Ep.292 กับดัก

สองวันสองคืนต่อมา แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิ ทว่าจวนเจ้าเมืองชีไห่กลับมีน้ำแข็งปกคลุม ท้องฟ้าที่ล่องลอยไปด้วยเมฆหนารูปร่างคล้ายห่านยังคงมีหิมะโปรยปรายอย่างต่อเนื่อง หลินมู่อวี่ควบม้าไปยังรอบนอกของเมืองพร้อมกับทวนหลีฮวา มุ่งตรงเข้าสู่ป่าล่ามังกรทั้งที่หิมะยังตกอยู่

“โฮก…”

ด้านข้างม้าศึกเจ้าแอปเปิลน้อยส่งเสียงร้องพลางสะบัดร่างเบาๆ ประหนึ่งต้องการบอกว่ามันหนาว และตั้งคำถามว่าเหตุใดหลินมู่อวี่จึงต้องไปยังที่ที่ทรมานเช่นนี้ด้วย

หลินมู่อวี่คิดถึงถึงเสี่ยวซีพลางกระโดดลงจากม้าและลูบหัวเจ้าแอปเปิลน้อย “พี่เสี่ยวซีของเจ้าตกอยู่ในอันตราย เราต้องไปช่วยนาง”

เจ้าแอปเปิลน้อยเหมือนจะเข้าใจ มันผงกหัวช้าๆ และก้มหัวเข้าหาหลินมู่อวี่ ทั้งคู่คลอเคลียและให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน

ด้านนอกเมืองชีไห่คือป่าล่ามังกรซึ่งเป็นสถานที่อันตราย แม้แต่นักเดินทางค้าขายยังต้องเดินทางตอนกลางวัน หากอย่างใช้ถนนเส้นหลัก อย่างน้อยก็ต้องรวมกลุ่มกันหนึ่งร้อยคนเช่นเดียวกับทหารลาดตระเวน

กระทั่งตกดึก กองไฟวูบวาบก็ถูกจุดขึ้นท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโดยมีเจ้าแอปเปิลน้อยนอนขดอยู่ใกล้ๆ ครั้งนี้หลินมู่อวี่รีบเร่งเดินทางจึงไม่ได้เตรียมของจำเป็นมาด้วยไม่ว่าจะเป็นกระโจมหรืออาหาร อาศัยละลายหิมะเพื่อใช้เป็นน้ำดื่มกับกระต่ายที่ล่าได้ก่อนหน้านี้มาทำเป็นอาหารประทังชีวิต

กระต่ายย่างบนกองไฟส่งกลิ่นหอมคละคลุ้ง หลินมู่อวี่กินขากระต่ายและโยนส่วนที่เหลือให้แอปเปิลน้อยกิน เจ้ามังกรจอมตะกละกินเนื้อกระต่ายจนหมดทว่ายังคงแสดงอาการหิวอยู่ เพราะปกติมันต้องกินกระต่ายเจ็ดถึงแปดตัวต่อวัน

หลินมู่อวี่ไม่ละสายตาจากถนนพร้อมกับปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณไปโดยรอบ ทุกการเคลื่อนไหวที่อยู่ในระยะไม่มีทางรอดพ้นการตรวจจับของหลินมู่อวี่ ทวนหลีฮวาปักอยู่บนพื้นพลางกระชับกระบี่วิญญาณมังกรที่เอวไปด้วย ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังง่วงทันใดนั้นเขาก็ต้องรีบตื่นตัวทันทีที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจอันแข็งแกร่ง มันปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วทางทิศใต้ของป่า

“เสี่ยวซี…”

หลินมู่อวี่เบิกตาเพ่งมองไปยังทิศทางดังกล่าวด้วยความหวัง…ทว่ามันกลับไม่ใช่อย่างที่คิด พยัคฆ์กระหายเลือดอายุสามพันปีที่เคยเป็นภัยคุกคามในอดีต บัดนี้มันไม่สามารถทำอะไรหลินมู่อวี่ได้อีกต่อไป

เป็นเพราะทักษะชีพจรวิญญาณทำให้รัศมีพลังของหลินมู่อวี่แผ่ไปทั่ว พยัคฆ์กระหายเลือดจ้องหลินมู่อวี่ราวกับอาหารอันโอชะ อุ้งเท้าหนาย่ำบนหิมะพุ่งตรงมาหาเขา

