ภาคที่ 3 ตอนที่ 12 ฆาตรกรที่แท้จริงคือใคร?

มรรคาสู่สวรรค์

ชิงซานอยู่ห่างจากจังหวัดอวี้ค่อนข้างไกล จึงมาถึงค่อนข้างช้า

 

ฉือเยี่ยนซึ่งเป็นผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซั่งเต๋อเป็นผู้นำ นอกจากนี้ยังมีศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างอย่างกั้วหนานซาน กู้หาน หม่าหวา เยาซงซาน บนร่างกายมีเกล็ดน้ำข้างแข็งและฝุ่นเกาะอยู่

 

เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในหอเจินชี่ สีหน้าฉือเยี่ยนพลันเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “สำนักท่านคิดจะล้อมโจมตีเจ้าแห่งยอดเขาของสำนักเราอย่างนั้นหรือ?”

 

ครั้นพูดจบ ลำแสงกระบี่สิบกว่าสายก็ส่องสว่างภายในหออีกครั้ง กระบี่ที่รูปร่างแตกต่างกันลอยอยู่นิ่งๆ กลางอากาศ เจตน์กระบี่ดุดัน บนคานมีรอยแตกที่ลึกตื้นไม่เท่ากันปรากฏขึ้นมา

 

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมการประมูลเหล่านั้นไหนเลยจะยังกล้ารั้งอยู่ ต่างคนต่างหลบออกไปด้านนอกหอ

 

จางอี๋อ้ายเดินเข้าไปหาฉือเยี่ยน กล่าวอธิบายสองสามประโยค

 

เยาซงซานยืนฟังอยู่ข้างๆ รู้สึกช่างน่าขัน จึงกล่าวตะคอกว่า “อาจารย์อาเจ้าคือใคร จะไปทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!”

 

เหลยอี้จิงมองดูศิษย์สำนักจงโจวที่ยืนอยู่รอบๆ พลางด่าทอออกมา “ใส่ร้ายป้ายสี! พวกเจ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ!”

 

ฉือเยี่ยนสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของสำนักท่านในเวลานี้ แต่ข้าหวังว่าพวกท่านจะมีสติหน่อย”

 

ที่เจ้าล่าเยวี่ยปรากฏตัวขึ้นที่เมืองกุ้ยอวิ๋น เป็นเพราะหญ้าสามพิสุทธิ์

 

ทั่วทั้งโลกบำเพ็ญพรตต่างรู้ว่านางกำลังตามหาของสิ่งนี้อยู่

 

นางมิใช่เทพเซียนจริงๆ เสียหน่อย แล้วนางจะรู้ได้อย่างไรว่าลั่วไหวหนานจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่?

 

“เจตน์กระบี่ของชิงซานสายนั้น ท่านผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเป็นผู้แยกแยะออกมาได้ เรื่องนี้สำนักชิงซานของพวกเจ้ามิอาจปัดความรับผิดชอบได้”

 

สีหน้าของเหรินเชียนจู๋คร่ำเคร่งยิ่งกว่าฉือเยี่ยน เขากล่าวเสียงเย็นยะเยือกว่า “ข้าอยากจะรู้นักว่าพวกเจ้าจะอธิบายอย่างไร”

 

สีหน้าของกั้วหนานซาน กู้หานและหม่าหวานั้นตึงเครียดอยู่ตลอด ในเวลานี้ได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของพวกเขายิ่งดูแย่ขึ้นกว่าเดิม

 

เพราะพวกเขาพอจะคาดเดาได้แล้วว่าเจตน์กระบี่ชิงซานสายนั้นมาจากไหน

 

“ข้าอาจจะรู้ว่าเป็นใคร เพียงแต่…มันค่อนข้างยากจะเชื่อได้”

 

กั้วหนานซานกล่าวด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่ง

 

เหรินเชียนจู๋และจางอี๋อ้ายหมุนตัวมาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองมาที่เขา

 

“ใคร?” ฉือเยี่ยนถามเสียงต่ำ

 

กั้วหนานซานนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “น่าจะเป็นหลิ่วสือซุ่ยขอรับ”

 

“ถูกต้อง เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับยอดเขาเสินม่อ”

 

เสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

 

ถงเหยียนปรากฏตัวอยู่ในแสงแดดยามเช้าด้านนอกหอ ก่อนจะเดินเข้ามา

 

เขาเงยหน้ามองดูเจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงที่อยู่ชั้นบนสุด พยักหน้าทักทายเล็กน้อย

 

เจ้าล่าเยวี่ยพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวพากู้ชิงกลับเข้าไปในห้อง เยาซงซานและเหลยอี้จิงขี่กระบี่ขึ้นไปยืนเฝ้าหน้าประตูเอาไว้

 

ถงเหยียนสบตากับพวกกั้วหนานซาน สีหน้าตึงเครียด

 

เหล่าศิษย์ชิงซานตกตะลึง ศิษย์สำนักจงโจวกับเหล่าเจ้าหน้าที่ของกรมชิงซานค่อนข้างสับสน

 

ชื่อหลิ่วสือซุ่ยฟังดูคุ้นหูเป็นอย่างมาก

 

ถงเหยียนมองเหรินเชียนจู๋ กล่าวว่า “อาจารย์อา ท่านพบร่องรอยของวิชาปีศาจโลหิตอย่างนั้นหรือ?”

 

เหรินเชียนจู๋หรี่ตา กล่าวว่า “ถูกต้อง เจ้ารู้ได้อย่างไร?”

 

ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็เป็นเขาจริงๆ”

 

จู่ๆ พลันมีคนนึกขึ้นมาได้ “หลิ่วสือซุ่ย? หรือจะเป็นศิษย์ชิงซานที่ถูกขับออกจากสำนักผู้นั้น?”

 

เหล่าศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างที่อยู่ตรงนั้นนิ่งเงียบมิกล่าวกระไร เหล่าศิษย์สำนักจงโจวเองก็มีสีหน้าตกตะลึง

 

คำพูดประโยคนี้ได้กระตุ้นความทรงจำของใครหลายๆ คน

 

หลิ่วสือซุ่ยผู้เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด อดีตอนาคตที่สำนักชิงซานเฝ้าเลี้ยงดูฟูมฟักเช่นเดียวกับเจ้าล่าเยวี่ยและจัวหรูซุ่ย หลังเข้าร่วมงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ครั้งแรกก็เริ่มเข้าไปฝึกกระบี่ยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง ผลสุดท้ายในตอนที่ไปปราบปีศาจยังแม่น้ำจั๋วไม่อาจควบคุมกิเลสภายในใจได้ แอบกลืนกินตานปีศาจลงไป ทั้งยังเริ่มฝึกวิชาพรรคมาร จนถูกทำลายสภาวะ สะบั้นเส้นลมปราณ ขับออกจากชิงซาน…

 

นี่คือความอัปยศของสำนักชิงซาน ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึง แต่หลายคนต่างจดจำได้อย่างชัดเจน

 

เมื่อฟังคำพูดของถงเหยียนแล้ว หรือคนที่สังหารลั่วไหวหนานจะเป็นคนผู้นี้จริงๆ?

 

“ดูเหมือนเขาจะไปเข้ากับพรรคมารแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรถึงฟื้นฟูเส้นลมปราณขึ้นมาใหม่ได้ อีกทั้งยังไปเข้าร่วมกับปู้เหล่าหลิน”

 

กั้วหนานซานกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งว่า “ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ”

 

ภายในหอเงียบสงัดขึ้นมาทันที

 

ไม่มีใครกล่าวอะไรเป็นเวลานาน

 

เหรินเชียนจู๋รู้สึกมีบางอย่างแปลกๆ

 

ภายในเศษซากบ้านหลังนั้นมีร่องรอยของวิชาปีศาจโลหิตแล้วก็มีเจตน์กระบี่ชิงซานหลงเหลืออยู่ ขณะเดียวกันคนที่มีเงื่อนไขทั้งสองข้อนี้ครบถ้วน มองไปทั่วทั้งแผ่นดินก็มีหลิ่วสือซุ่ยเพียงคนเดียวจริงๆ

 

แต่เหตุใดศิษย์รุ่นเยาว์อย่างถงเหยียนและกั้วหนานซานถึงได้คิดถึงคนผู้นี้ขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยเห็นที่เกิดเหตุเลยด้วยซ้ำ?

