ตอนที่ 277 ไม่เปลี่ยน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ท่านน้าฉือบอกว่า จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!

เพื่อนางแล้วเขาถึงได้ให้เฉิงสวี่ไปอยู่ที่เจ่าหยวน!

ในใจของโจวเสาจิ่นลิงโลดประหนึ่งมีลูกนกซ่อนอยู่ในอกตัวหนึ่งก็ไม่ปาน รู้สึกว่าย่างก้าวของตัวเองค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา

กิ่งไม้ที่ยื่นออกมาข้างทางกวาดผ่านชายกระโปรงของนาง นางจึงราวกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

เหตุใดนางต้องวิ่งด้วย

ไหวซานและฉินจื่อผิงมาหาเขาเพราะมีธุระ นางก็จะได้ไปเล่นกับจี๋อิ๋ง!

ตอนนี้จี๋อิ๋งก็กลับมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางก็อยากฟังด้วยว่าหลังจากที่จี๋อิ๋งออกไปแล้วได้พบเจอเรื่องอะไรที่น่าสนใจบ้าง…

โจวเสาจิ่นหัวเสียเป็นอย่างมาก หยุดฝีเท้าลงอย่างอดไม่ได้ หักกิ่งไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติกิ่งนั้นมาถือไว้และปลิดใบของมันออกอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย

“เสาจิ่นๆ” มีคนตะโกนเรียกชื่อนางเบาๆ

โจวเสาจิ่นมองไปรอบด้าน กว่าครู่ใหญ่ถึงได้เห็นเงาของเฉิงเจียที่แอบอยู่ด้านหลังต้นตงชิงแถวหนึ่ง

“เจ้าไปหมอบทำอะไรอยู่ตรงนั้น” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลงมองนางอย่างประหลาดใจ

เฉิงเจียกล่าวอย่างอับอายว่า “นี่มิใช่ว่าอยู่เรือนหานปี้ซานหรืออย่างไร ข้ากลัวว่าจะพบกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้า!”

“เป็นไปไม่ได้กระมัง!” ครู่ใหญ่กว่าโจวเสาจิ่นจะมีปฏิกิริยาตอบกลับมา กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ากัวใจดีมาก” นางไปดึงเฉิงเจีย “เจ้ารีบลุกขึ้นมา! เจ้าดูสภาพของเจ้าสิว่าเหมือนตัวอะไรไปแล้ว เจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนสามนะ!”

เฉิงเจียหัวเราะอย่างขัดเขิน ลุกขึ้นตามแรงดึงของโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นกล่าว “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ขณะที่กล่าว นางก็มองไปรอบๆ “แล้วยังมาคนเดียวอีก?”

“ไอ้โหยว!” สีหน้าของเฉิงเจียมีรอยขุ่นเคืองอยู่หลายส่วน กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่าถามเลย! ข้ามาแอบอยู่ที่นี่ก็เท่านั้น”

โจวเสาจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถามขึ้นอย่างคาดเดาว่า “เจ้าทะเลาะกับท่านป้าใหญ่หลูมาหรือ”

เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างยึกยักเล็กน้อย “ก็ไม่นับว่าเป็นการทะเลาะกระมัง ก็แค่โต้เถียงกันอีกแล้วก็เท่านั้น กล่าวคือ นี่มิใช่ว่าใกล้จะถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างแล้วหรอกหรือ พี่ชายจิ้งของข้าให้คนนำของขวัญมามอบให้ ท่านแม่ข้ากล่าวว่าเขาเป็น พังพอนที่มาคารวะแม่ไก่[1] ไม่น่าไว้ใจ ข้าจึงพลั้งปากกล่าวไปประโยคหนึ่งว่า ท่านพูดได้อย่างไรว่าตัวเองเป็นแม่ไก่ ท่านแม่ของข้าโกรธมาก หยิบไม้ปัดขนไก่มาจะตีข้า โชคดีที่ข้าวิ่งหนีได้ทัน ไม่อย่างนั้นเกรงว่าครั้งนี้คงถูกจับตัวไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ห้องบรรพชนแล้ว” กล่าวจบ นางก็พร่ำบ่นอีกว่า “พี่ชายจิ้งก็จริงๆ เลย ปีก่อนๆ ก็ไม่เห็นเขาจะส่งของขวัญมาให้ ปีนี้กลับส่งมาให้อย่างใจร้อน ยังถูกมารดาข้ารังเกียจไม่พออีกหรืออย่างไร! เขายังจะมาบอกให้ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา ข้าจะเชื่อมั่นในตัวเขาได้อย่างไร!”

