ภาค 2 ตอนที่ 119 อย่าได้พูดส่งเดช

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ถึงกับจริงจังปานนี้

 

เสียงโหวกเหวกในห้องหายไปชะงักนิ่ง

 

หนิงอวิ๋นเจาผู้ได้ชื่อว่าคุณชายสายลมฤดูใบไม้ผลิ เป็นครั้งแรกที่พูดจา…ขึงขังเช่นนี้

 

หนิงสืออีกระแอมทีหนึ่ง

 

“พี่สิบ พวกเรารู้ว่าท่านเคร่งครัดกับความเป็นวิญญูชน แต่ที่นี่หาได้มีคนนอก ท่านทำเช่นนี้ทำให้ทุกคนกระอักกระอ่วนแล้ว” เขาว่า “ก็แค่ล้อเล่นไหมเล่า หรือพวกเราจะไปโพนทะนาเรื่องนี้ไปทั่วจริงๆ รึไง?”

 

บรรดาสหายอย่างไรก็เป็นคนหนุ่มหัวไวมองสถานการณ์ทะลุ ทุกคนหัวเราะขึ้นมา

 

“ในเมื่ออวิ๋นเจา เจ้าพูดเช่นนี้ก็คงล้อเล่นไม่ได้แล้ว” พวกเขาหัวเราะเอ่ยขึ้น “เพื่อให้พวกเราปิดปาก เจ้าต้องเลี้ยงอาหารที่หอเต๋อเยว่สามมื้อ”

 

หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้วเช่นกัน

 

“พูดแล้วไม่คืนคำ” เขาเอ่ย แล้วหยิบถุงเงินออกมา “ข้าจ่ายเงินครั้งนี้ก่อน”

 

ทุกคนหัวเราะประสานเสียงขึ้นมาอีกครั้ง

 

หนิงสืออีก็หัวเราะตามด้วย แต่มองหนิงอวิ๋นเจากลับขมวดคิ้ว

 

รอคนอื่นขอตัวจากไป ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองคนพี่น้อง หนิงสืออีก็ดึงเขาไว้

 

“พี่สิบ ก็แค่ตระกูลฟางมีราชโองการอันหนึ่ง ท่านต้องกลัวนางถึงขนาดนี้หรือ” เขาเขาส่งเสียงชิชะเอ่ยขึ้น “ท่านดูสิ เมื่อครู่คำพูดของท่านเรื่องที่ทำ ล้วนไม่เหมือนท่านเลย”

 

ไม่เหมือนเขาอย่างไร?

 

เขาย่อมทำเช่นนี้อยู่แล้ว

 

หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

“อย่าพูดเหลวไหล เจ้าสิทำไมหลุดปากพูดเช่นนี้ออกมาได้” เขาเอ่ย

 

หนิงสืออียิ้มขัดเขิน

 

“ใช่สิ ใช่สิ ไม่ดีเลย พูดเช่นนี้ คนที่คิดจะมาเป็นแม่สื่อให้ท่านก็ได้วิ่งหนีกันหมด” เขาว่า

 

นี่เป็นเรื่องสำคัญด้วยรึ?

 

หนิงอวิ๋นเจามองเขาทีหนึ่งไม่พูดจา

 

ไม่พูดกับคนเช่นนี้ให้ชัด ทั้งสมองก็ได้แต่จะคิดมากมาย

 

เป็นอย่างที่คิด หนิงสืออียักคิ้วมองเขาอีก

 

“คุณหนูจวินคนนั้นมาหาเจ้าจริงๆ รึ?” เขาเอ่ยถาม “นางจะทำอะไร? ได้ยินว่าตระกูลฟางมีราชโองการ หรือว่านางจะเอาราชโองการมาบีบเรื่องแต่งงานกับเจ้า?”

 

พูดถึงตรงนี้ตนเองก็หัวเราะลั่นแล้ว

 

“ถ้าอย่างนั้นห้าพันตำลึงที่ขายเจ้า ใช่ต้องคืนกลับมาก่อนหรือไม่”

 

แมลงฤดูร้อนไม่อาจถกถึงน้ำแข็ง

 

หนิงอวิ๋นเจาไม่สนใจเขา

 

“เรื่องของบุตรชายเฉิงกั๋วกง ฝ่าบาทจัดการอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม

 

การเปลี่ยนหัวข้อสนทนานี้ตรงเกินไปแล้ว หนิงสืออีหัวเราะอีกครั้ง

 

“แต่คุณหนูจวินคนนี้ก็หาใช่ต้องสนใจ นางเป็นนายหญิงน้อยของตระกูลฟางอยู่ดีๆ อย่างไรคงไม่อาจทำเรื่องน่าเกลียดล่อลวงผู้ชายชาติตระกูลดีได้หรอกกระมัง” เขาว่า

 

แม้อยากเปลี่ยนหัวข้อสนทนามาก แต่ได้ยินประโยคนี้ หนิงอวิ๋นเจายังคงขมวดคิ้ว

 

“นางไม่ใช่นายหญิงน้อยตระกูลฟาง” เขาว่า “นั่นเพียงเพื่อรักษาอาการป่วยให้แก่นายน้อยฟางจึงแสร้งหลอกเท่านั้น”

 

หนิงสืออีอึ้งไป

 

“นี่แสร้งหลอกได้ด้วยรึ?” เขาเอ่ยถาม

 

“เรื่องนี้ประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว คนหยางเฉิงล้วนรู้” หนิงอวิ๋นเจาว่า

 

หนิงสืออีมองเขา

 

“คนหยางเฉิงล้วนรู้ แล้วคนเมืองหลวงล้วนรู้ด้วยหรือ?” เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมข้าไม่รู้?”