แววตาคมกริบของพยัคฆ์มองเหยื่อ เตรียมพร้อมละเลงอาหารเบื้องหน้าอย่างเต็มที่

หลินมู่อวี่ถอนหายใจอย่างผิดหวัง เขาคิดว่าเจ้าของลมหายใจนั้นเป็นของถังเสี่ยวซี หลินมู่อวี่ลูบหัวแอปเปิลน้อย “อาหารมื้อใหญ่มาแล้ว รอกินได้เลย”

แอปเปิลน้อยเอาหัวถูแขนหลินมู่อวี่ไปมาพลางส่งเสียงร้องราวกับจะบอกว่า “รีบไปเสียทีสิ”

ทว่าหลินมู่อวี่ไม่อยากขยับตัวจึงรอให้พยัคฆ์กระหายเลือดเป็นฝ่ายบุกก่อน

อย่างที่คาด…เมื่อพยัคฆ์วนเวียนโดยรอบได้ไม่นานก็ขู่คำรามพลางง้างกรงเล็บโจมตีทันที เป็นท่าโจมตีตัดชีพอันเลื่องลือ ทว่าคราวนี้กลับเป็นโจมตีต่อเนื่อง! หลินมู่อวี่ใช้ฝ่ามือเรียกกำแพงน้ำเต้าออกมาป้องกัน “เคร้ง!” กรงเล็บของพยัคฆ์ร้ายถูกสะท้อนกลับจะเลือดสาด!

“ตาย!”

กระบี่วิญญาณมังกรถูกชักออกจากฝันพร้อมกับพลังแสงสีทองฟาดฟันไปกลางอากาศ

“โฮก…” เสียงคำรามที่เปล่งออกมานั้นมีความหวาดเกรงปะปนอยู่ มันรีบกระโดดถอยหลังพลางใช้ขนเหล็กตรงหน้าผากช่วยกันการโจมตี ขนของพยัคฆ์กระหายเลือดนั้นมีความแข็งอย่างมาก โดยเฉพาะพยัคฆ์ที่มีอายุหนึ่งพันปีขึ้นไป ดาบธรรมไม่สามารถตัดผ่านขนมันได้ ทว่าหลินมู่อวี่ในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อครั้งอดีต เขาใช้กระบี่วิญญาณมังกรสับเข้าหัวมันทันที แม้คมกระบี่จะไม่สามารถตัดผ่านได้ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาต่อวิชาแหวกรังสีที่หลินมู่อวี่ใช้ควบกับกระบี่ ใบดาบเปล่งแสงเจิดจ้าแผ่ขยายออก

แหวกรังสี!

พยัคฆ์กระหายเลือดร้องโหยหวนพลางกระโดดหนี หัวและขนของมันยังคงสภาพเดิม ทว่ากลับมีเลือดไหลออกมาจากภายใน ด้วยอานุภาพของวิชาแหวกรังสีทำให้อสูรอายุสามพันปีต้องพบกับจุดจบในการโจมตีเดียว

“ไป”

หลินมู่อวี่ออกคำสั่ง มังกรผลึกโลหิตพุ่งเข้ากระชากลำคอจองพยัคฆ์อย่างรวดเร็วเพื่อทำให้มันตายอย่างสนิทก่อนเริ่มกิน เจ้ามังกรกลืนกินจิตวิญญาณและศิลาวิญญาณของอสูรพยัคฆ์ในคราเดียวตามสวาปามด้วยร่างหนักสามร้อยกิโลกรัมจนหมดในพริบตา เป็นความตะกละที่น่ากลัวยิ่ง

หลังจากกินจนอิ่มท้องแล้ว แอปเปิลน้อยร่างโชกเลือดเดินไปยืนข้างหลินมู่อวี่พลางเรอพร้อมกับไฟร้อนจากปาก ส่งผลให้หิมะโดยรอบละลายกลายเป็นไอจนพื้นดินแห้งโผล่ออกมา เจ้ามังกรล้มตัวลงนอนบนอุ้งเท้าของตนก่อนจะกรนเสียงดังอย่างสบายใจ พลันมีเส้นสีเงินสามเส้นปรากฏขึ้นบนหัวของมัน