โจวเสาจิ่นฟังนางที่พร่ำบ่นเสียเป็นส่วนมาก ขุ่นเคืองเป็นส่วนน้อยแล้ว ก็รู้ได้ว่านางเพียงแค่ต้องการหาใครสักคนคุยด้วยเท่านั้น จึงไม่ตอบอะไร เดินนำนางไปที่เรือนฝูชุ่ย สั่งให้ปี้เถาช่วยล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวให้เฉิงเจียใหม่อีกครั้ง แล้วไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นเพื่อนนาง

เด็กสาวกับผู้อาวุโสไม่เพียงต่างกันด้วยอายุและระดับชั้นเท่านั้น ความสนใจและความชอบก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย

โจวเสาจิ่นเล่นกับเฉิงเจียมาตั้งแต่เด็ก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยินดีที่เห็นนางยังไปมาหาสู่กับเฉิงเจียอยู่

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแย้มพร้อมกับมอบกำไลข้อมือทองให้เฉิงเจียคู่หนึ่ง ยังบอกกับนางอีกว่า ‘ยามว่างก็มาเล่นอีกได้’

เฉิงเจียปลาบปลื้มกับความโปรดปรานที่คาดไม่ถึง พอออกจากเรือนหลักก็คล้องแขนของโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้าช่างมีวาสนายิ่งนัก ถึงกับขอความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ แค่ข้าเห็นนางขาก็สั่นไปหมดแล้ว เจ้าต้องเลี้ยงข้าวข้าถึงจะถูก”

ถึงแม้คำพูดจะกล่าวอ้อมไปอ้อมมาเล็กน้อย ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเข้าใจแล้ว

ตอนที่พี่สาวออกเรือน พี่เขยมอบซองแดงให้นางซองใหญ่หนึ่งซอง

ตอนนี้นางมีเงินอยู่ในมือ

“เจ้าอยากกินอะไร” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างหน้าใหญ่ใจโต “หากในครัวไม่มี ข้าจะให้คนไปซื้อมาให้”

“ข้าอยากกินเนื้อย่าง” เฉิงเจียดีใจเป็นที่สุด กล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “เหมือนกับที่เขากินกันข้างนอกนั่น เนื้อย่างที่ย่างด้วยถ่าน”

เช่นนั้นคงต้องให้คนออกไปซื้อมาให้แล้วจริงๆ

โจวเสาจิ่นสั่งการลงไป

ฝานฉีวิ่งออกไปหาจนเกือบจะทั่วเมือง และแล้วพวกนางก็ได้กินเนื้อย่างเป็นมื้อเที่ยง

เฉิงเจียรับประทานอย่างมีความสุข

เฉิงฉือมองโต๊ะอาการที่ขาดโจวเสาจิ่นไปคนหนึ่งอย่างแปลกใจ เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้เสาจิ่นรับมื้อเที่ยงที่เรือนของตัวเองหรือขอรับ ไม่สบายใจตรงไหนหรือไม่”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มขณะให้ปี้อวี้ประคองไปนั่งลงข้างโต๊ะ กล่าวขึ้นว่า “หลานเจียของจวนสามมาหา บอกว่าอยากกินเนื้อย่างอะไรสักอย่าง เสาจิ่นให้คนออกไปซื้อมา เกรงว่าตอนนี้คงกำลังกินกันอย่างเอร็ดอร่อยอยู่กระมัง!”

“อากาศเช่นนี้ ยังจะกินเนื้อย่างอะไรอีก!” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ระวังจะเป็นร้อนในเอาได้!”

“มากกว่าครึ่งคงเป็นความคิดของหลานเจีย” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ “เสาจิ่นเชื่อฟังว่านอนสอนง่ายมาตลอด บางครั้งกลางคืนอยากจะดื่มเห็ดหิมะต้มเม็ดบัวสักถ้วยยังไม่กล้ารบกวนบ่าวในครัวเลย แล้วจะร้องอยากกินของที่ต้องไปซื้อหามาจากข้างนอกประเภทนั้นได้อย่างไร” กล่าวอีกว่า “พวกนางอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งสองคนก็ไม่มีพี่น้องมากมาย คบหาเล่นด้วยกันได้ก็ถือว่าไม่เลว ต่อไปหากแต่งงานแล้ว ก็มีคนให้ไปมาหาสู่กันได้ผู้หนึ่ง”

