บทที่ 277 การประลอง 4 ยก

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 277 การประลอง 4 ยก

ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายแจ่มใส สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง ร่างกายห่อหุ้มด้วยพลังลมปราณ ชายหนุ่มสามารถรับมือกับแรงกดดันจากเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยได้อย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ

ลมปราณของทั้งสองฝ่ายพุ่งเข้าปะทะกัน ดูสวยงามอย่างน่าประหลาด

ปรากฏเงาคนกระโดดตามติดเข้ามาสองคน ซึ่งก็คือจิ่วโยวและเฟิงจื่อเจี้ยน

บรรดาคนอื่นๆ ที่เพิ่งวิ่งมาถึงเวทีประลอง ต่างก็ได้แต่ไต่ถามกันว่าเกิดอะไรขึ้น?

“ฉู่ชวิ๋นกำแหงนัก ถึงขั้นกล้ามาอาละวาดที่ปราสาทจตุรเทพเชียวหรือนี่?” ใครคนหนึ่งกระซิบ

“สงสัยฉู่ชวิ๋นจะเสียสติไปแล้ว คอยดูเถอะ เขาจะต้องพ่ายแพ้ให้แก่ท่านผู้นำภายในไม่กี่กระบวนท่านี้ละ”

“รอดูได้เลยเดี๋ยวฉู่ชวิ๋นจะต้องพ่ายแพ้จนต้องร้องไห้หาพ่อหาแม่แน่นอน”

กลุ่มคนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจ

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยมีพลังน่ากลัวขนาดไหนใครก็รู้ ชายชราคือจอมยุทธ์อันดับ 1 ในดินแดนพายัพและไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดมาก่อน

“เจ้าพวกปากโสโครก!” เสียงของเด็กน้อยคนหนึ่งดังขึ้น

บรรดาลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพหันไปมอง ไม่ได้รู้สึกแค้นเคืองเลยแม้แต่นิด เมื่อเห็นว่าคนพูดเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารักอย่างจิ่วโยว

“ว้าว เด็กอะไรหน้าตาน่ารักขนาดนี้” ลูกศิษย์คนหนึ่งที่เป็นผู้หญิงอุทานออกมา ถ้าไม่ติดว่าเฟิงจื่อเจี้ยนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยทั้งคน เธอจะวิ่งเข้าไปสวมกอดจิ่วโยวแล้ว

“งี่เง่า” จิ่วโยวพูดหลังจากที่กวาดตามองบรรดาจอมยุทธ์ที่อยู่รอบเวที

ประเด็นสำคัญก็คือการพูดของเธอดูปราศจากอันตราย ไม่ได้ดูขวางหูขวางตา แต่กลับดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง

“ฉู่ชวิ๋น สายเกินไปแล้วที่จะยอมรับความพ่ายแพ้” เสื้อผ้าของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยโบกสะบัดปลิวไสวทั้งที่ไม่มีลมพัด

ฉู่ชวิ๋นไม่ตอบสนองคำใด จ้องมองตอบกลับไปด้วยความเย็นชา ริมฝีปากของชายหนุ่มยกตัวเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ร่างกายของเขาห่อหุ้มด้วยพลังลมปราณ มองไปเหมือนร่างของเทพเจ้าไม่มีผิด

เปรี้ยง!

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยื่นมือออกมาคว้าจับอากาศ มวลอากาศเกิดความปั่นป่วนทันที เกิดเป็นพลังสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าใส่ฉู่ชวิ๋น

ฉู่ชวิ๋นร่ายรำฝ่ามือในอากาศ ตัวอักษรแห่งการฆ่าฟันปรากฏขึ้น ไอสังหารแผ่กระจาย พุ่งตรงเข้าไปหาเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเช่นกัน

กลอักษร “ฆ่า”

เปรี้ยง!

