ตอนที่ 210 เป็นจริง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 210 เป็นจริง

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมยินดีไปตรวจสอบเรื่องโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฮานเอ่ยขึ้นมาทันที “กระหม่อมได้ยินว่าท่านโหวอันเคยทูลฝ่าบาทว่าพบโรคระบาดในเมืองหลวง มิสู้ฝ่าบาทมอบหมายเรื่องของท่านโหวอันให้กระหม่อมจัดการ กระหม่อมต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

มิใช่อยากตรวจสอบให้ชัดเจน แต่เป็นการฉวยโอกาสเหยียบย่ำคุณหนูใหญ่อันใช่หรือไม่ ?

เมื่อคิดได้เช่นนั้น พระเนตรของฮ่องเต้ก็มีประกายดำมืดแล่นผ่าน แต่พระพักตร์ยังแสดงออกว่าเห็นด้วย “ดี ข้าจักมอบเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ หากเจ้ามิสามารถตรวจสอบให้ชัดเจนได้ ข้าจักรวมความผิดทั้งหมดของเจ้าไว้แล้วลงโทษในครั้งเดียว ! ” มู่จวินฮานรับคำสั่งฮ่องเต้ ตอนที่เขาก้มหน้าลงคำนับดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมา

เมื่อเลิกการประชุมประจำราชสำนัก มู่จวินฮานก็รีบตรงไปทางคุกหลวงทันที เหล่าทหารในคุกรีบนำทางเขามายังที่คุมขังของอันอิงเฉิง

อันอิงเฉิงที่ได้ยินการเคลื่อนไหวก็หันไปมอง เขาเห็นมู่จวินฮานที่เดินเข้ามานั่งลงด้วยใบหน้าประหลาดใจ “มู่ซื่อจื่อมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร ? ”

เขาถูกฮ่องเต้ส่งตัวไปม่อเป่ยแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงปรากฏตัวในคุกอย่างกะทันหันเช่นนี้ ? อีกทั้งท่าทางลอยชายของเขาก็มิเหมือนนักโทษแม้แต่น้อย

อันอิงเฉิงที่กำลังสงสัยในใจก็เห็นเขาโบกมือให้ทหารถอยออกไป

ทหารได้รับคำสั่งมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตอนนี้จึงต้องทำตามคำสั่งมู่จวินฮานแล้วรีบถอยออกไป

“ช่วงนี้ท่านโหวอันสบายดีหรือไม่ขอรับ ? ” มู่จวินฮานถามด้วยรอยยิ้ม แต่คำกล่าวของเขามิน่าฟังแม้แต่น้อย “ฝ่าบาทส่งข้ามาตรวจสอบเรื่องโรคระบาด รบกวนท่านโหวให้ความร่วมมือด้วยขอรับ”

ดวงตาอันอิงเฉิงมีความแปลกใจแล่นผ่าน รอยยิ้มที่ฝืนยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ในจวนข้ามีสาวใช้คนหนึ่งติดโรคระบาด ข้ากลัวการระบาดจักร้ายแรงจึงเข้ากราบทูลต่อฮ่องเต้ คาดมิถึงว่า…”

“ท่านโหวมิได้กล่าวความจริงใช่หรือไม่ ? ” ดวงตาพยัคฆ์ที่เย็นชาของมู่จวินฮานเป็นประกาย ริมฝีปากเปล่งคำที่ชัดเจนออกมา “เรื่องที่คุณหนูใหญ่อันค้นพบว่าสาวใช้ติดโรคระบาดและนางเกลี้ยกล่อมให้ท่านโหวมาทูลรายงานต่อฮ่องเต้ได้เยี่ยงไร ฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว ท่านมิจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป”

มู่จวินฮานนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา “ท่านโหวเข้าคุกมาก่อนคงมิทราบว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่อันก็ถูกนำตัวไปขังไว้เช่นกัน”

“เกอเอ๋อก็ถูกฮ่องเต้นำตัวไปขังที่คุกด้วยหรือ ? ” ใบหน้าของอันอิงเฉิงดูตื่นตระหนก เขาได้แบกรักความผิดของเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว เหตุใดยังเกี่ยวพันไปถึงอันหลิงเกออีก ?