เฉิงฉือไม่ได้กล่าวอะไร อยู่รับมื้อเที่ยงที่เรือนหลักเสร็จแล้วก็กลับ

เฉิงเจียกับโจวเสาจิ่นซ่อนตัวอยู่บนเตียงพูดคุยความในใจกัน “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าท่านแม่ของข้าคิดอย่างไร ราวกับประทัดก็ไม่ปาน เพียงจุดก็ปะทุแล้ว ข้าไม่รู้จริงๆ แล้วว่าควรจะพูดคุยกับนางอย่างไรดี! เป็นเจ้ายังจะดีเสียกว่า มารดาเลี้ยงของเจ้าอยู่ไกลถึงเมืองเป่าติ้ง นางมาเจ้ากี้เจ้าการกับเจ้าไม่ได้ นายหญิงผู้เฒ่ากวนก็โปรดปรานเจ้าถึงเพียงนี้ เนื่องจากพี่ชายเก้าจะแต่งงานต้องปรับปรุงเรือนใหม่ กลัวว่าช่วงนี้จะดูแลเจ้าได้ไม่ทั่วถึง จึงพาเจ้ามาให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวช่วยดูแลให้เป็นพิเศษ ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ดีกับเจ้า เพื่อเห็นแก่หน้าเจ้าแล้ว ยังมอบกำไลข้อมือทองให้ข้าคู่หนึ่งอีกด้วย…”

โจวเสาจิ่นกลับฟังอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก

เฉิงเจียวิ่งหนีออกมาเช่นนี้ นางไม่อาจปล่อยให้ท่านป้าใหญ่หลูเป็นกังวลใจได้ ก่อนรับประทานมื้อเที่ยงจึงให้คนไปแจ้งท่านป้าใหญ่หลูแล้วครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าช่วงบ่ายท่านป้าใหญ่หลูจะมารับตัวเฉิงเจียหรือไม่

หากช่วงบ่ายเฉิงเจียกลับจวนสามไปแล้ว นางจะไปเล่นกับจี๋อิ๋งที่เรือนหลีอินดี หรือว่านั่งปักรูปองค์กวนอิมอยู่ที่เรือนดีนะ

อากาศดีเช่นนี้ เรือนหลีอินก็ร่มรื่นยิ่ง หากได้ขดตัวอยู่บนตั่งหลัวฮั่นภายในห้องจี๋อิ๋ง ฟังจี๋อิ๋งเล่าเรื่องด้านนอกให้ฟังย่อมน่าสนใจกว่านั่งปักรูปองค์กวนอิมอยู่ในห้องอย่างแน่นอน

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกกระสับกระส่ายอยู่ในใจเล็กน้อย กล่าวตัดบทเฉิงเจียที่กำลังเจื้อยแจ้วอยู่ตรงนั้นว่า “ท่านแม่ของเจ้าคงกำลังเป็นกังวลด้วยเรื่องแต่งงานของเจ้า เจ้าก็อย่ามีเรื่องกับนางด้วยเรื่องพวกนี้เลย นางว่าอะไรเจ้าก็ฟังอย่างว่าง่ายก็พอ ยิ่งเจ้าพูดเกรงว่านางจะยิ่งวุ่นวายใจ”

เฉิงเจียกล่าว “เจ้าไม่รู้หรอกว่า ต่อให้ข้าไม่พูดนางก็หาเรื่องขึ้นมาได้…”

โจวเสาจิ่นไม่รอให้นางพูดจบก็กล่าวขึ้นมาก่อนว่า “เช่นนั้นเจ้าก็หลบหลีกนางเสียก็พอ”

เฉิงเจียลุกขึ้นมานั่ง กล่าวขึ้นว่า “จะหลบหลีกนางอย่างไร นอกจากไปคารวะยามเช้าและเย็นแล้ว ทุกวันเวลาไม่มีธุระอะไรแล้วนางก็จะวิ่งมาดูว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่ ทำราวกับว่าที่พี่ชายจิ้งส่งของขวัญมาให้ที่จวนนั้นเป็นเพราะข้าไปยุยงส่งเสริมเขาอย่างไรอย่างนั้น”

ช่างเป็นเรื่องยุ่งเหยิงยิ่งนัก!

โจวเสาจิ่นหลับตาลง กล่าวงึมงำขึ้นว่า “ตอนนี้ข้าง่วงมาก ประเดี๋ยวตื่นขึ้นมาแล้วค่อยช่วยเจ้าคิดอีกที”

เฉิงเจียดันตัวนางอย่างไม่ยินยอม

นางแสร้งทำเป็นนอนหลับ

เฉิงเจียถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ได้แต่เอนตัวนอนลงไปอีกครั้ง

โจวเสาจิ่นเผลอหลับไปจริงๆ

เพียงแต่ว่าขณะที่กำลังเคลิ้มๆ อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงอึกทึกหนึ่งดังอยู่ด้านนอก

โจวเสาจิ่นยังไม่ตื่นเต็มตาดี เฉิงเจียก็กล่าวขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ราวกับตื่นอยู่ตลอดก็ไม่ปาน

ชุนหว่านวิ่งเข้ามาด้วยรอยยิ้มเต็มดวงหน้า กล่าวขึ้นอย่างยินดีว่า “คุณหนูรอง คุณหนูเจีย คุณชายใหญ่สวี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”

เฉิงสวี่!

โจวเสาจิ่นตกใจจนหายจากอาการง่วงงุนเป็นปลิดทิ้ง กระโดดโหยงลุกขึ้นมานั่ง ถามขึ้นว่า “คุณชายใหญ่สวี่ถึงไหนแล้ว เข้าจวนมาหรือยัง”

ชุนหว่านพยักหน้ายิ้มๆ ขานตอบว่า “ยิ่งกว่าเข้าจวนมาอีกเจ้าค่ะ ตอนนี้มาถึงเรือนหลักของฮูหยินผู้เฒ่ากัวแล้ว บอกว่าอยากทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าประหลาดใจ ก็เลยห้ามมิให้พ่อบ้านมาแจ้งฮูหยินผู้เฒ่ากับนายท่านสี่ลวงหน้า…ตอนนี้กำลังคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่เรือนหลักเจ้าค่ะ!”

เฉิงเจียสวมรองเท้าแล้วให้ชุนหว่านเรียกสาวใช้เด็กเข้ามาช่วยหวีผมให้นาง กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะไปพบพี่ชายสวี่สักหน่อย”

โจวเสาจิ่นกลับขมวดคิ้วมุ่น ถามชุนหว่านว่า “ท่านน้าฉือเล่า”

ชุนหว่านรีบเรียกสาวใช้เด็กเข้ามาปรนนิบัติพวกนางล้างหน้าและแต่งตัว กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่อยู่ที่เรือนหลีอิน พอได้ยินว่าคุณชายใหญ่สวี่กลับมาแล้ว ก็ให้ลุงไหวซานไปแจ้งว่า หลังจากที่คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จแล้วให้เขาไปหาที่ห้องหนังสือ น่าจะมีธุระต้องการคุยกับคุณชายใหญ่สวี่เจ้าค่ะ!”

เฉิงจิงไม่อยู่ เฉิงฉือจึงเป็นผู้อาวุโสฝ่ายชายที่ใกล้ชิดกับเฉิงสวี่ที่สุดแล้ว เขากลับมา นอกจากต้องไปคารวะเฉิงฉือแล้ว ยังต้องไปฟังคำอบรมสั่งสอนจากเฉิงฉือด้วย

แต่นางอยากให้ท่านน้าฉืออบรมเฉิงสวี่อย่างจริงจังหนักๆ สักครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นวิพากษ์อยู่ในใจ กล่าวกับเฉิงเจียที่กำลังเตรียมตัวไปเจอเฉิงสวี่ที่เรือนหลักอย่างกระตือรือร้นว่า “เจ้าไปเรือนหลักคนเดียวเถิด! ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เจอพี่ชายสวี่มานานแล้ว ต้องมีเรื่องอยากคุยกับเขามากมายเป็นแน่ ข้าไม่ไปดีกว่า รอให้ถึงตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจัดเลี้ยงต้อนรับพี่ชายสวี่ช่วงหัวค่ำข้าค่อยไปทักทายพี่ชายสวี่ก็ยังไม่สาย”

ถึงเวลานั้นนางค่อยหาข้ออ้างไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงก็ได้แล้ว

นางเชื่อว่าท่านน้าฉือจะต้องมีวิธีให้นางกับเฉิงสวี่ไม่ต้องพบหน้ากันอย่างแน่นอน

ได้ยินโจวเสาจิ่นกล่าวเช่นนี้ เฉิงเจียพลันรู้สึกว่าตัวเองใจร้อนไปสักหน่อย จึงกล่าวอย่างหดหู่ว่า “ช่างเถิด! ข้าก็ยังไม่ไปก็แล้วกัน ตอนที่เขาไปเมืองหังโจวเมื่อคราวก่อนเคยเอาเหล้าบ๊วยมาฝากข้าไม่น้อยเลย”

โจวเสาจิ่นกล่าว “คงมิใช่ว่าที่เจ้าอยากไปเจอเพราะจะไปดูว่าพี่ชายสวี่เอาอะไรมาฝากเจ้าบ้างหรอกกระมัง”

เฉิงเจียหัวเราะร่า

มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “คุณหนูรอง ชุ่ยหวนมาเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นมองเฉิงเจียครั้งหนึ่ง

เฉิงเจียถอนหายใจอย่างไม่มีทางเลือก ให้คนพาชุ่ยหวนเข้ามา

ชุ่ยหวนทำความเคารพทั้งสองคนเสร็จแล้ว กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง คุณหนู คุณชายใหญ่สือและคุณชายใหญ่สวี่ต่างกลับมากันหมดแล้ว ฮูหยินบอกว่าให้ท่านรีบกลับไปให้ไวสักหน่อย ช่วงหัวค่ำท่านผู้นำตระกูลจวนรองจะจัดงานเลี้ยงที่ศาลาทิงอวี่ เป็นการต้อนรับคุณชายใหญ่สือและคุณชายใหญ่สวี่เจ้าค่ะ”

เฉิงเจียร้องโอดครวญเสียงหนึ่งว่า “ข้าล่ะกลัวงานเลี้ยงประเภทนี้ที่สุด พวกพี่ชายใหญ่ฟังคำอบรมสั่งสอนของท่านผู้นำตระกูลอยู่ด้านนอก ส่วนพวกเราก็นั่งรออยู่ตรงนั้นจนอาหารเย็นชืด”

โจวเสาจิ่นตกใจ

คงมิใช่ว่าถึงเวลาแล้วจะเรียกตัวนางออกไปด้วยหรอกกระมัง

หลังจากส่งเฉิงเจียแล้ว โจวเสาจิ่นให้ชุนหว่านไปเรือนหลีอินครั้งหนึ่ง “ไปถามท่านน้าฉือเรื่องงานเลี้ยงที่ศาลาทิงอวี่!”

ยังไม่ทันที่ชุนหว่านจะได้ขานรับคำ เสี่ยวถานก็วิ่งเข้ามาก่อน กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง นายท่านสี่บอกว่า ช่วงค่ำจะมีงานเลี้ยงจัดขึ้นที่ศาลาทิงอวี่ ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว จึงไม่ไปร่วมด้วย ให้ท่านอยู่บ้านรับประทานอาหารเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า เขากับคุณชายใหญ่สวี่จะไปร่วมงานที่ศาลาทิงอวี่เจ้าค่ะ”

“ได้!” โจวเสาจิ่นยิ้มตาหยีจนคิ้วโก่งโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว

นางรู้อยู่แล้วว่า ท่านน้าฉือไม่มีทางปล่อยให้นางเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอย่างแน่นอน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลับกล่าวกับเฉิงฉืออย่างลังเลเล็กน้อยว่า “เช่นนี้จะดีหรือ หรือไม่ก็ให้เสาจิ่นไปพร้อมกับพวกเราด้วยดีหรือไม่”

เฉิงฉือยิ้มเย็น กล่าวขึ้นว่า “งานเลี้ยงประเภทนั้นมีประโยชน์อะไรด้วยหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมองแววตาของเฉิงฉือแล้วพลันรู้สึกเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็อยู่บ้านก็แล้วกัน หากท่านผู้นั้นถามขึ้นมา เจ้าก็บอกเขาไปว่า ข้าไม่อยากร่วมงานเลี้ยงของครอบครัว ไม่ต้องหาข้อแก้ตัวอะไรให้ทั้งนั้น ให้พูดไปตามนี้”

เฉิงฉือหัวเราะขึ้นมา ความเยือกเย็นบนใบหน้าละลายคลายลง น้ำเสียงอบอุ่นมากกว่าปกติ “ท่านแม่ ท่านต้องเชื่อมั่นในตัวบุตรชายถึงจะถูก”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

………………………………………………………………….

[1] พังพอนที่คารวะแม่ไก่ เปรียบเปรยถึงคนที่มาด้วยเจตนาร้าย ดั่งพังพอนที่หมายจะมาจับแม่ไก่กิน