เมื่อเห็นธิดามังกรจากไปแล้ว พวกอันหลินก็มุ่งหน้าไปทางวังมังกรอีกครั้ง

ความจริงเป้าหมายการมาวังมังกรของเขา ก็เพื่อคืนชีพและกลั่นเลือดของธิดามังกรให้กลับมาบริสุทธิ์ ส่วนการไปดูตำราที่วังมังกรล้วนเป็นเพียงการถือโอกาส ทว่าตอนนี้ มีภารกิจส่งข่าวเพิ่มมาอีกอย่างแล้ว

อันหลินมาถึงประตูหลักของวังมังกร มองเห็นหอภายในที่งดงามวิจิตรอย่างยิ่ง ในใจก็ตะลึงมากอยู่ดี

หรูหรา หรูหรามากจริงๆ!

พลับพลาหอนั่งทุกหลังล้วนเป็นดั่งผลงานศิลปะชั้นสูง ออกแบบได้น่าดูชม มีทิวทัศน์เป็นพืชพรรณวิเศษนานาชนิด แม้แต่ทางเดินก็ก่อจากหยกวิญญาณ!

“นี่มันอวดรวยโต้งๆ เลย…” อันหลินยืนส่ายหน้าอุทานอยู่หน้าประตู

เขาอยากขนอิฐบนพื้นของวังมังกรไปให้หมดเลย อาศัยการขนอิฐจนรวยลองคิดดูแล้วก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!

อันหลินล้วงยันต์ส่งสารออกมา ไม่นานก็ต่อสายหาคนคนหนึ่ง “ฮัลโหล สหายหยินอวี่ ข้าถึงหน้าบ้านเจ้าแล้ว”

“อา! เจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” เสียงตื่นเต้นของหยินอวี่ดังมาจากยันต์ส่งสาร

ครู่หนึ่งหญิงชุดขาวอรชรอ้อนแอ้นก็ปรากฏตรงหน้าอันหลิน

นางขี่เต่ายักษ์ที่บินได้ตัวหนึ่งมา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบางๆ ท่าทางดูเซื่องซึมอยู่บ้างเหมือนกัน

“รอเจ้าอยู่นานแล้ว ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปชมรอบวังมังกร” หยินอวี่เรียกอันหลินขึ้นนั่งเต่ายักษ์

อันหลินไม่เคยขี่สัตว์ประเภทนี้มาก่อน ก็สนอกสนใจไม่น้อยเช่นกัน จึงกระโดดขึ้นกระดองเต่า

จากนั้นเขาก็พูดอย่างกังวลใจว่า “เต่ายักษ์ตัวนี้แบกน้ำหนักของข้า ต้าไป๋กับเจ้าอัปลักษณ์ จะเหาะได้หรือ”

ในตอนนั้นเอง เสียงที่ราบเรียบก็ดังขึ้น “ข้าแบกได้แม้แต่ขุนเขา นับประสาอะไรกับเด็กๆ อย่างพวกเจ้า”

“เฮ้ย พูดได้เสียด้วย” ตาของอันหลินลุกวาว

เต่ายักษ์กลอกตา แสดงความไม่พอใจอย่างได้อารมณ์เหลือเกิน

อันหลินจึงไม่พูดอะไรอีก เริ่มท่องวังมังกรกับหยินอวี่

วังมังกรใหญ่โตมโหฬาร ทัศนียภาพที่น่าสนใจก็มีมากมายเช่นกัน

หยินอวี่ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ บอกเล่าความพิเศษของทิวทัศน์ไม่ขาดปาก อย่างเช่นภูเขาไข่มุก ป่ามังกรเขียว ทะเลสาบหยกมรกต น้ำพุเมรัยทิพย์ และทะเลปะการังสิบลี้เป็นต้น ล้วนแต่มหัศจรรย์ นับเป็นการเปิดโลกทัศน์ของอันหลิน

ระหว่างนี้ เขายังเห็นองค์ชายเจ็ดอ้าวอวิ๋นอีกด้วย เป็นชายวัยกลางคนที่สง่างามคนหนึ่ง

เมื่ออ้าวอวิ๋นทราบว่าอันหลินเป็นเพื่อนของหยินอวี่ ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมาก เพียงแค่ทักทายอันหลินตามมารยาทอย่างสุภาพไม่กี่ประโยคแล้วปลีกตัวออกไป ให้ความรู้สึกสบายๆ และเป็นมิตร

“เห็นพวกเขายิ้มแย้มเช่นนี้ ความจริงแล้วเป็นนักแสดงขั้นเทพ” หยินอวี่เบะปากพูดเสียงเย็น

อันหลินตกใจ “เจ้าว่าพี่ใหญ่เจ้าเช่นนี้เลยหรือ”

เดิมทีหยินอวี่ไม่มีท่าทีเช่นนี้ แต่หลังประสบกับเหตุการณ์ในสนามบรรพกาลกับเรื่องของพี่เป่ยเหลียนแล้ว นางก็เข้าใจความรู้สึกระหว่างพี่น้องเหล่านี้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง จึงไม่คาดหวังอะไรอีก

“เป็นเพราะเจ้าทั้งนั้น!” หยินอวี่พูดอย่างขุ่นเคือง

อันหลินชะงักเมื่อได้ฟัง ไม่รู้ว่าหญิงคนนี้เกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก

“เป็นเพราะเสด็จพ่อด้วย มีลูกมากมายก่อยกอง เลี้ยงหมูหรือเลี้ยงมังกรกันแน่!” หยินอวี่บ่นกระปอดกระแปด

อันหลิน “…”

“องค์หญิงสิบสามโปรดระวังคำพูด” จู่ๆ เต่าชราก็โพล่งขึ้นมา

“ฮึ่ย!” ไม่รู้ว่าหยินอวี่เป็นอะไร เมื่อนึกถึงเป่ยเหลียน นัยน์ตาก็แดงก่ำ หมดอารมณ์จะท่องเที่ยวแล้ว

อันหลินเห็นดังนั้นก็รีบพูดทันทีว่า “สหายหยินอวี่ สู้เราไปหาที่อ่านตำรากันสักเดี๋ยวดีกว่า”

“ก็ได้” หยินอวี่พยักหน้า

เพียงครู่เดียว นางก็พาอันหลินมาถึงตำหนักที่ตนอาศัยอยู่

เมื่อเห็นว่ารอบข้างไร้ผู้คน อันหลินก็เริ่มกระซิบว่า “ข้ามีความลับอย่างหนึ่งจะบอกเจ้า เจ้าห้ามแพร่งพรายนะ!”

หยินอวี่เพิ่งหอบตำราเล่มหนึ่งออกมา ดวงตากลมโตสุกใสกะพริบปริบๆ มองอันหลิน นิ่งไปเล็กน้อย ไยจู่ๆ อันหลินถึงได้มีความลับจะบอกนาง

ผ่านไปหลายวินาทีกว่านางจะพยักหน้าช้าๆ

“คนที่สหายเป่ยเหลียนช่วยในเมืองริ้วคลื่นคือข้า”

“เลือดของนางคืนชีพและกลับมาบริสุทธิ์อีกครั้งภายใต้การช่วยเหลือของข้า แต่นางตัดสินใจจะไปท่องแผ่นดินบรรพกาลสักสองสามปี หวังว่าจะไม่บอกความลับที่พลังสายเลือดของนางคืนชีพกับใคร”

หยินอวี่นิ่งงัน จ้องอันหลินอย่างเหม่อลอย กำลังทำความเข้าใจคำพูดของเขา

อันหลินคือนักพรตมนุษย์ลึกลับที่นางด่าวันละสิบรอบคนนั้นเองหรือ

เลือดของพี่เป่ยเหลียนคืนชีพและกลับมาบริสุทธิ์อีกครั้ง สำเร็จภายใต้การช่วยเหลือของอันหลินงั้นหรือ

หลังเลือดกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว พี่เป่ยเหลียนก็ตัดสินใจออกทัศนาจรที่แผ่นดินบรรพกาลเพียงลำพังอยู่ดีหรือ

ปริมาณของข้อมูลเยอะไปหน่อย นางต้องสงบสติอารมณ์อีกนาน

หยินอวี่ล้วงยันต์ส่งสารออกมา อยากติดต่อพี่เป่ยเหลียน

พี่เป่ยเหลียนไม่รับ แต่มีข้อความเสียงฉบับหนึ่ง ‘อันหลินพูดถูกแล้ว ข้ายังไม่ขอกลับวังมังกร น้องหยินอวี่ดูแลตัวเองให้ดีนะ’

เห็นได้ชัดเจนมากว่า เป่ยเหลียนรู้ว่าหยินอวี่จะติดต่อนาง จึงทิ้งข้อความเสียงไว้นานแล้ว

“เจ้าว่าเรื่องนี้…ไยถึงบังเอิญขนาดนี้ล่ะ” เสียงไพเราะกังวานของหยินอวี่ดังขึ้นอีกครั้ง

ใบหน้าของนางมีความตกใจ นัยน์ตาจ้องอันหลินไม่วางตา

อันหลินยักไหล่ “เรื่องของพรหมลิขิตใครเล่าจะเข้าใจ อย่างไรเสียข้าก็นำข่าวมาส่งถึงมือแล้ว พี่เจ้าไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถอะ”

หยินอวี่พยักหน้า ในที่สุดใบหน้าก็มีรอยยิ้มงดงามปรากฏให้เห็น

“มาสิ ตำราเล่มนี้ก็คือทฤษฎีความรู้เรื่องควอนตัมที่ประพันธ์โดยมหาปุโรหิตของเผ่าพันธุ์ข้า เจ้าลองอ่านดูก่อน ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามข้าได้” นางยื่นตำราในอกของอันหลิน

อันหลินไม่เกรงใจ รับตำรามา มองหาเก้าอี้แล้วนั่งลง เริ่มศึกษาทันที

ภาษาอักษรในตำราเป็นอักษรบรรพกาล ไม่เป็นอุปสรรคต่อการอ่านของเขา

ความจริงความรู้พื้นฐานทางฟิสิกส์ของเขาธรรมดามาก แต่เขากลับอ่านตำราเล่มนี้รู้เรื่อง เพราะมันแตกต่างกับทฤษฎีควอนตัมบนโลกมนุษย์ การศึกษาสถานะควอนตัมก็เริ่มจากพื้นฐานไปเชิงลึก เกี่ยวโยงถึงพารามิเตอร์ ไปจนถึงเวลา มิติ พลังปราณและทฤษฎีมูลเหตุเป็นต้น

แต่เนื้อหาของตำราทั้งเล่มไม่ได้เป็นทฤษฎีระบบที่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการวิเคราะห์และการสันนิษฐานต่อปรากฏการณ์บางอย่าง รวมถึงการทดลองแบบดั้งเดิมส่วนหนึ่ง

มีการวิจัยที่น่าสนใจอย่างมากก็คือ นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มังกร เคลื่อนย้ายภูตผีในสนามรบบรรพกาลด้วยศาตราเวทย์มิติชนิดหนึ่ง ขณะที่กำลังถ่ายโอนมายังมิติด้านนอก ปรากฏพบว่าสถานะควอนตัมของภูตผีสั่นคลอนอย่างยิ่ง ไม่นานก็ตาย แม้แต่ร่างกายก็สูญสิ้น

และพลังที่ทำให้ภูตผีสูญสิ้นแบบนี้ นักวิจัยแห่งเผ่าพันธุ์มังกรสันนิษฐานว่า มาจากปัจจัยที่มีชื่อว่า ‘ความซื่อสัตย์ทางอารมณ์’

พวกเขาสันนิษฐานว่า ภูตผีก็มีความรู้สึกเช่นกัน ภูตผีเป็นการรวมตัวของความอาฆาตแค้น เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตที่ตายในสนามรบ จะอาลัยอาวรณ์สถานที่ที่พวกมันจากไปและถือกำเนิด เมื่อออกจากสถานที่แห่งนั้น สภาวะทางอารมณ์จะไม่มั่นคงอย่างยิ่ง ส่งผลให้สถานะควอนตัมสั่นคลอน สุดท้ายแตกสลายไปเอง

จุดนี้อันหลินค่อนข้างเห็นด้วย ซ้ำยังอดนึกถึงปีศาจมารร้ายไม่ได้ คิดว่าทั้งคู่มีจุดที่เหมือนกัน

เขาอ่านตำรารวดเร็วฉับไว สาเหตุเพราะมีพลังยุทธ์สูง สมองก็ปราดเปรื่องเฉียบแหลมแล้ว ความจำความเข้าใจก็สูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งยังสามารถใช้พลังเซียนเพ่งจิตบางส่วน จดจำสิ่งที่พบเห็นให้ฝังลึกในสมองได้อีก

เขาใช้เวลาครึ่งวันก็อ่านตำราเล่มนี้จบแล้ว

“ฟู่…มาครั้งนี้คุ้มแล้ว” อันหลินปิดตำรา กล่าวด้วยรอยยิ้ม

หยินอวี่นั่งบนเก้าอี้อีกตัว สองมือเท้าคาง ยิ้มกริ่มแล้วพูดว่า “ยังอยากอ่านตำราอะไรอีกไหม ข้ามีศาสตร์หลอมสายเลือด ชีวะเผ่าพันธุ์ การวิเคราะห์เหตุผล ศาสตร์การใช้ห้วงมิติ…”

อันหลินแค่ฟังวิชาเป็นพรวนที่ถูกเปล่งออกจากปากของหยินอวี่ ก็รู้สึกปวดหัวแล้ว “อย่าเลย! ข้าสนใจแค่ภูตผีเท่านั้น ถึงได้หาตำราอ่าน บำเพ็ญเซียนอย่างยากเย็น หลุดพ้นจากวิชาทั้งหลายแหล่ ข้าไม่ง่ายเลย!”

เขาครุ่นคิดแล้วอุทานว่า “แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า สิ่งที่วังมังกรของพวกเจ้าวิจัยมีเยอะทีเดียว!”

หยินอวี่มองเขายิ้มๆ พูดขึ้นมาว่า “พวกนี้เป็นแค่ความรู้ผิวเผิน ทฤษฎีและการทดลองทางวิจัยที่ลึกซึ้งกว่านี้อยู่ในสถาบันวิจัยของมหาปุโรหิต เหมือนว่าระยะนี้กำลังจะประดิษฐ์นักรบพันธุศาสตร์ด้วย”

“ยอดเยี่ยมดีจริง มีนักรบพันธุศาสตร์ด้วยหรือ” อันหลินตาลุกวาว

หยินอวี่โบกมือขาวผ่องเล็กน้อย “เป็นแค่พวกของที่อารยธรรมจื่อซิงทิ้งไว้ ตอนนี้พวกเราแค่เก็บมาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็เท่านั้น วังมังกรน่ะ…รบจนหวาดกลัวแล้ว ตอนนี้หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง…”

“พรืด…แม้แต่ภาษาของแดนมนุษย์เจ้าก็เอามาใช้แล้วหรือ”

“ข้าชอบอ่านตำรา ผู้อาวุโสท่านหนึ่งในเผ่าพันธุ์มังกรก็อยู่ในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียน เคยไปแดนมนุษย์ ขนตำรากลับมาเป็นกอบเป็นกำ ข้าอ่านหมดแล้ว…”

“สุดยอด!”

อันหลินคิดว่านิสัยของหยินอวี่ดีมากทีเดียว จริงใจเป็นกันเอง เมื่ออยู่ด้วยแล้วรู้สึกผ่อนคลาย เขาก็ยินดีจะเป็นเพื่อนด้วย

อีกไม่กี่วันก็จะเปิดเทอมใหม่แล้ว เขาจึงตัดสินใจไปจากวังมังกรหลังทานมื้อค่ำเสร็จ

หยินอวี่บอกลาอันหลินด้วยรอยยิ้ม

“อันหลิน หากมีเวลาข้าจะไปหาเจ้าที่สรวงสวรรค์”

“ได้เลย ไว้คุยกันทางยันต์ส่งสารนะ!”

การพบกันของทั้งคู่จบลงอย่างเรียบง่าย ไม่มีใครก่อเรื่อง และไม่มีอุบัติเหตุอะไร

ส่วนเรื่องที่วังมังกรรู้ว่าเป่ยเหลียนหนีไป เจ้ามังกรโกรธกริ้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว