ตอนที่ 75.1 เป็นผู้ใหญ่แล้ว (1)

ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน

ตอนที่ 75 เป็นผู้ใหญ่แล้ว (1)

วันที่ 7 ช่วงเช้าสอบภาษาจีน ช่วงบ่ายสอบคณิตศาสตร์

วันที่ 8 ช่วงเช้าสอบสังคม ช่วงบ่ายสอบวิทยาศาสตร์

ใช่แล้ว ไม่มีสอบภาษาอังกฤษ!

ปกติพวกเขาเรียนภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่จะจัดอยู่ในกลุ่มวิชาดนตรี ศิลปะจำพวกนั้น

แค่เรียนรู้ไว้ก็พอแล้ว ไม่ได้เอามาสอบวัดระดับแต่อย่างใด

วิชาภาษาจีน คณิตศาสตร์ และสังคมเต็มหนึ่งร้อยห้าสิบคะแนน ส่วนวิทยาศาสตร์สามร้อยคะแนน

ดูจากคะแนน คงรู้แล้วว่าให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์มากกว่า

การสอบเข้ามหาวิทยาลัยแบ่งหลักๆ เป็นสายสังคมและศิลปะการต่อสู้

สายสังคมที่ทุกคนพูดถึง คือสายสังคมรวมกับสายวิทยาศาสตร์ในชาติก่อน หรือจะพูดอีกอย่างว่าวิชาวัฒนธรรมนั้นไม่ได้แบ่งสาย

อันที่จริงนี่เป็นเรื่องปกติ สายสังคมและสายศิลปะการต่อสู้แยกจากกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องแยกสอบวิชาวัฒนธรรมอีก

ฟางผิงค่อนข้างผ่อนคลายกับการสอบวัฒนธรรม

ตอนนี้ค่าจิตใจอยู่ที่สองร้อยเฮิรตซ์ แทบจะสูงเกินคนทั่วไปหนึ่งเท่า

ค่าจิตใจที่สูงขึ้น ไม่ได้หมายว่า จะมีความจำและความเข้าใจมากกว่าคนอื่นสองเท่า

เช่นเดียวกัน แม้ปราณของฟางผิงจะน้อยกว่าปราณของวัยรุ่นทั่วไปรวมกันสองคน

แต่ถ้าตอนนี้ฟางผิงถีบสองคนนั้นไปหนึ่งที คงส่งพวกเขาไปสวรรค์ได้ไม่ยาก

เพราะความจำและความเข้าใจแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ฟางผิงจึงคิดว่าการสอบครั้งนี้ไม่ได้ยากนัก

ข้อสอบแบบเดียวเคยทำมาหนึ่งครั้ง จะปรับเปลี่ยนยังไง เขาก็จำได้อยู่ดี

รอจนถึงบ่ายวันที่ 8 การสอบเกาเข่าจึงสิ้นสุดอย่างเป็นทางการ

ฟางผิงเพิ่งจะกลับถึงบ้าน โทรศัพท์จากอู๋จื้อหาวก็ดังขึ้นทันที

“อยู่ไหน?”

“เพิ่งถึงบ้าน…”

“ให้ตายเถอะ!”

อู๋จื้อหาวทำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “สอบเกาเข่าเสร็จ แต่นายกลับบ้านเนี่ยนะ!”

ราวกับการกลับบ้านของฟางผิงเป็นเรื่องผิดบาปมหันต์เสียอย่างนั้น

ไม่รอให้ฟางผิงพูดต่อ อู๋จื้อหาวเอ่ยทันที “พวกเราอยู่ที่โรงเรียน เย็นนี้จะผ่อนคลายกันสักหน่อย กินดื่มเที่ยวเล่น ฉันเลี้ยงเอง!”

คนพวกนี้ถูกเข้มงวดมานาน

นักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ยิ่งแล้วใหญ่ เพื่อการสอบแล้ว ต้องยอมสูญเสียหลายอย่างในชีวิต

ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนกับฟางผิง ช่วงสั้นๆ กลับทำให้ปราณเพิ่มสูงลิ่วได้

เพื่อที่จะรักษาระดับปราณ บำรุงร่างกาย พวกอู๋จื้อหาวแทบไม่กินขนมน้ำหวาน ไม่แตะของข้างทาง เหล้าบุหรี่ก็เช่นกัน…

สรุปคือวันหนึ่งคล้ายยาวนานเป็นปี ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างน่าสงสาร

ตอนนี้การสอบศิลปะการต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว ต่อไปรอแค่ผลคะแนนเท่านั้น คนพวกนี้จึงอยากผ่อนคลายกันสักหน่อย

ฟางผิงไม่ได้สัมผัสถึงความขื่นขมแบบนี้อยู่แล้ว แต่อู๋จื้อหาวอุตส่าห์ชวน เขาเลยไม่ปฏิเสธ “ได้ เดี๋ยวฉันออกไป”

“รีบมา ทุกคนรอนายอยู่ วันนี้โต้รุ่งกัน!”

พวกอู๋จื้อหาวโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง ฟางผิงได้ยินเสียงคนข้างๆ เขาตะโกนราวกับระบายความทุกข์ด้วย

หลังจากนั้นสิบห้านาที

ฟางผิงมาพบพวกอู๋จื้อหาวที่หน้าประตูโรงเรียน

ไม่ได้มีแค่นักเรียนสายศิลปะการต่อสู้ ยังมีนักเรียนสายสังคมกว่าสิบคน

นอกจากนักเรียนห้องสี่ ยังมีกลุ่มนักเรียนจากห้องอื่น ทุกคนกำลังคุยเล่นรอที่หน้าประตู

พอเห็นฟางผิง จางฮ่าวค่อยตะโกนว่า “ฟางผิง สอบเสร็จไม่ออกมาปลดปล่อยสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กดีตรงดิ่งกลับบ้านทันที?”

ฟางผิงเอ่ยทั้งหัวเราะ “ปลดปล่อย? หยางเฉิงมีที่ไหนให้ปลดปล่อยกัน?”

“ไสหัวไปเลย!”

จางเฮ่าใบหน้าขึ้นสี ลอบชำเลืองมองจางหนานที่อยู่ด้านข้าง

ปกติแม้คนพวกนี้จะทำตัวห้าวขนาดไหน ก็เป็นแค่นักเรียนมอปลาย ไม่ได้โตอะไรขนาดนั้น

ตอนนี้ประสบการณ์ของพวกเขาเทียบกับพวกนักศึกษาในมหาวิทยาลัยไม่ได้ด้วยซ้ำ เด็กมอปลายยังคงเป็นเด็กไม่ประสาความ

พอฟางผิงพูดออกมา จางเฮ่าเลยใบหน้าแดงก่ำ คนอื่นๆ ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน

อู๋จื้อหาวทำหน้ากระดากอาย หลิวรั่วฉีที่พูดน้อยมองฟางผิงราวกับเป็นพวกอันธพาล ปกติเธอดูไม่ออก นึกไม่ถึงว่าฟางผิงจะต่ำทรามแบบนี้!

ใช่แล้ว ต่ำทราม!

ปลดปล่อยในความหมายของทุกคนคือกินข้าว ดื่มเบียร์ ร้องเพลงกันเท่านั้น

เห็นทุกคนมองตัวเอง ฟางผิงจึงทำหน้าปลดปลง ช่างเป็นนักเรียนที่ไร้เดียงสาโดยแท้

หากผ่านไปอีกสักสองสามปี นักเรียนมอต้นคงจะเปิดกว้างยิ่งกว่าพวกเขาซะอีก

ตอนแรกทุกคนเตรียมจะเหน็บแนมฟางผิงสักหน่อย ตอนนี้กลับพากันเงียบกริบ

รวมทั้งมีนักเรียนหญิงอยู่ พวกผู้ชายเลยไม่กล้าจะพูดคุยเรื่องต่ำทรามกับฟางผิงต่อ

อู๋จื้อหาวโบกไม้โบกมือ “ไปกันเถอะ พวกเราไปกินเนื้อย่างกันก่อน คืนนี้ไม่ดื่มน้ำหวาน ดื่มเหล้ากัน! ดื่มเสร็จ ไปร้องคาราโอเกะ โตขนาดนี้แล้ว แอบดื่มเบียร์สักครั้งเถอะ วันนี้ปลดปล่อยด้วยกัน ฉันเลี้ยงเอง!”

ตอนนี้คนอื่นๆ ไม่อ้อมค้อมกันอีกแล้ว ทุกคนเดินคุยเล่นไปตามถนน ทางนั้นมีแผงเนื้อย่างวางขายเต็มไปหมด

พวกอวดเก่งที่ยังไม่เคยกินเหล้ามาก่อน นั่งลงก็สั่งเบียร์มาห้าลัง เหล้าขาวอีกสองขวด

เนื้อย่างยังไม่มาเสิร์ฟ พวกนักเรียนต่างทำตัวเป็นวีรบุรุษ ยกแก้วชนกัน!

ฟางผิงมองจางเฮ่าที่กระดกเหล้าขาวตาแทบไม่กะพริบ ในใจครุ่นคิดถึงตอนกลับบ้าน

เจ้าพวกสมองกลวง ไม่กินอะไรลองท้องเสียก่อน ไม่เคยกินเหล้า แต่ทำเป็นอวดเก่งกระดกเหล้ากัน

ฟางผิงกล้าพนันว่า สุดท้ายคนที่ยืนได้คงมีไม่ถึงสามคน

ฟางผิงกำลังครุ่นคิดว่าเขาจะส่งเจ้าพวกนี้กลับไปยังไงดี หรือจะจองคาราโอเกะสักห้อง ทิ้งพวกนี้ให้นอนจนฟ้าสว่าง?

จางเฮ่าไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ฤทธิ์เหล้ายังไม่ทันออก กลับตื่นตัวไปก่อนแล้ว

ดื่มไปด้วย พูดเสียงดังไปด้วย “พวกเรานักเรียนมอปลายปีสามแทบไม่เคยรวมตัวกันมาก่อน! เดี๋ยวฉันยุ่ง เดี๋ยวนายยุ่ง ตอนนี้สอบเสร็จแล้ว ภายหลังทุกคนแยกย้ายไปตามทาง เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้บ้าง เข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังบ้าง หรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยปกติ ไม่กี่ปีต่อจากนี้ พอจบการศึกษาคงห่างกันราวฟ้ากับดิน ถึงเวลานั้นจะได้กลับมาเจอกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใช้โอกาสในวันนี้กินดื่มด้วยกันดีกว่า ไม่เมาไม่กลับ!”

คำพูดนี้กระทบใจคนจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน

แม้พวกเขาจะเป็นวัยรุ่น แต่ทุกคนไม่ใช่คนโง่

ในหมู่พวกเขา ฟางผิงและอู๋จื้อหาวแทบจะมีโอกาสสอบมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ภายหลังต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อยู่เหนือกว่าพวกเขา

พวกหลิวรั่วฉี เฉินฝานคงเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ไม่ได้ แต่มหาวิทยาลัยชื่อดังสายสังคมอาจจะไม่ยากอะไร แม้จะเป็นคนทั่วไป ก็มีอนาคตที่ดีได้เหมือนกัน

พวกที่คะแนนน้อยอย่างจางเฮ่า จางหนาน มีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ๆ อยู่บ้าง

หากแย่กว่านี้ ทำได้แค่เข้ามหาวิทยาลัยทั่วไป ไม่ก็มหาวิทยาลัยปลายแถวเท่านั้น

หลายปีให้หลัง ทุกคนจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า?

ต้องไม่เหมือนเดิมอยู่แล้ว!

สิ้นเสียงของจางเฮ่า ยังไม่พูดถึงคนอื่น แต่หลิวรั่วฉีที่พูดน้อยมาตลอดกลับเทเบียร์จนเต็มแก้ว เอ่ยอย่างเสียกิริยา “ฉันจะดื่มกับพวกนายเอง! หกปีแล้ว ตั้งแต่มอต้น ที่บ้านหวังให้ฉันสอบมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้มาโดยตลอด เพื่อมัน ถึงกับต้องขายบ้าน กู้หนี้ยืมสิน แต่ฉันยังคงทำให้พวกเขาผิดหวัง ไม่เป็นไร ถึงจะสอบศิลปะการต่อสู้ไม่ได้ ฉันก็เชื่อว่า คนธรรมดามีอนาคตที่ดีได้เหมือนกัน!”

เด็กผู้หญิงที่ปกติเงียบขรึม ดูคล้ายหยิ่งยะโส ตอนนี้กลับเปิดเผยความในใจออกมา

เธอไม่ใช่คนเก็บตัว ทั้งไม่ได้ทำเป็นหยิ่งอะไร แต่เพราะความกดดันที่มากเกินไป มากถึงกระทั่งเธอไม่กล้าจะผูกมิตรกับเพื่อน!

เธอต้องตั้งใจอ่านหนังสือ ขยันออกกำลังกาย ท่ามกลางแววตาที่คาดหวังของครอบครัว เธอไม่กล้าจะใช้เงินฟุ่มเฟือยสักแดงเดียว

แต่ปราณของเธอยังคงมีแค่หนึ่งร้อยสิบห้าแคล โอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะต่อสู้นั้นเลือนรางเหลือเกิน

นึกถึงหลายปีที่ฝ่าฝันมา แบกความคาดหวังของครอบครัว ท้ายที่สุดกลับทำไม่ได้ หลิวรั่วฉีเผยดวงตาแดงก่ำ

“รั่วฉี…”

จางหนานยิ้มบาง “ฉันเชื่อว่าเธอทำได้แน่!”

ขณะที่พูด จางหนานยังยกแก้วดื่มด้วย

นักเรียนหญิงสองคนดื่มแล้ว ผู้ชายคนอื่นคงไม่ทำตัวเป็นไก่อ่อน ต่างพากันยกดื่มรวดเดียวจนหมด

ถึงจะเป็นฟางผิง ตอนนี้ก็ไม่แสร้งไร้เดียงสา พวกผู้หญิงดื่มกันแล้ว ถ้าเขาไม่ดื่มคงหน้าอายแย่

รอจนเนื้อย่างมาเสิร์ฟ ทุกคนต่างกรึ่มๆ กันแล้ว นายชนแก้วฉัน ฉันชนแก้วนาย ดื่มกันแทบไม่หยุด

————————