ในเวลานี้ใบหน้าของมู่จวินฮานดูมิทุกข์ร้อนอันใดคล้ายกำลังกล่าวถึงเรื่องของคนผู้หนึ่งที่มิได้เกี่ยวพันอันใดกับเขาเลย “หลังจากท่านโหวถูกนำตัวไป คุณหนูใหญ่ก็ร้องขอให้กงกงพานางเข้าวัง เดิมทีนางอยากขอร้องแทนท่านและแบกรับความผิดไว้ทั้งหมด แต่คิดว่าฮ่องเต้ทรงกริ้วอยู่ พระองค์มิเพียงมิยอมปล่อยท่านไป กลับยังสั่งให้คนจับนางขังคุกด้วย”

เมื่อได้ฟังใบหน้าของอันอิงเฉิงยิ่งซับซ้อนมากขึ้น ตอนนั้นอันหลิงเกอขอร้องเขาจักเข้าวังมาแทน แต่เขามิได้ใส่ใจ คาดมิถึงว่าอันหลิงเกอยังไปขอร้องฮ่องเต้ ทั้งยังโดนจับเข้าคุกเพราะเรื่องนี้อีกด้วย

ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็มิได้คิดสังหารเขา เขาถูกขังอยู่ในคุกก็ลำบากอยู่บ้าง แต่เกอเอ๋อมิเหมือนกัน นางเป็นสตรีที่ยังมิได้แต่งงานก็มาโดนขังไว้ในคุก วันข้างหน้าชื่อเสียงของนางก็ถูกทำลายจนหมดเเล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคุกทั้งเย็น ทั้งชื้น มีงู หนูและแมลงสกปรกเต็มไปหมด นางเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งจักรับเรื่องนี้ไหวหรือไร ?

มู่จวินฮานมองใบหน้าของคนตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทกำลังกริ้วเรื่องนี้อยู่ หากท่านโหวยอมเล่าสาเหตุให้ข้าฟัง ข้าจึงสามารถช่วยท่านขอร้องต่อฝ่าบาท มิแน่ว่าเรื่องนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้ขอรับ”

ในเมื่ออันหลิงเกอมิยอมกล่าวสาเหตุให้เขาฟัง เช่นนั้นเขาจักเริ่มสืบจากตัวอันอิงเฉิง อย่างไรก็ต้องตามหาเบาะแสได้บ้าง

อันอิงเฉิงพยักหน้า บทสนทนาในคุกจึงดังขึ้นเป็นระยะ

เมื่อมู่จวินฮานได้รับคำตอบที่ต้องการแล้วจึงสั่งให้คนดูแลอันอิงเฉิงอย่างดี จากนั้นก็เดินออกจากคุกหลวง

เขากำลังจักส่งคนไปตรวจสอบเรื่องของหลันซิน แต่ซูม่อเดินออกมาพบเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“เรียนนายท่าน พบบางอย่างแล้วขอรับ”

ใบหน้าซูม่อมีความเคร่งเครียด มู่จวินฮานมองเขาทีหนึ่งเป็นเชิงให้เล่าออกมา

“คนของเราพบชาวบ้านจำนวนมากเสียชีวิตในชั่วข้ามคืนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งห่างออกไปจากเขตชานเมืองหลวง 10 ลี้ และพบว่าผิวหนังของพวกเขามีตุ่มแดงดูน่ากลัวยิ่งนักขอรับ”

แววตามู่จวินฮานเคร่งขรึมขึ้นมา ดวงตาพยัคฆ์เป็นประกายวูบไหว

“พวกเขาอยู่ที่ใด จงพาข้าไปดูเดี๋ยวนี้ ! ”

ซูม่อตอบรับแล้วรีบนำม้าออกมา สองนายบ่าวจึงออกจากเมืองหลวงไปอย่างรวดเร็ว

หมู่บ้านโดยรอบเมืองจิงสุขสงบมาโดยตลอด แต่ตอนนี้มู่จวินฮานรู้สึกว่ามีบางอย่างต่างออกไป

หมู่บ้านที่มีชาวบ้านหนึ่งร้อยกว่าครัวเรือน ยามนี้มีแต่เสียงร้องโหยหวน คนแก่และเด็กหลายสิบคนล้มตัวนอนกับพื้น พวกเขาเกาตามเนื้อตัวอย่างเจ็บปวด คนในครอบครัวบางคนถือผ้าชุบน้ำกำลังเช็ดน้ำหนองที่ไหลออกจากตัวพวกเขา ทว่าเช็ดเยี่ยงไรก็มิหมดเสียที