 

“เจ้าติดอยู่กับความยุ่งยากของเอกสารหนังสือ ข่าวเช่นนี้เอกสารหนังสือส่งต่อช้าที่สุด ปากชาวบ้านถึงเร็วที่สุด ไปเหลาสุราโรงน้ำชานั่งให้มากหน่อย บางเวลาก็มีประโยชน์ยิ่งกว่าเฝ้าโต๊ะทำงาน” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น พลางจัดโต๊ะหนังสือนิดหนึ่งก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นอีกครั้ง “อย่างเช่นเรื่องบุตรชายเฉิงกั๋วกงถูกจับ บนถนนใหญ่ตอนนี้แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว ทุกคนล้วนกำลังคาดเดาว่าฝ่าบาทจะลงโทษเขาอย่างไร”

 

“ยังลงโทษอย่างไรได้ หรือจะกำหนดความผิดลงโทษเขาได้จริงงั้นรึ?” หนิงสืออีถูกชักจูงเอ่ยตอบตามขึ้นมา

 

“ขอแค่กำหนดความผิดได้ย่อมต้องลงโทษได้ ส่วนมีหรือไม่มีความผิด” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “ก็ต้องดูว่าดีไม่ดี ได้ไม่ได้ก็เท่านั้น”

 

ทำได้ไม่ได้ ดีไม่ดี ไหวไม่ไหวตัดสินคนผู้หนึ่งว่ามีความผิดหรือไม่มีความผิดได้ เรื่องเช่นนี้หนิงสืออีติดตามบิดาเก็บประสบการณ์ในที่ว่าราชการ พลิกดูเอกสารหนังสือก็ดี ได้ยินขุนนางข้าราชการตำแหน่งน้อยเล่าเรื่องเก่าๆ ก็ดี เห็นมามากแล้ว

 

หนิงสืออีส่ายศีรษะหัวเราะแล้ว

 

“ข้ารู้สึกว่าไม่ได้” เขาว่า

 

 

และฝั่งในวังหลวงเวลานี้ ว่าราชการรอบเช้าจบลงแล้ว ขุนนางใหญ่ตำแหน่งสูงที่หารือเรื่องในราชสำนักไปแล้วจับกลุ่มสองคนสามคนออกมาจากห้องหนังสือของฮ่องเต้ ลู่อวิ๋นฉีเหมือนเช่นองครักษ์เสื้อแพรที่ทำหน้าที่ทั่วไปยืนเฝ้าอยู่ที่ทางเดิน ขุนนางชุดแดงเหล่านี้มองลู่อวิ๋นฉีเหมือนมองไม่เห็น

 

ทว่าเรื่องที่ควรพูดถึงก็ยังคงพูดถึง

 

“จะแต่งงานแล้ว หัวหน้ากองพันลู่ยังคงวุ่นทำงานอีก”

 

คำว่าอีกนี้ย่อมถูกเน้นเสียงหนัก

 

“ใครให้เขาเป็นหัวหน้ากองพันเล่า กรมสืบสวนฝ่ายเหนือก็ไม่มีผู้บัญชาการ”

 

“คาดว่าหลังแต่งงานครั้งนี้ ก็คงได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการคนหนึ่งแล้ว”

 

“นั่นก็ไม่แน่ เป็นผู้บัญชาการแล้วยังทำงานเช่นนี้ได้สะดวกหรือ?”

 

“อย่างไรกรมสืบสวนฝ่ายเหนือมีเขาก็พอแล้ว เขาอยู่วันหนึ่ง ฝ่าบาทก็ไม่ต้องวางคนไว้เป็นผู้บัญชาการวันหนึ่ง ก็แค่ชื่อเท่านั้น ไม่มีความหมายอะไร”

 

คำถกเถียงเหล่านี้ล้วนเห็นบ่อยจนธรรมดา ไม่ว่าได้ยินหรือไม่ได้ยิน ลู่อวิ๋นฉีล้วนไม่สนใจ

 

บรรดาขุนนางในราชสำนักจากไป ด้านในห้องหนังสือกลับไม่ได้กลายเป็นเงียบสงบ

 

“ฝ่าบาท ข้าถูกใส่ร้าย”

 

ด้านในเสียงตะโกนดังออกมา

 

ต่อหน้าฮ่องเต้คนที่พูดจาเสียงดังเช่นนี้ได้ไม่มาก

 

บางคนก็ขวัญกล้า บางคนก็เสแสร้งแกล้งโง่

 

หายากที่คนข้างในจะมีทั้งหมด

 

ลู่อวิ๋นฉีนิ่งเฉยไร้วาจา

 

“….ฝ่าบาท ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหนี ข้าก็ไม่มีหนทาง…ท่านไม่รู้ องครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้นน่ากลัวปานใด…ข้าย่อมไม่กล้าตกอยู่ในมือของพวกเขา”

 

“มีคำพูดอะไรข้าต้องการพูดกับฝ่าบาทด้วยตนเอง ให้ฝ่าบาทตรัสถามข้าด้วยพระองค์เอง บอกผ่านพวกเขาใครจะรู้ว่าจะส่งต่อกลายเป็นอะไรไป”

 

เสียงปังดังขึ้นด้านใน ราวกับฮ่องเต้ทุบสิ่งใดแหลกแล้ว

 

เสียงของจูจั้นหายไป ด้านในเงียบลง

 

“ข้าว่างฟังคำพูดของเจ้ารึ ข้าฟังเจ้าพูด กิจบ้านเมืองฎีกานี่ใครจะอ่าน? ท่านชาย เจ้าจะอ่านรึ?”

 

เสียงของฮ่องเต้ติดจะพิโรธ

 

เสียงของฮ่องเต้เหมือนเช่นตัวเขา ตลอดมาล้วนเป็นมิตรอ่อนโยน บันดาลโทสะเช่นนี้น้อยครั้งนักจะเห็น

 

บรรดาขันทีที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูล้วนทนไม่ไหวก้มศีรษะตัวสั่นระริก

 

ท่านชายคนนี้แหย่ฮ่องเต้ให้โกรธแล้วจริงๆ

 

“ใครมานี่สิ ใครมานี่สิ” ฮ่องเต้ตะโกนขึ้นด้านใน

 

บรรดาขันทีรีบผลักประตูเปิด

 

เสียงฮ่องเต้ดังกว่าเดิมลอยออกมา

 

“…ลู่อวิ๋นฉีเล่า? ให้เขาเข้ามา”

 

บรรดาขุนนางรีบหันไปส่งสายตาให้ลู่อวิ๋นฉี ลู่อวิ๋นฉียกเท้าก้าวเดิน

 

“…ยังมี คนของศาลต้าหลี่เล่า? เรียกถานซงเข้ามา”

 

ถานซงคือตุลาการศาลต้าหลี่

 

นั่นก็คือบอกว่าเรื่องนี้ยังต้องให้กรมอาญาสอบสวนแล้ว

 

ลู่อวิ๋นฉีก้าวเดินต่อไป

 

เสียงของฮ่องเต้กลับยังไม่จบ หยุดไปนิดหนึ่ง

 

“ให้หานเฟิงของกรมกลาโหมเข้ามาด้วย ดูสิใต้บังคับบัญชาของเขาล้วนเป็นนายทหารอะไร”

 

กรมกลาโหมก็มาด้วย

 

ฝีเท้าของลู่อวิ๋นฉีชะงักเล็กน้อย

 

สามด้านล้วนร่วมสอบสวน

 

“ฝ่าบาท” เสียงของจูจั้นดังขึ้นอีกครั้ง

 

ลู่อวิ๋นฉีที่ก้าวเข้ามาในห้องแล้วมองไปด้านหน้า จูจั้นคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะหนังสือของฮ่องเต้ ข้างตัวมีถ้วยชาแตกกระจายอยู่ แต่บนหน้าเขากลับไม่หวาดกลัวตระหนกสักนิด ตรงกันข้ามเงยหน้าขึ้นมาสีหน้าดีใจ

 

“แบบนี้ดีเหลือเกิน สามฝ่ายล้วนสอบสวนข้าก็ไม่กลัวว่าคำพูดของฝ่ายหนึ่งจะใหญ่อยู่ฝ่ายเดียวแล้ว” เขาเอ่ยอย่างดีใจ ไม่สนเศษกระเบื้องที่แตกกระจายตรงหน้า ก้มตัวโขกศีรษะ “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”

 

ครั้งแล้วครั้งเล่าโขกต่อกันสามที เงยหน้าขึ้นมาบนหน้าผากก็ถูกเศษกระเบื้องทิ่มปริเลือดไหลเป็นทาง

 

บนหน้าเขายังคงมีรอยยิ้ม

 

นี่ไม่ใช่รอยยิ้มยะโสได้ใจ แต่เป็นรอยยิ้มยินดีไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย

 

ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือแน่นอนย่อมไม่เชื่อว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้ไร้เดียงสาดังเช่นเด็กน้อยคนหนึ่งจริงๆ ทว่าให้ใครเห็นรอยยิ้มนี้ก็ยากจะไม่หายโกรธไปหลายส่วน

 

“ออกไป” เขาหน้าขรึมเอ่ยขึ้น “รอสอบความผิดของเจ้าออกมาได้จริงๆ เจ้าก็รู้ว่าข้าทรงพระปรีชาจริงหรือไม่แล้ว”

 

จูจั้นโขกศีรษะขอบพระคุณน้ำพระทัยอีกครั้ง ลู่อวิ๋นฉีก็ก้มศีรษะขานรับ

 

……………………………………….