ตอนที่ 128-2 กอบกู้ชีวา กากเดนมนุษย์

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

จิตใต้สำนึกนางประหนึ่งถูกโยนออกไปอีกภพหนึ่ง แม้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่สามารถขยับหรือลืมตาได้ แต่ในใจกลับกระจ่างชัดเจน ครั้งที่แล้วเขาก็ไปไหว้วานท่านพ่อที่จวนเพื่อขอแต่งงาน ในตอนที่พบเขา ก่อนจะไปเขาก็ระเบิดโทสะอยู่พักหนึ่ง และได้ทิ้งคำพูดที่คล้ายกันนี้เอาไว้เช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและชาตินี้…นางเพียงคิดว่าตนกังวลมากไปเอง แต่คำพูดของเขาในขณะนี้ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยๆ กระจ่างแจ้ง… 

 

 

หรือ…หรือว่าเขาก็ถูกสวรรค์ประทานพรด้วย 

 

 

มิฉะนั้น ไยเขาถึงได้หลงไหลในตนเองเช่นนี้! ไยถึงบอกว่าตนทูลฮ่องเต้จนเป็นเหตุให้เขาถูกสังหารในชาติก่อน! 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพยายามลืมตา และมองไปที่บุรุษตรงหน้า! 

 

 

หากเป็นเช่นนั้น ชายตรงหน้าผู้นี้ ชาติที่แล้วก่อนนางตายก็คงเข้าคุกโดนทรมาน จนดวงวิญญาณสูญสิ้นอนาคตด้วยมือตน… 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพยายามกดความตกใจที่สั่นสะท้านอยู่ในอกลง เพราะมู่หรงไท่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา จนใกล้ชิดปรางแก้มสีชมพูบนใบหน้าของนางแล้ว! 

 

 

คลื่นไส้! น่าขยะแขยง! พอรู้ว่านิสัยเขาก็ยังเป็นดั่งคนคนนั้นในชาติก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นยิ่งรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นไปอีก จึงกัดริมฝีปากอย่างรุนแรงเพื่อดึงสติตนกลับมา บิดร่างกายเล็กน้อย สงบจิตใจให้เยือกเย็น สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปลื้มปีติสุดขีด พลางส่งเสียงเรียกแผ่วเบาออกมา “ฉินอ๋อง…” 

 

 

แค่หวังว่าเช่นนี้จะยื้อเวลาไปได้สักพัก พยายามหยุดเขาให้ได้! 

 

 

เป็นดังคาด เสียงครวญครางนี้ ทำเอามู่หรงไท่ตะลึง นางเรียกฉินอ๋อง ฉินอ๋อง! ตอนนี้นางตกอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของยา ชื่อที่เรียกออกมาย่อมเป็นชายที่นางต้องการอย่างแท้จริง! 

 

 

หัวใจของเขารู้สึกราวกับว่าโหวงเหวง แววตาอ่อนยวบเล็กน้อย เสียงที่อ่อนโยนนี้เรียกหาชายอื่น หากว่าด่าทอตนยังทรมานน้อยกว่าเสียอีก 

 

 

อวิ๋นหว่านเฟยที่ยืนเหม่อลอยอยู่ข้างเตียง แม้ว่าจะเริ่มริษยาจนแทบจะบ้าแล้ว แต่ตอนนี้เห็นว่าพี่สาวคนโตที่เฉลียวฉลาดมีกลอุบายมากมาย รบกวนจิตใจของมู่หรงไท่ กลัวเสียเวลาจนจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ดีเกิดขึ้นเอาได้ ก็ขมวดคิ้วจนเป็นปม แล้วผลักมู่หรงไท่อย่างเร่งเร้า “พี่ไท่ พี่ พี่รีบสิ…โอกาสมีแค่ครั้งนี้นะ!” 

 

 

ทันใดนั้น เสียงประตูก็ดังขึ้น! 

 

 

เดิมทีประตูไม้ก็ไม่แข็งแรงอยู่แล้วพอโดนถีบก็เป็นรูโพรง 

 

 

แรงกดทับบนร่างกายของอวิ๋นหว่านชิ่นก็พลันอันตรธานไป พร้อมกับเสียงคำรามของสายลม และเสียงของร่างกายร่วงลงสู่พื้น ระคนกับความเจ็บปวดของมู่หรงไท่และคำอุทานตกใจของอวิ๋นหว่านเฟย  

 

 

ช่วงที่ครึ่งตื่นครึ่งหลับ นางรู้สึกเพียงว่าร่างกายของนางถูกห่อหุ้มด้วยอะไรบางอย่างที่นุ่มนวลตลอดทั้งร่าง และถูกอุ้มขึ้นมา 

 

 

กลิ่นอายของเขา นางคุ้นเคยดี มันคือกลิ่นหอมหวานของอำพันทะเลกอปรกลิ่นกายที่สะอาดบริสุทธิ์ของบุรุษ พริบตานั้นเอง ต่อให้ไม่ลืมตา แต่นางก็รู้ดีว่าไม่เป็นไรแล้ว อามณ์ขุ่นเคืองสองสามวันก่อนที่ทะเลาะกับเขาก็หายไปทันที ร่างกายที่เกร็งแน่นพลันผ่อนคลายลง ขนที่ตั้งชันอย่างระแวดระวังทั่วร่างก็อ่อนยวบลง แล้วปิดขนตาอย่างวางใจ 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงใช้เสื้อคลุมลายนกกะเรียนมีเงินห่อหุ้มอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างแน่นหนา แล้วลอบพินิจมองอย่างรวดเร็ว เมื่อแน่ชัดว่านางไม่เป็นอะไร หัวใจอันหนักอึ้งก็เบาลง พลันจับข้อมือที่อ่อนแอของนางในเวลานี้ขึ้นมา และแนบไว้กับลำคอตัวเอง พลางชำเลืองตามองไปที่ด้านล่าง เห็นมู่หรงไท่ที่กำลังตื่นตะลึง ตัวสั่นงันงก 

 

 

เมื่อพบว่าฉินอ๋องกำลังจ้องมองตนโดยไม่ขยับหรือแสดงกิริยาอื่นใด แม้ว่าดวงตาจะเย็นชา แต่ก็มิได้ระเบิดโทสะ เห็นได้ชัดว่าไม่มีแม้แต่ความโกรธ ทว่า…ยิ่งสงบลงเช่นนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้มู่หรงไท่ รู้สึกหนาวสะท้านมากขึ้นเท่านั้น ราวกับเฉกเช่นอากาศหนาวเย็นในเดือนสิบสองตามจันทรคติ มีหิมะโปรยปรายลงมาใส่ศีรษะ! 

 

 

ชาติที่แล้ว บุรุษผู้นี้สอบปากคำตนเองในคุก ยามก่อนจากไปเขาสั่งให้ตอกกระดูกสะบักของเขาด้วยตะปูเหล็ก โดยใช้สายตาเช่นนี้! 

 

 

อวิ๋นหว่านเฟยที่เห็นฉินอ๋องมา จึงรู้ทันทีว่ามันจบลงแล้ว ทุกอย่างล้วนจบลงแล้ว ได้เห็นใบหน้าที่แสนเย็นชาของฉินอ๋องอีกครั้ง พลันกรีดร้องคิดอยากจะวิ่งออกจากห้อง แต่กลับได้ยินเสียงกีบม้าหยุดอยู่ที่หน้าประตู รถลากสี่ล้อขนาดใหญ่คันหนึ่งหยุดอยู่ที่ประตูเรือนอันคับแคบและเงียบสงบ ซือเหยาอันได้นำทหารคนสนิทที่จวนอ๋องสี่นายตามหลังเข้ามา ส่วนหรุ่ยจือเนื่องจากเป็นห่วงองค์ชายสาม ก็เลยตามมาด้วย 

 

 

กลุ่มคนหนึ่งแถวที่เข้ามาในประตู ขัดขวางเส้นทางของอวิ๋นหว่านเฟยเอาไว้อย่างพอดิบพอดี 

 

 

ซือเหยาอันมองไปยังสภาพเหตุการณ์ในห้องก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงตะโกน “ใครก็ได้! มัดไว้!” ด้วยกลัวว่าจะมีคนบุ่มบ่ามมาเห็นเรื่องเช่นนี้เข้า เรื่องราวในวันนี้ไม่ควรรั่วไหลออกไป มิฉะนั้นชื่อเสียงของคุณหนูอวิ๋นและการแต่งงานกับองค์ชายสามจะล้มเหลวได้ จึงชี้ไปที่ประตูบ้านอีกครั้ง “เจ้าทั้งสองไปเฝ้าที่ประตู!” 

 

 

ทหารสองนายที่ได้รับการฝึกฝนมาก็รู้อยู่แก่ใจ ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็ไปดูต้นทางอยู่ที่ประตู 

 

 

อวิ๋นหว่านเฟยที่เผชิญหน้ากับทหารจากจวนอ๋องโดยตรงก็ราวกับลูกเจี๊ยบเผชิญหน้าพญานกอินทรี ไม่ทันได้ส่งเสียงใดๆ ทหารร่างสูงก็เดินมาข้างหน้ารวบข้อศอกทั้งสองข้างของนางเข้าหากัน และใช้เชือกป่านแบบพกพามัดสามรอบ มัดเสมือนเป็นหมูตัวหนึ่ง อวิ๋นหว่านเฟยกรีดร้องสองครา ซือเหยาอันขมวดคิ้ว หยิบเศษผ้าเก่าที่มันเยิ้มขึ้นมาจากหลังประตู ขยำแล้วยัดเข้าไปในปากของนาง 

 

 

หรุ่ยจือนำทหารที่เหลือนายหนึ่งเดินวนรอบๆ เรือนเล็กรอบหนึ่ง มาถึงห้องครัวที่อยู่ตรงหัวมุม เมื่อเข้าไป ปี้อิ๋งที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอกก็รู้ว่ามีแผนร้ายถูกเปิดโปงแล้ว ไหนเลยจะกล้าออกมา หดตัวสั่นเทาหลบใต้เตา ทว่าชูซย่าที่เข้ามาในห้องก็โดนปี้อิ๋งตีอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ตอนนี้ยังคงพิงกำแพงข้างปล่องเตาไฟไม่ได้สติ 

 

 

หรุ่ยจือและนายทหารคนนั้นสบตากัน แล้วนายทหารก็เข้าไปมัดตัวปี้อิ๋ง หรุ่ยจือก็ค่อยเดินมา กดจุดปลุกชูซย่า 

 

 

พอชูซย่าตื่นขึ้นมา ก็ได้ฟังปี้อิ๋งเล่าเรื่องทั้งหมด จึงกรีดร้อง รีบกระโดดตัวขึ้นมา “คุณหนูใหญ่…” 

 

 

หรุ่ยจือรั้งนางเอาไว้ “องค์ชายสามมาแล้ว และช่วยคุณหนูของเจ้าได้แล้ว” ชูซย่าจึงรู้สึกโล่งใจ แต่ด้วยความโกรธพรั่งพรู จึงเตะปี้อิ๋งคราหนึ่ง แล้ววิ่งออกจากห้องครัวอย่างร้อนอกร้อนใจ รีบตรงไปที่เรือนหลัก ก็เห็นเพียงอวิ๋นหว่านเฟยถูกมัดแน่น ในปากถูกยัดด้วยผ้าขี้ริ้วสกปรก นั่งอยู่บนพื้นตรงประตูทางเข้า ภายในห้อง มู่หรงไท่ที่ชุดอาภรณ์ไม่เรียบร้อย ล้มลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า ในขณะที่ฉินอ๋องกำลังอุ้มอวิ๋นหว่านชิ่น คุณหนูใหญ่เสมือนว่าสติจะยังขมุกขมัวอยู่ ไม่ฟื้นตัวดีนัก 

 

 

ชูซย่าตกใจจนโผรีบเข้าไปดู แล้วจ้องมองมู่หรงไท่กับอวิ๋นหว่านเฟยที่อยู่ประตูด้วยสายตาอาฆาตแค้น แล้วด่ากราดไปชุดหนึ่ง 

 

 

ซือเหยาอันกัดฟัน พร้อมกับจ้องมองไปที่มู่หรงไท่อย่างแค้นเคือง “องค์ชายสาม บ่าวขอนำเครื่องมือที่ก่อกรรมหนักของเขาไป!”  

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงยังคงไม่ส่งเสียงใด กวาดสายตามองร่างมู่หรงไท่ ฉายแววสุขุมและสงบนิ่ง แล้วสั่งการว่า “มัดตัวเขา ส่งไปที่เก่า และอย่าสัมผัสแม้แต่ผมของเขาสักเส้นเดียว” 

 

 

ซือเหยาอันเข้าใจ แล้วทำตามคำสั่ง 

 

 

มู่หรงไท่ที่ได้สติ “พวกแกจะทำอะไร จะพาข้าไปไหน ยังคิดล้างแค้นส่วนตัวไม่เสร็จอีกหรือ เป็นนางต่างหาก เป็นอวิ๋นหว่านชิ่นที่พาตัวเองมายังเรือนในจวนโหวของข้าเองต่างหาก ข้าไม่ได้มัดนางมา…ข้าจะบอกพวกเจ้าว่า อย่าคิดว่าเจ้าเป็นถึงท่านอ๋อง! ท่านอ๋องยิ่งต้องกลัวกฎหมายบ้านเมือง! ถ้าข้าสูญเสียเส้นผมแม้แต่เส้นเดียวหรือชิ้นส่วนร่างกายหายไปแม้แต่ชิ้นเดียวด้วยน้ำมือเจ้า ท่านปู่และท่านย่าของข้าต้องไปทูลฝ่าบาท เจ้าจะได้รับบทเรียนจากฝ่าบาทแน่!”