 

ด้านนอกหอมีลมพัด รถม้าลงจอด

 

เหอกั๋วกงเดินทางมาจากเมืองเจาเกอ

 

เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ราชสำนักจำเป็นต้องแสดงท่าทีของตนเอง

 

เมื่อได้ฟังรายงานของจางอี๋อ้าย เหอกั๋วกงก็นิ่งเงียบไปครู่ ในใจรู้สึกว่าการคาดการณ์ของถงเหยียนและกั้วหนานซานมีเหตุผล แต่ก็มีปัญหาอีกสองสามข้อ

 

“ยังมีอีกคนหนึ่งคือใคร?”

 

“ก็น่าจะเป็นมือสังหารของปู้เหล่าหลินเช่นเดียวกัน”

 

“เขาใช้กระบี่อะไร?”

 

เหอกั๋วกงจ้องมองดวงตาของจางอี๋อ้ายพลางกล่าวถาม

 

จางอี๋อ้ายตอบไม่ได้

 

ทันใดนั้นพลันมีนกกระเรียนสีขาวบินลงมาจากท้องฟ้ายามเช้า

 

จดหมายจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย

 

ผู้อาวุโสสูงสุดคิดขึ้นมาได้แล้วว่าเจตน์กระบี่สายที่สองนั้นมาจากกระบี่เล่มใด

 

กระบี่เล่มนั้นมีชื่อว่าพรหมจรรย์

 

เหล่าผู้บำเพ็ญพรตวัยเยาว์มิได้มีปฏิกิริยาอะไร

 

ทว่าเหรินเชียนจู๋ ฉือเยี่ยน แล้วยังมีเหอกั๋วกงต่างสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที มิได้กล่าวกระไรอีก

 

……

 

……

 

กั้วหนานซานยืนอยู่ด้านนอกบ้านที่กลายเป็นเศษซาก เขามิได้ก้มหน้า มือทั้งสองข้างที่ห้อยอยู่ข้างกายกำแน่น ชายเสื้อสั่นเทาเบาๆ ดูเศร้าเสียใจเป็นยิ่งนัก กู้หานและหม่าหวาสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความตกตะลึงและความไม่เข้าใจในดวงตาของอีกฝ่าย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นกับดักที่จัดฉากขึ้นมา ไฉนลั่วไหวหนานถึงถูกฆ่าตายจริงๆ ได้?

 

“มีโอกาสที่จะพลั้งมือหรือเปล่า?” กู้หานถาม

 

หม่าหวากล่าวเสียงสั่นเครือ “เป็นไปได้น้อยมาก ต่อให้หลิ่วสือซุ่ยพลั้งมือ แต่สภาวะของสหายลั่วนั้นระดับไหน แล้วจะเกิดเรื่องได้อย่างไร? ข้าได้แต่คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง นั่นก็คือหลิ่วสือซุ่ยไปเข้ากับปู้เหล่าหลินจริงๆ ตั้งแต่แรกแล้ว จากนั้นอาศัยคำแนะนำของพวกเรา เปิดฉากโจมตี ถึงได้มีโอกาสสังหารสหายลั่วได้”

 

กั้วหนานซานมิได้กล่าวกระไร สีหน้ายิ่งดูขาวซีด หากเป็นเช่นนั้นจริง อย่างนั้นการตายของลั่วไหวหนานก็ถือเป็นความผิดของเขา

