ตอนที่1234 เจตจำนงผู้นำ

 

“นี่…นี่มันบ้าอะไรกัน?”

เมื่อตาเฒ่าฮั่นเห็นเงาผีร่างนั้น พลันรู้สึกขนลุกซู่ดั่งหนังห่านทั่วทุกอณูร่าง

ร้ายกาจเกินไป!

 

“มารปีศาจอมตะ! ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ! ไอ้บัดซบเย่หยวน! หากบิดดาผู้นี้รอดออกไปได้ แกไม่ตายดีแน่นอน!”

จู่เก๋อฉิงซวนกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชังสุดหัวใจ

สีหน้าการแสดงออกของจู่เก๋อฉิงซวนในตอนนี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดน่ากลัวยิ่ง มันคาดไม่ถึงเลยว่า บนผืนพิภพแห่งนี้ยังมีใครบางคนสามารถบ่มเพาะขัดเกลาตัวเองจนกลายเป็นมารปีศาจอมตะได้อยู่!

การดำรงอยู่เฉกเช่นนี้น่ากลับเกินไปและไม่สามารถฆ่าให้ตายได้เลย!

 

เมื่อพินิจมองจากรัศมีกลิ่นอายภัยคุกคามหอบใหญ่แสนข้นคลัก สัญชาตญาณของพวกมันทั้งคู่พลันกระตุ้นเตือนให้วิ่งหนีโดยเร็ว

จู่เก๋อฉิงซวนแทบจะกินเลือดกินเนื้อเย่หยวนแล้วในขณะนี้ แต่แน่นอนว่าสิ่งแรกที่สำคัญที่สุดคือ การหนีให้พ้นจากการดำรงอยู่อันไร้เทียมทานตรงหน้า!

 

“ข้าผู้นี้ถูกฝังลึกอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาล้านปี และอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นข้าก็จะสำเร็จกลายเป็นมารปีศาจอมตะที่ไม่มีวันตายอย่างแท้จริง! แต่พวกเจ้า…พวกเจ้ากล้าทำลายทุกสิ่งเพื่อให้ตัวข้าล้มเหลว! เช่นนั้น…เตรียมรับความพิโรธจากข้าผู้นี้ซะ!”

สุ้มเสียงที่แหบดังของหลีกุยเปรียบดั่งเสียงจากนรก

โดยสัญชาตญาณที่มันเพิ่งตื่นมา จึงพลางคิดว่าสองคนนี้ที่อยู่ต่อหน้าเป็นคนทำลายมิติต่อเติมของมัน จนส่งผลให้มันประสบความล้มเหลวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้าย

ยอดเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุด มิใช่สิ่งที่จู่เก๋อฉิงซวนจะเข้าคู่ได้เลย

อย่างไรก็แล้วแต่ นิกายชำระวิญญาณกำลังจะให้กำเนิดมารปีศาจอมตะขึ้นมา กาลเวลานับล้านปีกำลังทำให้หลีกุยบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของมัน

เย่หยวนผู้ซึ่งเป็นคนรับสืบทอดเสื้อคลุมของเซียนเต๋าสวรรค์ ย่อมไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้แน่นอน

สำหรับจู่เก๋อฉิงซวนที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเผ่าปีศาจ หากมันถูกฆ่าตายในที่แห่งนี้ เย่หยวนล้วนสุขใจเป็นธรรมดา

ดังนั้นการให้ศัตรูตัวฉกาจทั้งสองมาตีกันเองเช่นนี้ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ส่วนตัวเขาเองก็ก้าวแช่มหนีออกไปอย่างสบายอารมณ์

 

ตาเฒ่าฮั่นรู้สึกราวกับจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของจนกำลังเลื่อนหายสลายไปเมื่อจ้องมองหลีกุย ประหนึ่งว่ามันถูกวางยาด้วยสายตา

“เจ้า ระวั-….”

ตาเฒ่าฮั่นยังไม่ทันกล่าวจบ ร่างพรายวิญญาณของหลีดุยพลันอันตรธานหายไปลับสายตาแล้ว

 

บูมมมม!!

จู่เก๋อฉิงซวนเข้าปะทะกระบวนกับหลีกุยโดยตรง คลื่นลมที่ซัดกระจายออกมาส่งร่างของตาเฒ่าฮั่นกระเด็นออกไปไกลโข

จู่เก๋ฮฉิงซวนเหนือชั้นกว่าเซียนทั่วไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าการปะทะคราวนี้แทบทำให้ร่างกายของมันแตกกระจุยไปตาม

แดนมิติต่อเติมแห่งนี้ยังคงพังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลีกุยดูจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย พร้อมพุ่งทะยานเข้าใส่จู่เก๋อฉิงซวนอย่างบ้าคลั่ง

หนึ่งล้านปีเต็มแห่งความพยายาม ทุกอย่างกลับกลายเป็นศูนย์ จะมิให้มันโมโหได้อย่างไร?

 

ทั้งสองเริ่มก่อศึกสัประยุทธ์ครั้งใหญ่ภายในมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณที่กำลังพังทลายลงมา!

 

 

……………………………….

 

 

ปรากฏระบอกคลื่นความผันผวนกลางอากาศ เย่หยวนก้าวย่างออกมาจากห้วงแห่งความว่างเปล่า

 

“ขอบคุณสวรรค์! ท่านจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ยังปลอดภัยดี!”

ยามนี้ปรากฏนักสู้นับพันยืนอยู่ต่อหน้าอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาจนปกคลุมไปทั่วทั้งเนินเขา

คนเหล่านี้ต่างโหร้องดีใจกันยิ่งเมื่อได้เห็นเย่หยวนกลับมา และรีบคุกเข่ากราบกรามเย่หยวนอย่างพร้อมเพรียงประหนึ่งว่าเคยซ้อมกันมาก่อน

จากนั้นเสียงชื่นชมสรรเสริญจากนักสู้นับพันก็ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน จนกังวานไปทั่วทั้งหุบเขาเหวพระเจ้า

พวกเขาเหล่านี้ที่สามารถบ่มเพาะฝึกฝนตนเองจนกลายเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะได้ แต่ละคนล้วนมีอุปลักษณ์นิสัยแสนหยิ่งผยองและทะนงตัวเทียบสวรรค์

การจะให้คนเหล่านี้คุกเข่าให้เกรงว่ายากกว่าขึ้นสวรรค์

 

แต่นักสู้พวกนี้นับหลายพันต่างคุกเข่าก้มกราบต่อหน้าเย่หยวนโดยมิได้นับหมายใดๆ ซึ่งนี่ทำให้ตัวเย่หยวนเองประหลาดใจอย่างมาก

เขาสัมผัสได้ว่า คนเหล่านี้ต้องการที่จะขอบคุณเขาจากส่วนลึกของใจจริง

 

ในเวลานี้เองเยวี่ยเมิ่งลี่ก็เข้ามาทักและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มบางๆว่า

“เย่เซิงปากไวไปเสียหน่อย คนเหล่านี้จึงทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในมิติของนิกายชำระวิญญาณ”

 

เมื่อเย่หยวนได้ฟังเช่นนั้นก็ตระหนักทราบทันทีและเอ่ยปากป่าวประกาศเสียงดังฟังชัดว่า

“ลุกขึ้น! ทุกคนไม่จำเป็นต้องสุภาพเช่นนี้กับข้า ข้าช่วยเหลือพวกเจ้าในวันนี้ก็หวังให้พวกเจ้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในวันหน้า หากพวกเจ้าพบเจอผลกำไรภายในหุบเขาเหวพระเจ้าแห่งนี้ หวังว่าทุกคนจะไม่คิดตระหนี่แบ่งปันให้คนอื่นๆ อย่าลืมไปเสียทุกกำลังของพวกเจ้าล้วนสำคัญต่อมหาศึกคราวนี้ ถ้าสักวันเกิดเหตุอะไรกับนายน้อยผู้นี้ ข้าก็หวังว่าจะมีใครบางคนในหมู่พวกเจ้าสืบทอดเจตจำนงของข้าต่อไป ยามนั้นก็โปรดรักษารากฐานของมวลมนุษย์แทบข้าด้วย! สำหรับเรื่องนี้ข้าจะไม่เอ่ยปากกล่าวใดๆอีก ลี่เอ๋อ,ไปกันเถอะ”

ทันทีที่เย่หยวนกล่าวจบ เขาก็นำลี่เอ๋อ,ลู่เอ๋อและคนอื่นๆจากออกไปทันที โดยมิได้ใส่ใจฝูงชนเหล่านั้นอีกต่อไป

เหล่านักสู้นับพันต่างแลกเปลี่ยนสายตากันไปมาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความขมขื่น

ในคำกล่าวของเย่หยวนก่อนหน้า ช่างสะท้อนใจเจือโศกเศร้ายิ่งนัก

ไฉนจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ถึงกล่าวเช่นนั้น? แล้วหากเกิดอะไรขึ้นกับท่านผู้นั้นจริงๆ พวกเขาจะเป็นคู่มือของเผ่าปีศาจได้อย่างไร?

หรือเป็นไปได้ไหมว่า ยังมีปีศาจบางตนที่แกร่งกร้าวเทียบเทียมได้กับท่าน?

นอกจากนี้เอง…ไฉนท่านจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ถึงต้องเสี่ยงชีวิตเข้าสำรวจหุบเขาเหวพระเจ้าด้วย?

คำถามเหล่านี้ต่างวนไปเวียนมาอยู่ในหัวของทุกคน

ก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดว่าหากท้องนภายังไม่ร่วงหล่นลงมา ก็คงยากที่พวกเขาจะเข้าสนับสนุน

ท่านจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ซึ่งเป็นผู้นำภาคีวิถีเร้นลับ หากมีเขาและภาคีนี้อยู่เพื่อค้ำยันเผ่าปีศาจ แล้วพวกเขายังจำเป็นต้องกังวลอะไรอีก?

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความแกร่งกล้าของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ลึกล้ำเกินเข้าใจได้แล้ว บางทีท่านผู้นี้อาจทรงพลังเสียยิ่งกว่าจู่เก๋อฉิงซวนไปมากแล้ว

แต่ทว่า…หากเผ่าปีศาจยังมีการดำรงอยู่ที่ทัดเทียมได้กับจอมราชันย์พิชิตสวรรค์จริงๆ เช่นนั้น…เผ่ามนุษย์เองก็อยู่ในจุดวิกฤติยิ่งเช่นกัน!

 

 

“หรือเป็นไปได้ไหมว่ายังมีปีศาจที่แกร่งกร้าวยิ่งกว่าเทพอสูรเหล่านี้ดำรงอยู่? เทพอสูรเหล่านั้นต่างเคยเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้ามาก่อน เช่นนั้นแล้ว การดำรงอยู่อันน่าสะพรึงนั้นไม่ยิ่ง…. เผ่ามนุษย์ในยามนี้สุ่มเสี่ยงอย่างมากจริงๆ!”

 

“ไม่รู้เลยว่ามันเป็นการดำรงอยู่แบบใดกันแน่! แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเผ่ามนุษย์ถึงจุดวิฤตแล้ว! ข้ารู้สึกว่า การที่ท่านจอมราชันย์พิชิตสวรรค์กล่าวเช่นนั้น ท่านยอมมีเหตุผลแน่นอน หรือว่าท่านเองก็…ไม่ค่อยมั่นใจกับสถานการณ์นัก?”

 

“จอมราชันย์พิชิตสวรรค์คือยอดอัจฉริยะและมากคุณธรรมอย่างแท้จริง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าคิดอยู่เสมอว่า ข้าต้องใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง แต่เมื่อได้เห็นท่านจอมราชันย์พิชิตสวรรค์แล้ว ข้ารู้สึก…ละอายใจยิ่งนัก! ตัวข้านี่มันเห็นแก่ตัวโดยแท้! กระทั้งสุนัขยังดีกว่าด้วยซ้ำ!”

 

 

“ถูกต้อง! ข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ! จากนี้ไปพวกเจ้าเข้าสำรวจไปต่อเถอะ ข้าขอไปเข้าร่วมกับภาคีวิถีเร้นลับเพื่อต่อสู้กับเผ่าปีศาจอย่างสุดกำลังดีกว่า!”

 

“ข้าไปด้วย!”

 

 

…………………………

 

 

เย่หยวนยังพอสัมผัสถึงคุณธรรมในเบื้องลึกของจิตใจคนเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงมิได้กล่าววาจาไร้สาระหรือข่มขู่ใดๆกับพวกเขา

แต่เขาก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า พฤติกรรมของคนเหล่านี้กลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วราบกับโรคระบาด ท้ายที่สุดนี้พวกเขาแทบทุกคนเลือกที่จะเข้าร่วมมหาศึกครั้งใหญ่เพื่อต่อกรกับเผ่าปีศาจ

นับวันเข้า ตัวเย่หยวนก็เริ่มคล้ายคลึงกับเซียนเต๋าสวรรค์ในกาลอดีตขึ้นทุกที

 

แรงบันดาลใจเหล่านี้มิได้เกิดจากการใช้กำลังบังคับขู่เข็ญ

แต่มันเกิดจากจิตสำนึกที่อยู่ภายในใจของทุกคน และเมื่อทุกคนรู้สึกเช่นนี้แบบเดียวกัน เมื่อรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน พวกเขาจะทรงพลังขึ้นหลายเท่าทวี

กิ่งไม้เพียงก้านเดียวไม่สามารถทนต่อแรงหักได้ แต่หากนำมามัดรวมกันนับร้อยพัน นั้นจะยิ่งเหนียวแน่นและแข็งแกร่งขึ้น!

 

 

…………………….

 

 

 

“นายท่าน,เมื่อครู่เท่สุดๆไปเลย!”

ลู่เอ๋อกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นอยู่เคียงข้าง

ภาพฉากที่ผู้คนหลายพันคุกเข่าขอบคุณต่อหน้าเย่หยวน ช่างเป็นเหตุการณ์ที่กินใจเหลือเกิน

ลืมไปเลยสำหรับลู่เอ๋อ แม้แต่เย่เซิงและพี่น้องของเขาเองที่เจนจัดทางโลกไม่น้อย ก็ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน

พวกเย่เซิงประหลาดใจอย่างมากจริงๆกลับการกระทำของนักสู้เหล่านั้น

ก่อนหน้าเขาไม่เคยกล่าวสั่งด้วยซ้ำว่า ให้นักสู้เหล่านี้ต้องโค้งคำนับหรือต้องขอบคุณเย่หยวน

ภาพฉากเมื่อสักครู่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นเองด้วยความสมัครใจของทุกคน

 

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เย่เซิงยิ่งรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวเย่หยวนมากขึ้นเป็นทวีเท่า

พวกเขาเคารพในความพยายามและคุณธรรมในตัวเย่หยวนที่มีต่อมวลมนุษย์ ซึ่งนั้นคล้ายกระจกใสสะท้อนใจของพวกเขา ทุกคนต่างรู้สึกละอายใจยิ่งและต้องการสนับสนุนช่วยเหลือเย่หยวนอย่างสุดความสามารถ

มีเพียงการกระทำเช่นนี้เท่านั้น ที่ทุกคนจะสามารถตอบแทนเย่หยวนได้

ท้ายที่สุดนี้ นี่คือหนี้บุญคุณครั้งใหญ่ที่พวกเขาเต็มใจตอบแทนด้วยความกตัญญู

 

ลี่เอ๋อยิ้มและกล่าวว่า

“พี่ใหญ่หยวน ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า คนเห็นแก่ตัวพวกนั้นจะกลับใจได้จริงๆ!”