เมื่อตัวอักษรคำว่า “ฆ่า” ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็ซัดลมปราณออกจากฝ่ามือ ซัดตัวอักษรเหล่านั้นกระจายหายไปตัวแล้วตัวเล่า

พลังลมปราณส่งคลื่นแรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วบริเวณ

จิตสังหารของพวกเขาตอนนี้ ถึงกับทำให้คนที่ฝีมืออ่อนด้อยเป็นลมไปในทันที

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาแล้ว เขาตวัดมือขึ้นไปในอากาศแล้วตัวอักษร “ฆ่า” ระเบิดไป

ฉู่ชวิ๋นดวงตาเป็นประกาย พลังฝีมือของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยนับว่าน่ากลัวจริงๆ

มือทั้งสองของชายหนุ่มประกบกัน แล้วชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า

เปรี้ยง!

มวลอากาศระเบิดตัวครืนครัน แรงกดดันแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ แล้วนิ้วมือขนาดยักษ์สองนิ้วก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ตรงลงไปที่เยวี้ยฟ๋านเตี๋ย

วิชาดัชนีสังหาร – กระบวนท่า 3 นิ้วอุสรา!

วิชาดัชนีสังหาร – กระบวนท่า 4 นิ้วกำราบมาร!

สีหน้าของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพลันแปรเปลี่ยนไป มือของเขาขยับวูบวาบแล้วมวลพลังลมปราณรูปร่างของเสือและมังกรอย่างละตัว ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้า

พวกมันคือ มังกรคำรามและพยัคฆ์คำรณ น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

เจ้าสัตว์ร้ายทั้งสองชนิดพุ่งขึ้นไปปะทะกับนิ้วมือที่กำลังร่วงหล่นลงมา

เปรี้ยง!

นิ้วมือขนาดยักษ์ปล่อยคลื่นแรงกดดันออกมาอย่างน่ากลัว พลังลมปราณที่อยู่ในรูปร่างมังกรและพยัคฆ์เกือบจะถูกคลื่นแรงกดดันเหล่านั้นกระแทกจนแยกออกเป็นสี่ส่วน กลุ่มก้อนเมฆรูปเห็ดระเบิดตัวขึ้นกลางท้องฟ้า เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจนผู้คนหูอื้อไปหมด

กลุ่มลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน พวกเขาต่างรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ราวกับคนเมาสุรา

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยหันไปมองหน้าฉู่ชวิ๋น ในดวงตาของเขาปรากฏแววชื่นชมขึ้นมาแล้วขณะที่พูดว่า “จอมมารฉู่ชวิ๋น ลองรับมือกระบวนท่านี้ดูบ้าง”

ขาดคำ ชายชราก็โคจรพลังไปทั่วร่างกาย มือของเขาโบกสะบัดไปมาในอากาศ มวลพลังลมปราณก่อกำเนิดเป็นวิหคเพลิงตัวหนึ่งขึ้นมาแล้ว

แว๊ก!

วิหคเพลิงส่งเสียงกรีดร้องก้องท้องฟ้า ปีกของมันแผ่กว้างยาวกว่า 10 เมตร ลำตัวลุกโชติช่วงด้วยเปลวไฟ อุณหภูมิรอบบริเวณสูงขึ้นโดยทันที

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยิ้มออกมาและท่ามกลางคลื่นพลังเหล่านี้ วิหคเพลิงก็พุ่งตรงเข้าไปหาฉู่ชวิ๋นพร้อมด้วยเปลวไฟสว่างไสว

ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายแปลกประหลาด เขาขยับนิ้วมือร่ายระบำ

แว๊ก!

นกเพลิงที่มีเปลวไฟเป็นสีทองปรากฏตัวขึ้นมาอีกตัว

บรรดาจอมยุทธ์ที่ยืนอยู่รอบเวทีประลอง ได้แต่เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความตกตะลึง

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเองก็ไม่ยกเว้น ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ดูเหมือนเขาจะตกตะลึงอยู่ไม่น้อย

นกเพลิงของฉู่ชวิ๋นเคลื่อนไหวด้วยความสง่างามกลางท้องฟ้า มันเหมือนเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่จริงๆ เปลวไฟของมันเป็นประกายสว่างไสว ก้อนเมฆบนท้องฟ้าสลายตัวหายไป ปีกของมันแผ่กว้างกว่า 20 เมตร มีขนาดใหญ่กว่าวิหคเพลิงของชายชราถึงสองเท่า

ผลั่ก!

แล้วนกยักษ์ทั้งสองตัวบนท้องฟ้า ก็พุ่งเข้าหาปะทะกันอย่างแรง

“ทุกคนถอยไป!”

เฟิงจื่อเจี้ยนตะโกนเสียงดัง กลุ่มลูกศิษย์ที่ยืนอยู่โดยรอบรีบทำตามคำสั่ง พากันถอยห่างออกไปทันที

ตู้ม!

แรงระเบิดส่งเปลวไฟแผ่กระจายไปทั่ว อุณหภูมิพุ่งทะลุจุดเดือด ได้ยินเสียงอากาศระเบิดตัวดังเปรี๊ยะปร๊ะ

วิหคเพลิงของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพ่ายแพ้ต่อนกเพลิงของฉู่ชวิ๋นอย่างหมดท่า มันถูกนกเพลิงของชายหนุ่มกลืนกินเข้าไปทั้งตัว ดังนั้น นกเพลิงของฉู่ชวิ๋นจึงมีร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น มีความแข็งแกร่งมากขึ้น และในขณะนี้ มันกำลังพุ่งตรงลงมาหาเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยแล้ว

“คงต้องอัญเชิญท่านพี่รองออกมาแล้วสินะ” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว ตาแก่นี่ยังมีตัวอื่นให้อัญเชิญออกมาอีกหรือ?

ตุบ!

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยกระทืบเท้าลงไปบนพื้นเวที พลังลมปราณแผ่กระจาย แล้วเงาร่างของเต่ายักษ์ตัวนึงก็ปรากฏตัวขึ้น งูดำที่อยู่บนหลังกระดองเต่าพ่นลมหายใจที่เป็นไอน้ำแข็งออกมา

เปรี้ยง!

ในวินาทีต่อมา ร่างของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟของนกเพลิง รัศมีเปลวไฟลามเลียไปทั่วบริเวณ แรงระเบิดส่งผลให้เกิดกลุ่มก้อนเมฆรูปเห็ดพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าหลายลูก ทั่วลานประลองเปลี่ยนสภาพกลายเป็นทะเลเพลิงไปในพริบตา

“ท่านผู้นำ…”

คนของปราสาทจตุรเทพได้แต่อุทานออกมาแล้ว

พรึบ!

แรงลมสายหนึ่งพัดกรรโชกบนผืนดิน เสียงลมดังอื้ออึง แล้วเปลวไฟที่อยู่ในอากาศก็ถูกดับไปในทันที

ทุกคนได้แต่มองไปที่เวทีประลอง และเห็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม

เปรี๊ยะ!

เมื่อก้อนน้ำแข็งระเบิดตัวออก เศษน้ำแข็งก็ปลิวกระจายในอากาศ เงาร่างของคนผู้หนึ่งกระโดดออกมา และก็เป็นร่างของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยนั่นเอง

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยังคงปลอดภัยดี

“มีอะไรจะอัญเชิญอีกไหม ตาแก่?” ฉู่ชวิ๋นถาม ในดวงตาเต็มไปด้วยความอำมหิต

“ถ้าฉันอัญเชิญออกมา เธอคงไม่มีปัญญาสู้ได้หรอก” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยคำรามเสียงดัง

พวกเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่กันแน่?

“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูสิ” ฉู่ชวิ๋นท้าทาย

“ได้เลย!” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยรับคำ ตัวคนลอยเข้ามาประชิดฉู่ชวิ๋น ในทันใดนั้นเอง หม้อปรุงยาขนาดใหญ่ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของชายชรา หม้อปรุงยาสี่ขาใบนี้มีขนาดความสูงเท่ากับตัวคนหนึ่งคน เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยกำลังฟาดหม้อปรุงยาใบนี้ตรงเข้าไปหาฉู่ชวิ๋น

ฉู่ชวิ๋นตกตะลึง ไม่มีเวลาคิดวิธีรับมือ ได้แต่ยกแขนขึ้นป้องกันและปล่อยพลังลมปราณสวนกลับไป

ผลั่ก!

ชายหนุ่มถูกฟาดอย่างแรง ฉู่ชวิ๋นลอยกระเด็นไปตกอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของลานประลอง

ฉู่ชวิ๋นรีบลุกขึ้น พูดด้วยความโกรธแค้นว่า “ตาแก่ แบบนี้มันโกงกันนี่หว่า?”

“ฉันแค่อยากจะทดสอบความแข็งแกร่งของเธอ” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพูดด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ น้ำเสียงที่เป็นปกติ

แม้แต่ในดวงตาของฉู่ชวิ๋นก็เป็นประกายแวววาวด้วยความเคียดแค้น กระบองทองคำปรากฏขึ้นในมือของเขาแล้ว ในวินาทีต่อมาแสงสีทองก็สว่างวาบ พุ่งตรงเข้าไปหาเยวี้ยฟ๋านเตี๋ย

ควับ!

กระบองทองคำโบกสะบัด ม่านพลังสีทองวูบวาบ อัดกระแทกเข้าใส่หม้อปรุงยาอย่างแรง

เคล้ง!

คลื่นแรงสั่นสะเทือนแผ่กระจาย หลายคนต้องหลับตาปี๋ด้วยความเจ็บปวด

ผลั่ก!

ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเหมือนกำลังถูกฟาดด้วยเหล็กกล้า แต่ว่าเขาไม่สนใจ ชายหนุ่มหมุนตัวควงกระบอง แล้วฟาดต่อไปไม่ยั้งมือ

หม้อปรุงยาที่อยู่ในมือของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเป็นของเลียนแบบหม้อปรุงยาจตุรเทพคุณภาพสูง หมายความว่าทำมาจากของดีและมีพลังมหาศาล

แต่เมื่อมาพบกับกระบองทองคำ ก็ถูกกระบองทองคำฟาดจนเกิดรอยร้าวขึ้นมาแล้ว

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยรู้สึกปวดใจ แม้ว่านี่จะไม่ใช่หม้อปรุงยาจตุรเทพของจริงแต่ก็ถือว่าเป็นสมบัติสวรรค์ชิ้นหนึ่ง เมื่อเกิดความเสียหาย ย่อมต้องรู้สึกเสียดายเป็นธรรมดา

“รับมือ!” เมื่อเห็นว่าฉู่ชวิ๋นกำลังจะฟาดกระบองลงมาอีกครั้งเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็หอบหม้อปรุงยากระโดดหนีไปแล้ว

“จะหนีไปไหน?” ฉู่ชวิ๋นกระโดดตามติดพร้อมด้วยกระบองที่อยู่ในมือ

ทันทีที่เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยืนตั้งหลักได้ เขาก็พบว่าฉู่ชวิ๋นเข้ามาถึงตัวแล้ว ชายชรารีบดีดตัวหลบหนีอีกครั้ง กระโดดไปยังอีกด้านหนึ่งของลานประลอง

ผลที่ได้ก็คือ เกิดเสียงบางอย่างแหวกอากาศตามมา หมายความว่าฉู่ชวิ๋นตามติดเข้ามาแล้ว ชายชราจึงต้องรีบดีดตัวหลบหนีอย่างต่อเนื่อง

พ่อหนุ่ม ดูซิว่าจะรวดเร็วแค่ไหนกันเชียว?

ฟิ้ว!

ลำตัวของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยมีพลังลมปราณพุ่งออกมา ระดับความเร็วของเขาเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ รวดเร็วมากยิ่งกว่าความเร็วเสียงถึง 2 เท่า!

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ ตัวเขาเองก็มีความเร็วไม่แพ้ใคร ถ้าจะให้แข่งความเร็วกันจริงๆ เขาสามารถน็อครอบ*เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยได้เลยด้วยซ้ำ

(แซงหน้าอีกฝ่ายจนกลับมาทันอีก 1 รอบ)

ลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพได้แต่ยืนตกตะลึง ท่านผู้นำผู้น่าเคารพของพวกเขา กำลังหลบหนีคนที่เอากระบองทองคำไล่ตีอย่างไม่เหลือศักดิ์ศรีเลยแม้แต่น้อย

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

บุรุษต่างวัยทั้งสองคน กระโดดไล่กวดกันไปทั่วลานประลอง

“หยุดก่อน!”