 

สีหน้าของหม่าหวาเองก็ดูขาวซีด ดูคล้ายหมั่นโถวสีขาวใบใหญ่ที่วางทิ้งไว้หนึ่งคืน ริมฝีปากสั่นเทาขึ้นมาเบาๆ ด้วยความวิตกกังวล กระทั่งเสียงก็ฟังดูไม่ค่อยชัดเจน

 

“วันนั้นตอนอยู่บนยอดเขาเหลี่ยงว่าง เจ้าพูดถึงเรื่องที่ว่าจะช่วยเหลือหลิ่วสือซุ่ยอย่างไร ข้าจึงได้คิดถึงวิธีนี้ขึ้นมา เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายมันจะกลายเป็นแบบนี้”

 

เขามองถงเหยียนพลางกล่าว

 

ถงเหยียนเลิกคิ้ว มิได้กล่าวกระไร

 

กั้วหนานซานรู้สึกโกรธ ในใจครุ่นคิดว่าจะปัดความรับผิดชอบอย่างนั้นหรือ? เรื่องนี้เดิมทีเป็นเรื่องที่ยอดเขาเหลี่ยงว่างตกลงกับลั่วไหวหนาน แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับถงเหยียน?

 

กู้หานมองดูเจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนที่กำลังเก็บรวบรวมร่องรอยของวิชาเพลิงปีศาจในซากปรักปักพัง พลันกล่าวขึ้นมาว่า “ข้ายังไม่เชื่อว่าสือซุ่ยจะไปเข้ากับพวกพรรคมารจริงๆ นี่จะต้องมีปัญหาอะไรแน่”

 

หม่าหวากล่าวถามอย่างไม่สบายใจ “เรื่องนั้นยังไม่ต้องไปสนใจ หลังจากนี้พวกเราจะทำอย่างไร?”

 

“ข้าจะรายงานต้นสายปลายเหตุทั้งหมดของเรื่องนี้ให้อาจารย์ช่วยตัดสิน โทษทุกอย่างข้าจะเป็นคนรับเอง เพียงแต่หวังว่าจะสามารถหาเบาะแส และจับตัวคนร้ายที่แท้จริงให้ได้เร็วที่สุด เพื่อปลอบโยนดวงวิญญาณของสหายลั่วที่อยู่บนสวรรค์ ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเหรินเหมือนจะสงสัยอะไรบางอย่าง เจ้าปัดมันมาที่ตัวข้าก่อน เอาไว้ข้าจะอธิบายให้เขาฟังเอง”

 

กั้วหนานซานมองถงเหยียนพลางกล่าว

 

ถงเหยียนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “แบบนั้นก็ดี”

 

เขาหยิบเอาขวดกระเบื้องสีเขียวใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ นิ้วมือออกแรงเล็กน้อย บดขยี้จนเป็นผุยผง ก่อนจะสาดลงไปบนพื้นตรงหน้าซากปรักหักพัง

 

กู้หานถามว่า “นั่นคืออะไร?”

 

ถงเหยียนกล่าว “นี่เป็นของเล่นที่ศิษย์พี่ชื่นชอบมากที่สุด”

 

กู้หานมิได้กล่าวกระไรอีก

 

ทั้งสี่คนยืนอยู่หน้าซากปรักหักพัง นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร

 

ไกลออกไปพลันมีดอกไม้ไฟจำนวนหลายลูกลอยขึ้นมา

 

นั่นคือสัญญาณประกาศคลายเขตหวงห้าม ผู้บำเพ็ญพรตและชาวบ้านที่อยู่ในเมืองกุ้ยอวิ๋นสามารถเดินทางเข้าออกได้อย่างอิสระ

 

ภายใต้ดอกไม้ไฟที่สว่างเจิดจ้า เรือนพักหลังเล็กที่ถล่มลงมาเป็นเศษซากดูคล้ายสุสานหลุมหนึ่ง

 

…………………………………….