่ยิ้มมองดูเขา

ใจของฮูหยินเจิ้งกระตุกขึ้นมา เบิกตากว้างมองเขา “นางเป็นสะใภ้ของเจ้า เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน?”

เจิ้งเหวินคังจึงปิดปากลงอย่างแค้นใจ

ฉู่ฉีเหยียนเดินไปตรวจสอบด้านหลังของหน้าต่างบานนั้น ไม่ได้กล่าวอันใดเช่นกัน

ฮูหยินเจิ้งยังคงกล่าวรับผิดกับฉู่สวินหยางอย่างจริงใจ “ท่านหญิง เป็นพวกเราสกุลเจิ้งที่ดูแลท่านหญิงใหญ่ได้ไม่ดี เดิมทีวันนี้ท่านกั๋วกงก็ควรจะพาคังเอ๋อร์ไปขอโทษที่หน้าประตู เพียงแต่มาตรงกับวันมงคลของท่านและท่านหญิงสี่พอดี ไม่คาดคิดว่านังเด็กคนนี้จะ…”

ในขณะที่ฮูหยินเจิ้งพูดก็เหลือบมองจวี๋เซียงที่หลบอยู่ด้านหลังคนอื่นไปพลาง ใบหน้าดูมีเมตตาและอ่อนโยน ทว่าแววตากลับคมกริบราวกับมีด

ใจของจวี๋เซียงสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก ยิ่งก้มศีรษะลงต่ำเข้าไปอีก กล่าวอย่างรู้ผิด “บ่าวก็แค่…”

นางก็แค่พะวงเกี่ยวกับเรื่องของนายตน จึงวิ่งกลับไปวังบูรพาเพื่อส่งข่าว ให้พูดตามตรงก็ไม่นับว่าเป็นความผิดพลาดแต่อย่างใด

สายตาของฉู่สวินหยางตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ละไปจากนาง เพียงแต่กล่าวอย่างเป็นมารยาทกับฮูหยินเจิ้ง

“เกิดเรื่องเช่นนี้ ใครก็ไม่ได้คาดคิดทั้งนั้น ฮูหยินเจิ้งอย่าได้โทษตัวเองจนเกินไป ในเมื่อเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ เช่นนั้นก็ได้แต่สงสารท่านพี่หญิงที่วาสนาไม่ดีเช่นนี้”

ฉู่สวินหยางไม่ได้จะไล่เค้นเอาความจริง? ในใจของเจิ้งเยียนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา แต่ว่า…

อีกฝ่ายไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร ทว่ากลับทำให้นางรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ

ฉู่ฉีเหยียนเดิมทีก็เหมือนจะไม่ได้มีแผนสอดมือยุ่งเรื่องนี้เช่นกัน เวลานี้ฉู่สวินหยางอยากจะไกล่เกลี่ยเพื่อยุติเรื่องราว ทันใดนั้น จู่ๆ ก็มีความคิดประกายวาบเข้ามาในหัวของเขา ดังนั้นจึงยกมือขึ้นลูบตะปูไม่กี่อันตรงบานหน้าต่างนั้นพลางกล่าว

“หน้าต่างบานนี้แต่เดิมมีตะปูตอกปิดไว้ใช่หรือไม่? จะแงะตะปูนี้ให้ออกก็มิใช่เรื่องง่ายเลย” ขณะที่พูดก็ใช้เท้าถีบไปที่แผ่นไม้และตะปูที่ร่วงอยู่ไม่กี่ตัวด้านล่าง “ท่านหญิงใหญ่เปิดหน้าต่างบานนี้ได้อย่างไรกัน?”

เขาถามออกไปอย่างนั้น ราวกับพูดสุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นมาเอง

เจิ้งเยียนอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาทันที เงยหน้ามองไปที่เขาโดยพลัน

สีหน้าของฮูหยินเจิ้งและเจิ้งเหวินคังก็ดูไม่ดีเช่นกัน

กลับเป็นฉู่ฉีเหยียน ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ที่พาให้ทุกคนเหลียวหลังกลับมามองเขา…

เพื่อฉู่เยว่เหยาแล้วจึงไม่ไว้หน้าสกุลเจิ้ง? ฉู่สวินหยางไม่มีทางทำแน่ๆ แต่ว่าสองสกุลต้องการที่จะรักษามิตรภาพต่อหน้าเขาไว้มิใช่หรอกหรือ?

ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ

“อ๋อ วันก่อนตอนที่บ่าวเข้ามาเห็นก็พบกับค้อนวางอยู่ที่พื้นตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นบ่าวคนไหนที่พลั้งดึงออกมา!” แม่นมหูกล่าวอย่างลนลาน

นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นข้อแก้ตัว

ฉู่สวินหยางยกมุมปากขึ้นเป็นยิ้มอย่างได้รูป เพียงแสร้งทำเป็นมองไปเช่นนั้น

แววตาของฮูหยินเจิ้งนั้นมองไปยังใบหน้าของฉู่ฉีเหยียน ทั้งยังแฝงด้วยความเยียบเย็นอยู่ไม่กี่ส่วน

ฉู่ฉีเหยียนกลับผงกศีรษะลงอย่างตีหน้าตาย ทั้งยังคงกล่าวขึ้นอีกครั้งอย่างไม่รู้สึกรู้สาอันใด “งั้นรึ? ไม่ใช่บอกว่าท่านหญิงใหญ่พักฟื้นร่างกายแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้ออกไปนอกเรือนไม่ใช่รึ? แต่ในมือกลับเก็บซ่อนของดีไว้มิใช่น้อยเลย!”

“ใครจะรู้ว่านางจะเป็นบ้าขึ้นมาเมื่อไร ทั้งยังไปเก็บของพวกนั้นมาจากที่ไหน” เจิ้งเหวินคังกล่าวอย่างรำคาญใจ

เขายังคงคิดว่าฉู่เยว่เหยายังปลงไม่ตกกับตนเอง แต่เวลานี้แววตากลับมีความสนใจขึ้นมา เมื่อมองเห็นสีหน้าของเจิ้งเยียนผู้เป็นน้องสาว ในใจกลับหดยวบลงทันที

เจิ้งเยียนแม้ว่าพยายามที่จะรักษาท่าทีอย่างสุดกำลัง ทว่าความกังวลในสีหน้านั้นกลับไม่สามารถปกปิดได้ทั้งหมด

เจิ้งเหวินคังแม้ว่าจะเจอพิรุธแล้ว แต่ฮูหยินเจิ้งกลับคาดถึงเรื่องนี้ได้เร็วกว่าเขา เพียงแต่ทำเป็นไม่พูดออกมาเท่านั้น

ฉู่ฉีเหยียนกวาดสายตามองไปยังผู้คนรอบๆ กลับไม่ได้บีบเค้นแต่อย่างใด ยิ้มมุมปากล่างขึ้นมา

ฉู่สวินหยางเหลือบมองเขาไปหนึ่งที ยังคงกล่าวกับฮูหยินเจิ้งอย่างราบเรียบ “เรื่องหลังจากนี้ของพี่หญิงใหญ่ยังคงจะต้องรบกวนจวนของท่านอยู่ ข้ายังมีธุระอื่นอีก คงต้องขอตัวก่อน”

คนของสกุลเจิ้งต่างก็คิดกังวลไปต่างๆนานา สีหน้าล้วนแต่ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะฮูหยินเจิ้ง ยิ่งตอนกล่าวคำสั่งกับเจิ้งเหวินคังด้วยเสียงที่เรียบเย็น “เจ้าออกไปส่งท่านหญิงและเหยียนเอ๋อร์เถิด!”

“ขอรับ!” เจิ้งเหวินคังรับคำสั่ง ก่อนที่จะหมุนกายไปยังเหลือบมองเจิ้งเยียนด้วยเป็นกังวลหนึ่งที

ฉู่สวินหยางเดินนำไปโดยมีฉู่ฉีเหยียนตามออกไปยังด้านนอก จวี๋เซียงก็รีบร้อนเดินตามไปเช่นกัน

———————————-