เจ้ามังกรวิวัฒนาการเป็นสัตว์วิญญาณอายุแปดร้อยปีหลังจากกินจิตวิญญาณของพยัคฆ์กระหายเลือด ความเร็วในการเติบโตของมังกรศักดิ์สิทธิ์ช่างน่าอัศจรรย์นัก

หลินมู่อวี่ไม่อยากรบกวนมังกรน้อยตอนหลับ หลังจากการดูดซับพลังวิญญาณจำนวนมาก มังกรผลึกโลหิตจำต้องได้รับการพักผ่อนเพื่อเผาผลาญพลังงานให้เข้าสู่ร่างกาย

เช้าวันต่อมาหลินมู่อวี่ยังคงไม่พบถังเสี่ยวซีหรือผู้ใด นอกจากเจ้ามังกรผลึกโลหิตที่กระโดดโลดเต้นไปมากลางหิมะเหมือนลูกสุนัข

หลินมู่อวี่ไม่มีใจที่จะชื่นชมมัน เขายังคงอยู่ท่ามกลางหิมะด้วยใจที่หนักอึ้ง แต่ทันใดนั้นเสียงโซ่เหล็กก็ดังก้องมาจากประตูเมืองชีไห่พร้อมกับประตูเหล็กที่ค่อยๆ เปิดออก

“หน่วยลาดตระเวนอีกแล้วหรือ?” หลินมู่อวี่คิดในใจ

ทว่ากลุ่มที่ออกมาไม่ใช่หน่วยลาดตระเวน เป็นกลุ่มของคนที่สวมชุดทหารของเมืองชีไห่พร้อมเกราะและอาวุธครบมือราวสองพันคน

ดูเหมือนผู้คนในเมืองก็ได้รับข่าวเช่นกัน

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ากองทัพสองพันคนนั้นกำลังตรงมาทางตนด้วยความเร็วจนหันไปควบม้าหนีไม่ทัน

“มีคนอยู่ตรงนั้น ล้อมมันไว้!”

หลินมู่อวี่ยืนขึ้นกลางวงล้อมของกองทหารเมืองชีไห่ที่ชี้ดาบมาทางเขาประหนึ่งพร้อมเข้าฟันได้ตลอดเวลา

หลินมู่อวี่แสดงให้เห็นถึงเหรียญตราบนบ่าและป้ายชื่อจักรวรรดิตรงคอเสื้อ “พวกเจ้าตาบอดกันหรือจึงไม่เห็นสิ่งนี้?”

ผู้บัญชาการกองร้อยคนหนึ่งประสานกำปั้นคำนับพลางเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าท่านมียศเป็นแม่ทัพ ทว่ารอบนอกเมืองชีไห่นี้เป็นเขตหวงห้าม ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

“ข้าจะอยู่ที่ไหนก็เรื่องของข้า อีกทั้งที่นี่เป็นอาณาเขตของมณฑลหลิงเป่ยหาใช่ของเมืองชีไห่ไม่ แต่พวกเจ้า…” หลินมู่อวี่เลิกคิ้วขึ้นก่อนจะตะคอกเสียงดัง “กองทัพของเมืองชีไห่กล้าละเมิดต่อคำสั่งของจักรพรรดิโดยการบุกรุกพื้นที่ของเมืองหลวง…ทีนี้พวกเจ้ารู้หรือยังว่าใครผิด?”

ผู้บัญชาการกองร้อยตกตะลึงจนพูดไม่ออกหลังถูกตะคอก

ทันใดนั้นกองงทัพก็แหวกแถว ชายคนหนึ่งสวมชุดนายทหารยศสูงควบม้าเข้ามาพลันเอ่ยขึ้น “ข้าก็นึกว่าใคร…ที่แท้ก็หลินมู่อวี่หนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งหลันเยี่ยนนี่เอง”

“ถังปิน”

หลินมู่อวี่จำชายผู้นี้ได้ “ยินดีที่ได้พบขอรับท่านอ๋องน้อยถังปิน”

“ไม่ต้องนอบน้อมเช่นนั้นก็ได้” ถังปินมองหลินมู่อวี่ “ท่านหลินมู่อวี่แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้และผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์อินทรี ท่านเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพ เหตุใดจึงมายังเมืองชีไห่อันรกร้างคนเดียวเล่า?”

หลินมู่อวี่เหลือบมาชายตรงหน้า “ข้าเองก็อยากจะถามท่านด้วยประโยคเดียวกันว่าเหตุใดท่านจึงนำกองทัพติดตามมาเพียงเท่านี้เล่า?”

ถังปินกล่าวด้วยท่าทีเศร้าหมอง “อืม เราได้รับสาส์นเมื่อเช้าวันนี้ว่าเสี่ยวซีหายตัวไป ท่านปู่ทรงเป็นกังวลอย่างมากด้วยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้าจึงนำนักรบสองพันคนจากในตระกูลออกตามหาเสี่ยวซีในป่าล่ามังกรแห่งนี้ แล้วจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของท่านหลินมู่อวี่คือ…”

หลินมู่อวี่คำนับ “ข้าเองก็ได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้ออกตามหาเสี่ยวซีในป่าแห่งนี้เช่นกัน”

“เช่นนั้นเราก็มีจุดประสงค์เดียวกัน”

ถังปินคลี่ยิ้ม “ท่านแม่ทัพเข้าป่าคนเดียวอาจเกิดอันตรายได้ เหตุใดจึงไม่ไปตามหาเสี่ยวซีพร้อมกันกับเราเสีย?”

“ข้า…”

หลินมู่อวี่ยิ้ม “ข้าคุ้นชินกับการทำภารกิจคนเดียวขอรับ”

“อย่างนั้นรึ?”

ถังปินยิ้มกล่าวด้วยแววตาปริ่มน้ำ “เสี่ยวซีเป็นหลานสาวที่รักของท่านปู่ ชะตาของเมืองชีไห่ขึ้นอยู่กับชีวิตของนาง จึงจะให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นไม่ได้ ข้ายังคงคิดว่า…ท่านหลินมู่อวี่ควรมากับเรา มิเช่นนั้นหากมีสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น ข้าคงไม่มีหน้ากลับไปรายงานกับท่านปู่หรือองค์จักรพรรดิ ท่านหลินมู่อวี่น่าจะรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้ดีและรู้ว่าควรทำสิ่งใดนะขอรับ”

ไม่นานก็มีชายเฒ่าคนหนึ่งเรียกหลินมู่อวี่อยู่ด้านข้าง ชายเฒ่าผู้นั้นคือจิงเหลา “ท่านหลินมู่อวี่ไปด้วยกันเถิดขอรับ ถึงอย่างไรก็มีเป้าหมายเดียวกัน”

ทหารชีไห่โดยรอบจ้องมองหลินมู่อวี่ด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร

จากการตรวจสอบความแข็งแกร่งคนของกลุ่มนี้ด้วยทักษะชีพจรวิญญาณ พลังยุทธ์ของถังปินเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตอนนี้คงบรรลุถึงจุดสูงสุดของขอบเขตนภาขั้นหนึ่งแล้ว ผู้เฒ่าจิงอยู่ขอบเขตนภาขั้นสอง ทหารจำนวนหนึ่งอยู่ขอบเขตปฐพีขั้นสองและสาม ส่วนพวกที่เหลือไม่มีพลังยุทธ์ ถึงกระนั้นหากต้องสู้กัน…หลินมู่อวี่แทบไม่มีโอกาสเอาชนะเลย

ด้วยท่าทีคุกคามของกลุ่มทหารชีไห่พวกนี้หลินมู่อวี่ก็พอจะเข้าใจจึงพยักหน้ารับ “เช่นนั้นก็ไปหาเสี่ยวซีด้วยกันเถิด”

เมื่อกล่าวจบหลินมู่วอวี่ก็ขึ้นควบม้าพร้อมกับเก็บกระบี่วิญญาณมังกรเข้าฝัก และเก็บทวนหลีฮวาที่ปักอยู่บนพื้น แอปเปิลน้อยส่งเสียงครางและเดินตามไปอย่างใกล้ชิด

ถังปินมองมังกรผลึกโลหิตอย่างไม่วางใจทว่าไม่แสดงท่าทีใดออกมา

แม้หลินมู่อวี่จะอยู่คนเดียวทว่าการจะสังหารเขาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การปล่อยให้เขารอดกลับไปเมืองหลวงได้ก็อาจเกิดปัญหาใหญ่ตามาเช่นกัน ถังปินจึงรอให้แน่ใจก่อนค่อยลงทำสิ่งที่วางแผนไว้