ด้านข้างมีชายผู้หนึ่งท่าทางเหมือนท่านหมอ เขาช่วยคนจนเหงื่อออกท่วมกายแต่ทำอันใดมิได้เลย ได้แต่นั่งลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบดิน

“ลูกพ่อ พ่อจักพาเจ้าไปเมืองจิง ที่นั่นมีหมอหลวงและพวกเขาต้องรักษาเจ้าให้หายได้แน่นอน” ชายวัยกลางคนกอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนด้วยใบหน้าโศกเศร้า น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสิ้นหวัง

เด็กคนนั้นมีอายุราวห้าถึงหกขวบ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ บริเวณคอเต็มไปด้วยตุ่มแดงหนาแน่น อาจเพราะคันมากเขาต้องคอยเกาตุ่มแดงอยู่ตลอด แต่ตอนนี้มือไร้เรี่ยวแรงแล้วมินานก็ตกลงข้างลำตัว

“ลูกพ่อ!” ชายวัยกลางคนร้องตะโกนเสียงดังและรีบวางเด็กในอ้อมแขนลง แต่เด็กคนนั้นไร้ลมหายใจแล้ว แม้เขาเรียกอย่างไรก็ไร้คำตอบกลับมา

มู่จวินฮานขมวดคิ้ว เหตุใดสถานการณ์นี้ช่างเหมือนโรคระบาดที่อันหลิงเกอกล่าวถึงมากเหลือเกิน ?

เขากวาดตามองไปอีกด้าน ตรงนั้นก็มีคนนอนอยู่มากมาย พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่ไร้ลมหายใจ “คนเหล่านั้นคือผู้เสียชีวิตในคืนเดียวใช่หรือไม่ ? ”

“ใช่ขอรับ เมื่อครู่ข้าน้อยได้ถามแล้ว เดิมทีพวกเขาก็แข็งแรงดี แต่พอตอนเช้าก็เริ่มมีอาการเหล่านี้ มิถึง 5 ชั่วยามก็ไร้ลมหายใจแล้วขอรับ”

ข้อมูลของซูม่อเชื่อถือได้แน่นอน ก่อนที่เขาจักนำเรื่องมารายงานให้มู่จวินฮานทราบ เขาก็ได้ตรวจสอบและยืนยันไปหลายรอบแล้ว

เมื่อมู่จวินฮานแน่ใจในการคาดเดาของตนเเล้ว เขามิไปข้างหน้าต่อ เพียงกระโดดขึ้นบนหลังม้า “ไป เรื่องนี้ต้องรายงานให้ฮ่องเต้ทราบ”

เขารีบตวัดแส้ อาชาส่งเสียงร้องออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งทะยานไปข้างหน้า

โดยปกติองครักษ์ของฮ่องเต้จักมิรั้งมู่จวินฮานอยู่แล้ว เขาลงจากม้าก็รีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักเฉียนชิงทันที

ฮ่องเต้เหลือบมองมู่จวินฮานทีหนึ่ง เลิกพระขนงขึ้น “เจ้าบอกว่าเจอโรคระบาดที่หมู่บ้านนอกเมืองจิงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นกับตาตนเอง ชาวบ้านเหล่านั้นเริ่มมีอาการและตายอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดกินระยะเวลามิถึง 5 ชั่วยาม เนื้อตัวของพวกเขามีหนองและน้ำเหลืองที่เกิดจากการเกาแผลจนแตกเต็มไปหมด อาการเยี่ยงนี้ต้องเป็นโรคระบาดโดยมิต้องสงสัย หากฝ่าบาทมิเชื่อสามารถส่งหมอหลวงไปตรวจสอบได้พ่ะย่ะค่ะ”

มู่จวินฮานกล่าวออกมา ใบหน้าของเขามีความกังวลแฝงอยู่ “เดิมทีกระหม่อมจักไปตรวจสอบจวนโหวต่อ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนมีโรคระบาดเกิดขึ้นจริง ท่านโหวอันมิได้หลอกลวงพระองค์แต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ ”