บทที่ 5 ได้เวลาปล่อยตัวแล้ว

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

“หัวขโมยเหอหมิงหลี่ได้ยั่วยุระบบ เปลวไฟปะทุทั่วร่าง

ระบบเปลี่ยนไปใช้วิชาจิตหนาวเหน็บ โดยใช้ฝ่ามือน้ำแข็งหนาว เป็นกระบวนท่าที่เรียกว่า ‘ผนึกน้ำแข็งเฉือนหิมะ’ ที่ราวกับลมพัดสายฟ้าฟาดมาทำลายการป้องกันจากเปลวไฟของคู่ต่อสู้ และกระแทกเข้าที่หลังศีรษะของอีกฝ่าย

ระบบสร้างความเสียหาย 75 หน่วยให้กับเหอหมิงหลี่ เหอหมิงหลี่สลบไป

ระบบได้รับคะแนนประสบการณ์ 500 คะแนน ระบบได้รับการอัปเกรด

ขณะนี้ระบบอยู่ที่ระดับ 2 ค่าเลือดเพิ่มขึ้น 10 หน่วย ปราณแท้เพิ่มขึ้น 5 หน่วย ค่าสถานะอิสระเพิ่มขึ้นหนึ่งจุด

การจัดสรรอัตโนมัติของระบบเสร็จสิ้น ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ตอนนี้มีเท่ากับ 6 หน่วย

ระบบใช้กรงเล็บเมฆามังกรบินตรวจดูร่างกายของเหอหมิงลี่ และได้รับเงินสด 34,522 หยวน และแหวนเพชรห้ากะรัต…”

โชคดีที่ครั้งนี้ไม่มีผู้เสียชีวิต และเงินสดที่ได้รับก็มั่งคั่งยิ่งกว่าเมื่อวานมาก ฟางหนิงมองคนที่ล้มลงกับพื้นอย่างเห็นใจ เมื่อครู่เขาเห็นขั้นตอนการขโมยกระเป๋าเงินจากรถทั้งหมด โจรคนนี้ต้องใช้ความพยายามทั้งหมดของตนเพื่อให้ได้กระเป๋าเงินนั่นมาอยู่กับมือ

ตลอดกระบวนการ คุณระบบไม่พูดอะไรสักคำ หลังจากที่อีกฝ่ายทำแผนร้ายสำเร็จแล้ว เขาก็ปล่อยเสียงระบบออกไปทำให้อีกฝ่ายตกใจ จากนั้นก็ล้มอีกฝ่ายลงอย่างรวดเร็ว ผลก็คือทำให้หัวขโมยคนนี้ต้องลำบากแล้ว เพราะสุดท้ายดันเสียรู้ให้กับระบบผดุงคุณธรรมจนได้

ฟางหนิงไม่สนใจที่ระบบทำตัวเป็นอันธพาล คราวนี้เขามีข้อมูลเพิ่มขึ้นมาก ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เห็นแผงหน้าปัดของระบบ แต่ดูจากข้อความแจ้งเตือนเหล่านี้ เขาก็รู้ได้ว่าระบบนี้คงจะเป็นระบบด้านศิลปะการต่อสู้ มีลมปราณ มีปราณแท้ และความแข็งแกร่งทางกายภาพ ซึ่งก็คือพลังนั่นเอง ถ้าอย่างนั้นก็เดาได้ว่าต่อไปอาจจะมีพร รากกระดูก และค่าสถานะด้านสติปัญญาต่างๆ

คิดแล้วก็สุดยอดมากเลยจริงๆ มันทำให้ฟางหนิงเริ่มโลภ ตัดเรื่องที่เป็นโรคผัดวันประกันพรุ่งระยะสุดท้ายออกไปก่อน เพราะยังไงซะเขาก็ยังคงเป็นตัวคุมเกมที่แท้จริง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถควบคุมระบบได้ด้วยตัวเอง ทำได้แค่มองดูระบบทำเก๊กไปทั่วทุกที่

เมื่อไหร่จะถึงเวลาที่ตัวเขาจะได้ใช้ระบบไปทำเก๊กได้บ้างนะ

ขณะที่ฟางหนิงกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ตอนนี้เองเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น

“ระบบเลื่อนขั้นถึงระดับ 2 ความสามารถในการอยู่รอดเพิ่มขึ้น เริ่มคำนวณผลงานของโฮสต์…การคำนวณผลงานเสร็จสิ้นแล้ว ผลงานของโฮสต์น้อยมาก หลังจากกลับสู่พื้นที่ปลอดภัย จะมอบเวลาปล่อยตัวให้กับโฮสต์สามสิบนาที โปรดทราบว่าในช่วงเวลาปล่อยตัว โฮสต์สามารถใช้เพื่อการผ่อนคลายและพักผ่อนได้เท่านั้น ไม่สามารถทำเรื่องฟุ่มเฟือยได้”

“บ้าเอ๊ย นี่แกใช้คำว่าปล่อยตัวเลยเหรอ เห็นฉันเป็นคนร้ายไปแล้วจริงๆ สินะ อีกอย่าง อะไรคือเรื่องฟุ่มเฟือยกัน ดูเหมือนว่าแผนการเก๊กท่าจะเป็นหมันเสียแล้ว” ฟางหนิงบ่น ถึงแม้ความคิดที่จะใช้ระบบมาทำเก๊กจะล้มเหลว แต่เขาก็ยังตั้งหน้าตั้งตารอให้เวลาปล่อยตัวมาถึง

เขาจดจ้องระบบตาไม่กะพริบ และเห็นว่าอีกฝ่ายรีบออกจากลานจอดรถใต้ดินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตีวงเดินไปหลายที่แล้วจึงถอดรูปลักษณ์นี้ออกในห้องน้ำสาธารณะแห่งหนึ่ง ก่อนจะเดินตามทางกลับไปที่บ้านเช่าช้าๆ

พอกลับถึงห้องแล้ว ฟางหนิงก็เช็กดูเวลา ตอนนี้เก้าโมงครึ่ง วันนี้คงไม่ต้องไปทำงานแล้ว น่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ หรือวันมะรืน และจากนั้นตนก็จะค่อยๆ ห่างไกลจากคำว่า ‘ทำงาน’ ไปเรื่อยๆ

เมื่อฟางหนิงทอดถอนใจว่าเขากำลังจะเสียงานที่ไม่ดีไม่แย่นั่นไป จู่ๆ เขาก็ประหลาดใจที่พบว่าตัวเองสามารถเคลื่อนไหวได้แล้วจริงๆ

เขาเคลื่อนไหวได้จริงๆ ฟางหนิงขยับแขนขยับขาในห้อง แล้วพบว่าการที่ระบบนั่งสมาธิโคจรลมปราณตลอดทั้งคืนไม่เพียงทำให้เท้าของเขาชาเท่านั้น แต่ยังยืดหยุ่นยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย

หลังจากทอดถอนใจเรื่องผลกระทบอันทรงพลังจากกำลังภายในของระบบ ฟางหนิงก็รีบเรียกหาระบบในใจของเขา

“ระบบ ระบบ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

“โฮสต์มีเวลาเหลือยี่สิบเก้านาทีสามสิบวินาทีในช่วงเวลาปล่อยตัว”

เมื่อได้ยินเสียงเรียกของฟางหนิง ระบบไม่ตอบสนอง แต่กลับเตือนเขาอย่างเย็นชา

“บ้านแกสิ มาให้ฉันดูหน่อยว่าแกหน้าตาเป็นยังไง มีแผงค่าสถานะอะไรบ้าง มีระบบเควส แผงหมุนวงล้อ…อ้อ แล้วก็ร้านระบบ กระเป๋าเก็บของระบบ เอามาให้ฉันดูให้หมดเลย” หลังจากที่ฟางหนิงสามารถควบคุมร่างกายได้ เขาก็เย่อหยิ่งขึ้นมา เขาคิดว่าระบบนี้ไม่มีทางแยกจากเขาได้แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เวลาพักผ่อนเล็กๆ น้อยๆ กับเขาหรอก

“เวลาปล่อยตัวของโฮสต์เหลือยี่สิบแปดนาทีห้าสิบวินาที”

“แกมันใจร้าย ขอฉันดูกระเป๋าเก็บของระบบก็ได้ แกจะต้องมีแน่ ไม่อย่างนั้นทำไมฉันหาที่ซ่อนของที่แกชิงมาได้ไม่เจอล่ะ ของที่แกเอามาต้องไปแลกเป็นเงิน ถ้าไม่แลกเป็นเงินแล้วจะแลกทรัพยากรที่ใช้เพิ่มความสามารถในการอยู่รอดได้ยังไง? แกรู้วิธีการแลกเป็นเงินใช่ไหม?” จากการแจ้งเตือนของระบบทำให้ฟางหนิงรู้ได้ทันที เขาไม่สามารถถามคำถามสุ่มๆ ได้ คุณระบบไม่คุ้นเคยกับวิถีเราๆ เขาจึงรีบเอ่ยถามให้ตรงจุด

ครั้งนี้ระบบตอบกลับ

พื้นที่ขนาดใหญ่มากจนฟางหนิงมองไม่เห็นปลายสุดก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขาทันทีที่หลับตา ฟางหนิงรู้สึกราวกับว่าเขาได้เข้าไปในพื้นที่นั้น

พื้นที่แห่งนี้ไม่มีแหล่งกำเนิดแสงเลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับสว่างจ้า น่าเสียดายที่เมื่อเขามองเข้าไปแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่กลับว่างเปล่า มีเพียงมุมเล็กๆ ที่วางรางวัลจากการผดุงคุณธรรมเอาไว้

เงินสดมีอยู่หลายหมื่น เครื่องประดับ ทอง แหวนเพชร และมือถือ…

เฮ้อ สุดยอดมากจริงๆ ฟางหนิงประเมินอย่างเร่งด่วน ปริมาณงานทั้งจากเมื่อคืนและเช้านี้ของระบบรวมกัน น่าจะได้มากกว่าเงินเดือนทั้งปีของเขา

น่าเสียดายที่เคยเป็นโอตาคุมาก่อน จะไปหากลุ่มคนที่ยินดีรับของโจรแบบนี้ได้จากไหนล่ะ? ที่พูดไปเมื่อครู่ ก็แค่พูดเพื่อหลอกให้ระบบน่ารังเกียจนี้พูดออกมาก็เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ฟางหนิงผู้มากจินตนาการได้แนะนำระบบแบบสุ่มๆ เกี่ยวกับการขายของออกไปว่า “จริงสิ รู้ไหมระบบ ความจริงแล้วแค่เข้าไปในเว็บมืด ก็อาจจะมี…”

“เหลือเวลาอีกยี่สิบเอ็ดนาทีในการปล่อยตัวโฮสต์”

ฟางหนิงรู้ดีว่าที่ระบบรีบเปลี่ยนเรื่องเร็วขนาดนี้ เพราะมันไม่มีความชำนาญเรื่องเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเลย ระบบที่ไม่ใช่ด้านเทคโนโลยีตอนนี้คงจะรู้สึกผิดในใจอยู่สินะ ความรู้เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตเล็กๆ น้อยๆ ที่มันรู้ น่าจะมาจากความทรงจำของเขา

ตอนนี้ฟางหนิงมั่นใจมากว่าระบบน่าจะติดตั้งโมดูลด้านศิลปะการต่อสู้เอาไว้ แต่ไม่ได้ติดตั้งด้วยเทคโนโลยีในอนาคตอะไรพวกนั้น อยากเข้าใจอะไร ก็ต้องเอามาจากความทรงจำของเขาอย่างเดียว

หลังจากยืนยันสิ่งนี้ได้แล้ว ฟางหนิงก็ปวดหัว ของกองใหญ่อย่างนี้คงต้องวางเอาไว้ก่อน ส่วนเงินสดนั่นพอจะเอามาใช้ได้บ้าง

ต้องขอบคุณการหล่อหลอมจากนิยายประเภทต่างๆ จึงทำให้โอตาคุอย่างเขามีความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจตราและตามรอย

เวลาผ่านไปทีละน้อย และสุดท้ายฟางหนิงก็เห็นว่าเหลือเวลาปล่อยตัวเพียงยี่สิบนาทีเท่านั้น

จากนั้นเขาก็ทำเรื่องหนึ่งคือรีบกระโดดไปที่แล็ปท็อป เปิดเครื่อง เพิ่มแรงขับเคลื่อน ไม่สิ เริ่มท่องอินเทอร์เน็ต…

แม้ว่าเขาจะเป็นคนผัดวันประกันพรุ่งอย่างรุนแรงและเป็นวัยรุ่นที่ติดอินเทอร์เน็ตอย่างหนัก แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ และไอคิวของเขาก็ไม่เคยขาดๆ หายๆ

การไม่ออนไลน์หนึ่งคืนเป็นเรื่องที่รับได้ยากสำหรับฟางหนิง แต่เขาก็ยังรีบออนไลน์เพื่อดูเว่ยป๋อในละแวกเมืองเดียวกัน แล้วค้นหาข่าวในเมืองเดียวกัน เพราะต้องการทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบัน

ใช้เวลาไม่นาน เขาก็เห็นโพสต์บนบล็อกที่ดึงดูดความสนใจขึ้นมา มันได้รับความนิยมอย่างมากและกลายเป็นหัวข้อข่าวอันดับสูงทันที

‘จอมยุทธ์ต่อสู้กับยอดมนุษย์! ยอดมนุษย์ล้มไม่เป็นท่าในฝ่ามือเดียว!’

ด้านบนนี้เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของระบบที่มีต่อหัวขโมย ทั้งยังแนบวิดีโอฉบับเต็มมาด้วย ในฐานะที่เป็นผู้สังเกตการณ์ตลอดทั้งกระบวนการ ฟางหนิงไม่รู้เลยว่าเขา (ระบบ) หล่อเหลาขนาดนี้

คาดว่าคงเป็นกล้องติดรถยนต์ของรถบางคันที่ถ่ายฉากนี้ได้ และถูกเจ้าของที่มาขับรถในตอนเช้าพบเข้า จึงโพสต์มันลงบนเว่ยป๋อ

มีความคิดเห็นมากมายด้านล่าง และบางคนยังแสดงความคิดว่าพวกเขาก็เห็นสถานการณ์ที่คล้ายๆ กัน

ฟางหนิงนั่งดูมันอยู่เป็นเวลานาน ตอนนั้นเองเขาก็เห็นข้อความแจ้งเตือนเด้งขึ้นมาบนหน้าเว็บ ‘หน้าเว็บไซต์ที่คุณกำลังดูอยู่ ถูกลบไปแล้ว’

หลังจากอ่านความคิดเห็น ฟางหนิงก็เริ่มตระหนักได้ว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนไป และคืนวันสบายๆ กับการกินและรอความตายในอดีต อาจจะไม่มีอีกแล้ว

ดาวตกเพลิงดวงนั้นได้นำระบบมาให้กับตัวเขา แล้วทำไมคนอื่นจะไม่ได้บ้างล่ะ? หลายครั้งที่เขาโชคไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก และตอนที่เจอโชคดีก็ไม่ได้มีบ่อยนัก

ตอนนี้เขาอาจเริ่มมีโชคขึ้นมาบ้างแล้วก็ได้ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ อย่างน้อยเขาก็ยังมีขาทองคำอย่างระบบหนาพอให้กอด และเมื่อพิจารณาจากการต่อสู้ของเมื่อคืนจนถึงเช้าวันนี้ ระบบนี่ยังคงน่าเชื่อถือมาก ส่วนเรื่องไอคิวกลับพึ่งพาไม่ค่อยได้เท่าไหร่ จนอดกังวลเกี่ยวกับอนาคตไม่ได้เลย

“คุณจ้าวอิ๋ง ช่วยดูศพนี้อีกครั้งและยืนยันว่าเขาคือผู้เสียชีวิตที่คุณโพสต์บนเว่ยป๋อด้วย?” ณ ห้องใต้ดินแห่งหนึ่ง ในตู้แช่เย็นมีร่างของชายอ้วนที่ตายตาไม่หลับคนหนึ่งนอนอยู่

จ้าวอิ๋งเหลือบมองอย่างขลาดกลัวอีกรอบ แล้วหันหน้าหนีทันที ก่อนพยักหน้า “ใช่ค่ะ เขาเอง”

“เอาล่ะ ตอนนี้คุณไปกับพวกเขาได้แล้ว แต่จำไว้ว่าคุณได้ลงชื่อในข้อตกลงปกปิดความลับกับเราแล้ว หากคุณฝ่าฝืน คุณจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ทางที่ดีคุณควรลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้หมด!” เสียงเคร่งขรึมดังขึ้นข้างหูของเธอ

“รู้น่าๆ ฉันจะลืมมันทันทีเลย” เธอรีบพูด ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า เธอจะโชคร้ายเกินไปแล้ว ทายาทเศรษฐีที่อุตส่าห์ตกมาได้ดันกลายเป็นอาชญากรติดประกาศจับ และเทพบุตรที่ช่วยเหลือเธอไว้ก็มากลายเป็นฆาตกรไปเสียอีก

แต่เธอก็โชคดีมากที่ตอนนั้นกำลังยุ่งอยู่กับการโพสต์เว่ยป๋อ และกำลังทำทีสงวนตัวอยู่เพื่อรอให้พี่ชายสุดหล่อเริ่มเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน สุดท้ายจึงไม่ได้สื่อสารกับอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะเธอแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยจึงผ่านมันมาได้ง่ายๆ

แต่น่าเสียดายที่จะไม่ได้เจอหน้าพี่ชายสุดหล่อคนนั้นอีกแล้ว เธอยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย

ไม่นานหลังจากที่จ้าวอิ๋งเดินตามคนสองคนไป ด้านหน้าห้องเย็นก็มีคนกลุ่มใหม่มารวมตัวกัน

พวกเขาทั้งหมดอยู่ในชุดสูทและรองเท้าหนัง บางคนสวมแว่นกันแดด แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือพวกเขาแข็งแกร่งมาก ดูจากท่าทางแล้วไม่ใช่พวกลูกน้องชั้นล่างของใครบางคนแน่นอน พวกเขามองไปที่ศพ ทุกสายตาลุกเป็นไฟ ราวกับว่ามีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ภายในนั้น

……………………………………………………..