บทที่ 27 ฉู่ฉีเหยียน (5) โดย Ink Stone_Romance
“ท่านย่า เยียนเอ๋อร์ นางเพียงใช้อารมณ์เด็กๆ เท่านั้น…” เจิ้งเหวินคังเข้าไปพยุงฮูหยินเจิ้งไว้ ทั้งกล่าวขอร้อง
“ไม่ว่าใครหน้าไหนอย่าได้มาขอความเห็นใจ นางก่อเรื่องเลวร้ายขึ้นเช่นนี้ ก็ให้นางคิดทบทวนเรื่องราวอยู่ในห้องเสีย และถ้าหากว่ายังคิดไม่ได้ ชั่วชีวิตนี้ก็อย่าหวังที่จะได้ออกมาอีกเลย” ฮูหยินเจิ้งกล่าวอย่างโมโห ในตอนที่เดินไปถึงหน้าประตู สายตานั้นประกายมองจวี๋เซียงที่นั่งตัวสั่นราวลูกนกอยู่ที่พื้น ออกคำสั่งขึ้นอีกครั้ง “นังเด็กคนนี้ก็ลากตัวออกไปด้วย ประกาศไปว่าท่านหญิงใหญ่พลัดตกน้ำ หากใครกล้าหลุดปากโป้งไปแม้แต่คำเดียว ก็จัดการให้หมด!”
ยามที่พูดถึงประโยคสุดท้ายก็แทบที่จะอดไม่ไหวตะเบ็งเสียงดังออกมา
หลายปีมานี้ เจิ้งเหวินคังยังไม่เคยพบฮูหยินเจิ้งเสียอาการหมดสภาพเช่นนี้มาก่อน จึงอ้าปากค้าง แต่ก็ไม่กล้าพูดเกลี้ยกล่อมอันใด ทำได้เพียงมองนางเดินจากไป
ด้านนอกปรากฏร่างหญิงแก่เดินเข้ามา ก่อนจะลากจวี๋เซียงที่นั่งกองอยู่กับพื้นออกไป
เจิ้งเยียนมีท่าทีหวาดกลัว โดยเฉพาะเมื่อตอนที่เห็นจวี๋เซียงส่งสายตาขอความช่วยเหลือก็ราวกับมองเห็นตนเองอย่างไรอย่างนั้น
นางตัวสั่นเทิ้มไปชั่วขณะ จู่ๆ พลันนึกเสียใจที่เมื่อสักครู่หุนหันพลันแล่นไปเช่นนั้น นางนึกกลัวจึงรีบถลาไปดึงชายเสื้อของเจิ้งเหวินคังไว้ทันที “พี่ใหญ่ ท่านช่วยคิดหน่อยสิ อย่าปล่อยให้ท่านย่าขังข้าเลยนะ”
เจิ้งเหวินคังมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของนาง ความรู้สึกในใจนั้นประดังประเดเข้ามาพร้อมกันในคราเดียว รู้สึกเจ็บปวดไปด้วยไม่ต่างกัน
“นิสัยท่านย่าเป็นอย่างไร เจ้ายังไม่รู้อีก เมื่ออยู่ต่อหน้านาง แค่พูดจานุ่มนวลขอความเมตตาก็น่าจะใช้ได้แล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้จักกาลเทศะถึงเพียงนี้” เจิ้งเหวินคังกล่าว สะบัดชายเสื้อเดินออกไปด้านข้างอย่างเจ็บใจที่นางทำให้เขาผิดหวัง
เจิ้งเยียนเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็พอจะเดาได้แล้ว เขาไม่อาจไปขอความเมตตาแทนนางเป็นแน่ จึงรู้สึกหมดหวังขึ้นมา กระทืบเท้าอย่างเจ็บใจ ทั้งยังถลาไปร้องไห้อยู่ที่โต๊ะด้านข้าง “ข้าเพียงแค่สงสารท่านแม่เท่านั้น ข้าผิดอันใดเล่า?”
“เจ้า…” เจิ้งเหวินคังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายมิอาจพูดออกมาได้อย่างใจนึก
ครั้งที่แล้วที่ฉู่สวินหยางเข้ามาพูดคุยลับๆ กับเจิ้งตั๋ว ก็บอกจุดประสงค์ของฮูหยินเจิ้งกับเขาแล้ว ความตั้งใจเดิมของสกุลเจิ้งก็เพื่อที่จะให้สองฝ่ายไม่ล่วงเกินกัน กลับไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ก็ถูกเจิ้งเยียนก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดผิดใจกันซะอย่างนั้น
ท่าทีของฉู่สวินหยางนั้นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งยังพูดจาว่าง่าย ท่วาด้านฉู่ฉีเหยียนกลับมีท่าทีราวกับเป็นปรปักษ์กับพวกเขาพี่น้องอย่างไรอย่างนั้น
“ช่างเถิด เจ้าก็อย่าร้องเลย กลับไปสงบจิตสงบใจที่เรือนเจ้าไม่กี่วัน รอท่านย่าคลายความโกรธแล้ว ข้าจะไปพูดให้เจ้าอีกครั้ง” เมื่อตั้งสติได้ เจิ้งเหวินคังจึงพูดออกไป
“แต่ว่าท่าทีเช่นนั้นของท่านย่า…” เจิ้งเยียนดวงตาแดงกล่ำ ในใจกลับไม่กล้าคาดหวังให้สำเร็จดั่งใจคิด
“เจ้าเป็นหลานสาวคนเดียวของนาง ยังคิดว่านางจะสามารถขังเจ้าไว้ได้ตลอดไปรึ?” เจิ้งเหวินคังกล่าว เริ่มที่จะหงุดหงิดมาบ้างแล้ว
“อืม!” เจิ้งเยียนเช็ดน้ำพลางผงกศีรษะ
ก่อนที่สาวใช้ข้างกายของนางจะเดินเข้ามาช่วยพยุง นางเดินออกจากประตูไปได้เพียงสองก้าว จู่ๆ ก็ราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงขมวดคิ้วหันกลับมากล่าวกับเขา “พี่ใหญ่ ท่านว่า พี่ฉีเหยียน…เหตุใด…”
เมื่อพูดถึงฉู่ฉีเหยียน…ความรู้สึกน้อยใจในอกที่นางกักเก็บเอาไว้เมื่อครู่ก็พรั่งพรูขึ้นมาทันที รีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาอีกครั้ง
นางและฉู่ฉีเหยียนเป็นญาติพี่น้องที่วิ่งเล่นมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก อีกทั้งช่วงนี้ข่าวลือด้านนอก เขาก็ไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธอย่างแน่ชัด ทำให้ใจของนางยิ่งมีความหวังมากขึ้น ดังนั้นเวลานี้ท่าทีเย็นชาเช่นนี้ของเขา จึงยิ่งทำให้ยากที่จะยอมรับได้
“เขา…” เจิ้งเหวินคังก็โกรธเขาจากเรื่องนี้เช่นกัน กลับไม่ได้พูดอะไรอย่างชัดเจนออกมา ทำได้แค่กล่าวปลอบใจไปว่า“เขาน่าจะแค่พูดลอยๆออกมาเท่านั้น เจ้าอย่าคิดมากเลย อย่างไรเสีย…พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน!”
เจิ้งเยียนขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ยังคิดว่าฉู่ฉีเหยียนไม่มีเหตุผลอันใดที่ต้องทำร้ายนาง ไม่ทันได้มีเวลาให้นางคิดเล็กคิดน้อย ก็ถูกสาวใช้พยุงกายออกไป
ฉู่ฉีเหยียนและฉู่สวินหยางออกจากสกุลเจิ้งก็ร่วมทางกลับไปยังวังบูรพา จวบจนงานเลี้ยงเลิกราจึงค่อยออกไปพร้อมแขกคนอื่นๆ ภายในงานก็ยังคงเป็นอย่างเช่นเคย ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรแปลกๆแม้แต่น้อย
รอจนส่งแขกเหลื่อเรียบร้อยแล้ว ฉู่ฉีเฟิงจึงค่อยกลับเรือนจิ่นโม่ไปพร้อมกับฉู่สวินหยาง
ฉู่สวินหยางเล่าเรื่องราวคร่าวๆของจวนผิงกั๋วกงให้เขาฟัง พอพูดถึงตอนสุดท้ายจึงค่อยประกายสายตาวาบขึ้นมา “ก่อนหน้านี้พวกเราคาดการณ์ผิดไป ฉู่ฉีเหยียนนั้นทราบเรื่องที่ฉู่หลิงอวิ้นและเจิ้งเยียนร่วมมือกันตั้งนานแล้ว ทว่าจุดประสงค์ของเขากลับไม่เหมือนกับจะแย่งจวนผิงกั๋วกงไปจากมือพวกเรา กลับเป็น…”
ในขณะที่นางพูด ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ เหลือบมองไปที่ฉู่ฉีเฟิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เรื่องของสกุลเจิ้งที่ไม่รู้กาลเทศะ ราวกับว่าเขาก็ไม่ได้มีความอดทนกับเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว จุดนี้พวกเราประเมินเขาต่ำไป บางทีตั้งแต่แรกเริ่มเขาก็อาจไม่ได้คาดหวังกับจวนผิงกั๋วกงมากมายอยู่แล้ว เมื่อถึงเหตุสุดวิสัยจึงลอบดึงฟืนออกจากหม้อ[1] ไม่ว่าจะหยกงามหรือก้อนหินก็เอามาเผาจนหมดสิ้น!”
เดิมทีฉู่ฉีเหยียนก็ไม่ได้คิดเสียแรงไปซ่อมแซมความสัมพันธ์กับจวนผิงกั๋วกง วันนี้ยิ่งออกหน้าผิดใจกับอีกฝ่าย ดูจากสถานการณ์เช่นนี้ หากมีสักวันหนึ่งที่จวนผิงกั๋วกงเบนมาทางวังบูรพาของพวกเรา เช่นนั้นวิธีที่อีกฝ่ายอาจจะใช้ก็คือทำลายจวนผิงกั๋วกงให้สิ้น ยอมเหนื่อยเพียงครั้งเดียวเพื่อความสบายในอนาคต
“แผนการของคนผู้นี้แต่ไหนก็ล้วนแปลกไม่เหมือนใคร ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ฉู่ฉีเฟิงกลับไม่ได้ตกใจจากการคาดการณ์ที่ว่าสักเท่าไร พริ้มตาลงจิบชาหนึ่งคำก่อนจะกล่าว “เช่นนั้นความหมายของเจ้าล่ะ? จวนผิงกั๋วกงยังคุ้มค่าพอที่จะให้พวกเราลงแรงอยู่หรือไม่?”
ฉู่สวินหยางเบ้ปาก “ฮูหยินเจิ้งและจวนผิงกั๋วกงล้วนมิอาจประมาทได้ แต่ว่า…เจิ้งเหวินคังนั้น…”
คนผู้นั้นกลับไม่มีประโยชน์เสียแล้ว
“เช่นนั้นก็ปล่อยไปตามเรื่องตามราวเถิด สามารถใช้การได้ก็ใช้ต่อไป หากใช้ไม่ได้แล้วก็ทิ้งไปเสีย” ฉู่ฉีเฟิงตัดสินใจเด็ดขาดกับเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ครั้นนึกถึงเหตุร้ายเมื่อตอนกลางวัน ในท่าทีนั้นจึงปรากฏความรู้สึกผิดอยู่บ้าง “เมื่อตอนกลางวันกลับทำให้พวกเขารบกวนพิธีปักปิ่นของเจ้า หากข้าคิดเตรียมการล่วงหน้าสักหน่อย…”
“ท่านพี่ เดิมทีก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องอันใด ท่านก็อย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย” ฉู่สวินหยางแย้มยิ้ม ชิงตัดบทเขาเสียก่อน
เจิ้งเยียนมีความตั้งใจเดิมที่จะทำเรื่องนี้ ด้านหนึ่งเพื่อระบายความแค้น อีกด้านหนึ่งก็เพื่อสร้างความลำบากให้นาง แต่เรื่องนี้ในสายตานางเดิมทีก็ไม่มีความสลักสำคัญอันใด
ฉู่ฉีเฟิงหัวเราะ ยกมือขึ้นลูบศีรษะของนาง “ยุ่งมาทั้งวันแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเสียเถิด ทางท่านพ่อข้าให้พ่อบ้านเจิงคอยเขาแล้ว ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องกังวลไป”
“อืม!” ฉู่สวินหยางผงกศีรษะ เมื่อคิดขึ้นมาก็ยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
แรกเริ่มเป็นฉู่ฉีฮุย ต่อมาเป็นฉู่เยว่เหยา สำหรับพวกเขาแล้วแม้จะไม่แยแสคนพวกนี้ แต่ถ้าเป็นฉู่อี้อันแล้วกลับมิอาจมองเป็นดั่งเรื่องทั่วไปได้
ฉู่ฉีเฟิงส่งฉู่สวินหยางออกจากเรือนด้วยตนเอง ทอดสายตาส่งจนแผ่นหลังของนางหายลับไปจากทางเล็กๆนั้น แต่ก็ยังคงยืนไขว้หลังอยู่ตรงด้านล่างระเบียง
ผ่านไปสักพัก เขาจึงค่อยหวนคืนสติที่กระจัดกระจายออกไป เรียกเจี่ยงลิ่วออกมา “กลับไปไม่ว่าจะมีผู้ใดมาถามก็ให้บอกว่าข้าหลับไปแล้ว”
พูดจบไม่รั้งรอให้เจี่ยงลิ่วตอบรับก็ก้าวเท้าเดินไปอีกทาง เป็นทิศทางที่ตรงข้ามกับฉู่สวินหยางอย่างสิ้นเชิง
ยามราวหนึ่งเกิง[2]
ประตูด้านข้างของจวนอ๋องหนานเหอถูกเปิดออก เป็นฉู่ฉีเหยียนที่นำองครักษ์ออกจากนอกเมืองไปอย่างเร่งรีบ
————————————
[1] ลอบดึงฟืนออกจากหม้อ อุปมาว่าแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ
[2] ยามราวหนึ่งเกิง เวลาประมาณ19:00 – 20:59