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตะโกนขึ้นมาแล้ว ระดับความเร็วของเขาสู้ฉู่ชวิ๋นไม่ได้ กระบองทองคำตวัดตามติดเข้ามาอย่างใกล้ชิดมากขึ้นทุกทีๆ

ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจคำของชายชรา เขาฟาดกระบองลงไปเต็มแรง

“เตรียมรับมือ”

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยกหม้อปรุงยาขึ้นกำบัง ส่วนที่เหลือของร่างกายโคจรพลังลมปราณตั้งรับแรงกระแทก

ฉู่ชวิ๋นรวบรวมพลังลมปราณเต็มที่แล้ว แต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ร่างของเขาถูกดีดสะท้อนกลับมาด้วยพลังลมปราณที่กล้าแข็งของอีกฝ่าย เมื่อเท้าของเขาแตะลงบนพื้นดินอีกครั้ง พื้นดินก็เกิดรอยแตกร้าวขึ้นทันที

ฉู่ชวิ๋นยืนนิ่งอยู่กับที่ หันไปมองหน้าเยวี้ยฟ๋านเตี๋ย

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็กำลังขมวดคิ้ว จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน

“ไม่ได้ยินที่ฉันบอกให้หยุดหรือไง?”

“ได้ยิน”

“ได้ยินแล้วทำไมไม่หยุด?”

“ผมไม่ได้มีหน้าที่เชื่อฟังคำสั่งของคุณ”

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่แค่นหัวเราะออกมาเท่านั้น

กลุ่มคนที่อยู่โดยรอบไม่เข้าใจอะไรอีกแล้ว พวกเขาต่างจ้องมองด้วยความสงสัย ท่านผู้นำเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?

“ทุกคนไสหัวไป” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยกวาดตามองรอบตัว แล้วตะโกนว่า

“มายืนดูกันอยู่ทำไม ไม่ฝึกซ้อมกันหรือไง ไม่เคยเห็นคนท้าประลองกันใช่ไหม? ถ้าไม่ติดว่าฉันยังต้องคุยธุระกับนายท่านฉู่ชวิ๋น ฉันจะจัดการพวกแกเดี๋ยวนี้แหละ ไสหัวไปได้แล้ว!”

บรรดาลูกศิษย์ที่ยืนดูอยู่รอบลานประลองถึงกับวงแตกทันที พวกเขากระจายกันไปคนละทิศละทางเหมือนมดแตกรัง ท่านผู้นำหมายถึงอะไรกันนะ? ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าถูกเอากระบองไล่ตีจนหมดท่าแล้วยังจะมาคุยธุระอะไรกันอีก? หรือว่าเมื่อสักครู่นี้ มันเป็นเพียงแค่การประลองอย่างนั้นหรือ?

ฉู่ชวิ๋นหันไปขยิบตาให้จิ่วโยว แล้วคนของเขาก็ล่าถอยไปเช่นกัน

ในลานประลองเหลือแต่เพียงเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยและฉู่ชวิ๋นยืนอยู่ด้วยกันแค่สองคนเท่านั้น

“ฉู่ชวิ๋น ฉันนับถือฝีมือเธอจริงๆ!” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยประสานมือคำนับและพูดว่า “ฉายาจอมมารฉู่ ช่างเก่งกาจสมคำเล่าลือ”

“ผมเขินแล้วนะเนี่ย!” ฉู่ชวิ๋นประสานมือคำนับกลับไป พูดว่า “ฝีมือของท่านผู้เฒ่าก็น่าเลื่อมใสเหมือนกัน”

คนนอกต่างก็ไม่รู้ว่าการต่อสู้เมื่อสักครู่นี้ เป็นเพียงแค่การทำความรู้จักของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น พวกเขาทำการประลองขึ้นทั้งหมดด้วยกัน 4 ยก

ยกแรกเป็นการประลองด้วยกระบวนท่า เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ !

ยกที่สองเป็นการประลองด้วยอาวุธ เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ !

ยกที่สามเป็นการประลองความเร็ว เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ !

ยกที่สี่เป็นการประลองพลังลมปราณ ฉู่ชวิ๋นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ !

ฉู่ชวิ๋นอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ นับว่าเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเป็นผู้ที่มีพลังลมปราณแข็งแกร่งที่สุด เท่าที่เขาเคยเจอหลังกลับมาสู่โลกมนุษย์ อย่างน้อยชายชราคนนี้ต้องเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 หรือไม่ก็สูงมากกว่านั้น

ในทางกลับกัน เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็แอบชื่นชมฉู่ชวิ๋นอยู่ไม่ใช่น้อย ด้วยอายุเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มกลับมีพลังฝีมือถึงขนาดนี้ นับว่าควรค่าแก่การเคารพจริงๆ

“ฉู่ชวิ๋น เชิญตามฉันมา“ ชายชราเรียกให้ฉู่ชวิ๋นเดินตามไป

“ท่านผู้เฒ่าเยวี้ย เชิญนำทาง“

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพลันหยุดเท้าและหันมาถามว่า “ถ้าเราสองคนเปลี่ยนจากมิตรสหาย มาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน คุณว่ามันจะดีไหม?”

ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออก พี่น้องร่วมสาบานอย่างนั้นหรือ? ตาแก่คนนี้เป็นปู่ทวดของเขาได้ด้วยซ้ำ จะมาเป็นพี่น้องกันได้ยังไง อย่างน้อย เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตอนนี้ก็คงมีอายุไม่ต่ำกว่า 300 ปีแล้ว

“ไม่อยากได้ฉันเป็นพี่ชายหรือ? ฉันแก่เกินไปใช่ไหม?” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพูดเสียงดัง

ฉู่ชวิ๋นรีบส่ายหน้า ถึงแม้ว่าเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยจะมีชีวิตอยู่มาแล้ว 300 กว่าปี แต่เขาก็ยังคงมีความกระชุ่มกระชวยและมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จน่านับถือ

อันที่จริงแล้ว เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ให้ตนเองดูหนุ่มแน่นมากขึ้นกว่านี้ได้อีกเยอะ ถ้าเขาต้องการ

“ได้เลยครับ คุณกับผม เราเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน” ฉู่ชวิ๋นรับคำ

ว่ากันตามความจริง เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยมีวิธีจัดการเรื่องราวหลายอย่างคล้ายคลึงกับเขา โดยเฉพาะการปกป้องชาวเมืองผู้บริสุทธิ์

“ฮ่าๆ…” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยหัวเราะด้วยความชอบอกชอบใจ

“สมาชิกปราสาทจตุรเทพ มารวมตัวกันที่ลานประลองเดี๋ยวนี้“ เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยส่งเสียงคำราม ก้องกังวานไปทั่วปราสาทจตุรเทพ

ไม่กี่นาทีต่อมา กลุ่มคนก็มารวมตัวกันที่ลานประลองตามคำสั่ง

ทุกคนไม่มีเวลาได้ตั้งสติ เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยดึงฉู่ชวิ๋นออกมายืนอยู่ข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“ทุกคนฟังฉันให้ดี ฉู่ชวิ๋นกับฉันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว เมื่อทุกคนพบเจอเขา จงแสดงความเคารพต่อเขา เหมือนกำลังพบเจอฉัน”

ห๊ะ!

กลุ่มคนได้แต่เบิกตาโตเป็นไข่ห่าน

เมื่อสักครู่นี้ยังสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ตอนนี้ กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้วหรือ?

โดยเฉพาะชายวัยกลางคนสามคน ที่หันมองหน้ากันด้วยความไม่อยากเชื่อ

ชายชราทั้งสามคนนี้ คือลูกชายของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ย พวกเขามีอายุกว่า 200 ปี และกำลังจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง