บทที่ 293 ฝนในฤดูใบไม้ร่วง

คู่ชะตาบันดาลรัก

สถานศึกษาซานไถได้ปลูกต้นกุ้ยฮวยบนพื้นที่กว้างใหญ่ เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งสถานศึกษาทำให้ผู้คนที่สัญจรผ่านมาล้วนรู้สึกสดชื่น

ฟู่จินสร้างห้องใต้หลังคาตรงครึ่งทางขึ้นเขาโดยครึ่งหนึ่งหันหน้าเข้าหาหน้าผาและล้อมรอบด้วยต้นกุ้ยฮวย เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงก็จะได้ชมทะเลหมอกและดื่มสุราที่ห้องใต้หลังคาอย่างสบายอารมณ์

เจี่ยงเหวินเฟิงรู้มานานแล้วว่าฟู่จินมีห้องใต้หลังคา เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นสถานที่เช่นนี้ เขายังคิดว่าคนสุภาพเรียบร้อยเช่นอาจารย์ ห้องใต้หลังคาจะต้องเต็มไปด้วยหนังสือวรรณกรรม สะสมภาพเขียนต่างๆ ปกติหากเขาไม่แข่งประชันกลอนก็จะพูดสำบัดสำนวน

พอมาที่นี่ถึงได้รู้ว่าอาจารย์สะสมวรรณกรรมเกี่ยวกับผี! ภาพเขียนเกี่ยวกับผี! ด้านในมีแต่เครื่องแก้วสุรา! หับไหเหล้านานาชนิด!

ถ้วยทอง ถ้วยหยก ถ้วยกระเบื้อง ถ้วยเรืองแสง สุราข้าวฟ่าง สุราเหมาไถ สุราเจี้ยนหนานชุนล้วนมีหมด!

“องุ่นเหล้าล้ำเลิศ ถ้วยบรรเจิดเพริศพราวตา…” ฟู่จินเอ่ยขณะที่หันหน้าไปทางระเบียงของหน้าผา เขานั่งไขว่ห้าง มือถือแก้วสุราเอนตัวลงบนเก้าอี้เอนกายแล้วโยกไปมาอย่างมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ

ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ เจี่ยงเหวินเฟิงซึ่งนั่งตัวตรงสายตามองไปที่เท้าของอีกฝ่ายที่เหยียดออกไปตามระเบียง “อาจารย์ท่านไม่กลัวตกหรอกหรือ”

ฟู่จินตอบ “เจ้าศึกษามาอย่างไรกัน ข้านั่งเตี้ยถึงเพียงนี้ เท้าอยู่สูงจะตกลงไปได้อย่างไร”

เจี่ยงเหวินเฟิงกระตุกมุมปาก “ท่านก็รู้ว่าขาของท่านไม่ได้ยืดสูงถึงเพียงนั้น”

เท้าอยู่สูงกว่าศีรษะยังดูมีความสง่างามอยู่อีกหรือ

ฟู่จินถามเสียงดุ “ทำไม เจ้าไม่พอใจอาจารย์งั้นหรือ”

เจี่ยงเหวินเฟิงพูดด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ศิษย์ไม่กล้าขอรับ” หากพูดว่าใช่ตนจะยังมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้หรือ หลังจากดื่มเหล้าองุ่นเรียบร้อยเขาก็เปลี่ยนเป็นถ้วยซีเจี่ยว

เจี่ยงเหวินเฟิงใช้เวลาหนึ่งวันและยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดเขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อาจารย์ ท่านจะทำอะไรกับแม่นางหมิงกันแน่”

ฟู่จินรู้สึกประหลาดใจ “ทำอะไร ข้าต้องทำอะไรงั้นหรือ”

เจี่ยงเหวินเฟิงเองก็แปลกใจ “ท่านไม่ทำอะไรงั้นหรือ เห็นท่านถามละเอียดถึงเพียงนั้น”

เมื่อคืนฟู่จินถามเขาเกี่ยวกับแม่นางหมิงเป็นเวลานาน ถามตั้งแต่เรื่องตระกูลหมิงไปจนถึงเรื่องต่างๆ ที่นางทำในเมืองหลวง ช่วงเวลาแปดเก้าเดือนนี้เจี่ยงเหวินเฟิงเล่าจนปากแห้ง

เขาถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่รำคาญด้วยซ้ำ นั่นไม่ใช่เพราะอยากทำอะไรงั้นหรือ เขาตัดหัวตนเองออกมาแล้วด้วยซ้ำ!

เหล้าขาวถูกเทลงถ้วยซีเจี่ยวฟู่จินดมกลิ่นหอมของมันแล้วพูดว่า “แม่นางหมิงที่เจ้าพูดถึงไม่ใช่คนธรรมดา!”

เจี่ยงเหวินเฟิงคิดในใจ ไร้สาระ! เรื่องนี้ไม่ต้องสรุปก็ได้

แต่เมื่อฟู่จินจิบสุราหนึ่งคำเขาก็พูดต่อว่า “ละมั่งนอนเขาแขวนต้นไม้ ไม่หลงเหลือซึ่งร่องรอย[1] แม่นางผู้นี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จู่ๆ ก็เข้ามาพัวพันกับเรื่องเหล่านี้”

เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจ “อาจารย์…”

ฟู่จินหัวเราะ “คดีที่ตงหนิง หากเจ้าไม่ได้พบกับนางจะเป็นอย่างไรพวกเจ้าหากระดูกของสายลับไม่พบ หากหาดวงวิญญาณของเขาไม่เจอ หรือไม่แม้แต่รู้ถึงความผิดปกติของตระกูลหมิง คดีกบฏนี้แม้ว่าเจ้าจะพบหลักฐานของการกบฏ แต่ผู้บงการอยู่เบื้องหลังกลับหนีไปได้ กุ้ยจินหยาง ซูรื่อฉู่อะไรนั่น เจ้าไม่สามารถหาได้แม้กระทั่งการมีอยู่ของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ! นายท่านสามตระกูลหมิงงั้นหรือ แค่คนตายคนเดียวผู้ใดจะไปสงสัยกัน” เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าเขาเองก็คิดเช่นนั้น

“เพราะฉะนั้นปัญหามาถึงแล้ว”

ฟู่จินวางถ้วยสุราบนโต๊ะ “แม่นางผู้นี้มาจากที่ใดกันแน่ นางเชื่อมต่อพวกเจ้าเข้าด้วยกันทีละคน และไขคดีนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“….” เจี่ยงเหวินเฟิงจมอยู่ในความคิด

“นอกจากนี้เจ้าที่ยุ่งกับงานราชการมาก แต่กลับหาเวลาออกมาเพื่อนาง คงไม่ใช่เพียงเพราะมิตรภาพของเจ้ากับนางที่ตงหนิง แต่เป็นเพราะเจ้าติดหนี้บุญคุณนางอย่างใหญ่หลวงใช่หรือไม่เจ้าจึงต้องตอบแทน” เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจ

ฟู่จินเหลือบมองแล้วยิ้มบางๆ ออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้จงอย่ากลัว ข้าไม่ถามเหตุผลเจาะจงกับเจ้าหรอก แต่อยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง”

“…อาจารย์เชิญพูดมาเถิด”

“นางช่วยเจ้าเป็นเพราะนางมีจุดประสงค์ใช่หรือไม่”

เจี่ยงเหวินเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “นางบอกว่ารอให้ข้ามีตำแหน่งที่สูงกว่านี้แล้วจะบอกว่าต้องการให้ช่วยอะไรนางขอรับ”

ฟู่จินพยักหน้า “ถูกแล้ว”

“อาจารย์” เจี่ยงเหวินเฟิงถาม “ท่านรู้อะไรหรือ”

ฟู่จินเทเหล้าลงในแก้วแต่ละแก้วไม่มากก็น้อยจากนั้นก็หยิบตะเกียบแล้วเคาะเบาๆ ส่งเสียงไพเราะราวกับเสียงเพลง

“นางเป็นคนนอก แต่หากไม่มีนางคดีความที่ตงหนิงคงไม่ได้ข้อสรุปอย่างสมบูรณ์ ไม่มีนางเสวียนตูกวันคงไม่มีทิศทางเช่นนี้ ไม่มีนาง…”

ฟู่จินชะงักเขาเคาะตะเกียบอย่างแรง และถ้วยก็ส่งเสียงคร่ำครวญ

เขาโยนตะเกียบออกไปแล้วยกถ้วยขึ้นดื่มจากนั้นก็พูดว่า “วันที่ข้ารอคอยคงไม่มาถึง!”

……………

ช่วงเวลาเทศกาลชิวเลี่ยในรอบสิบปีผู้ใดจะคาดคิดว่าจะจบลงเช่นนี้

กองทหารรักษาพระองค์ที่สูญเสียประสิทธิภาพการต่อสู้หลังจากถูกคนร้ายแฝงตัวเข้ามาในทีมล่าสัตว์ โชคดีที่ฮ่องเต้ทรงมีไหวพริบวางแผนซ้อนแผนจึงจับตัวคนร้ายได้สำเร็จ

ดังนั้น ในเวลาเพียงสองวันเทศกาลชิวเลี่ยจึงได้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

หมิงเวยขึ้นรถม้าและเห็นละอองฝนข้างนอก

“เด็กหนุ่มฟังเสียงเพลง ณ หอคณิกา เทียนสีแดงส่องแสงหรี่ช่างดูสลัว ชายวัยกลางคนนั่งเรือมองดูฝนโปรยปราย บนแผ่นน้ำกว้างใหญ่ ห่านตัวหนึ่งร้องไห้สะอื้น จนตอนนี้…” หมิงเวยท่องไปได้ครึ่งทางก็หัวเราะ นางคิดคะนึงมากมายเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ

เสียงของจี้หลิงดังลอดมาจากอีกฝั่งของม่าน “น้องหญิง น้องยังเด็กอยู่มาพูดถึงช่วงชีวิตเช่นนี้เหมือนคิดว่าตนเองอายุมากแล้วนะ”

หมิงเวยยิ้ม “พี่ใหญ่จะบอกว่าอนาคตไม่ต้องกังวลอะไรงั้นหรือ”

เมื่อคิดถึงตอนที่นางยังเด็กจะเรียนศิลปะหรือวิ่งไปตามถนนเพื่อปราบปีศาจและขับไล่ความชั่วร้าย จริงๆ แล้วไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแม้แต่น้อย

“ใช่แล้ว” หมิงเวยพิงหน้าต่างรถมองดูท้องฟ้าที่มืดมิด

ขบวนกลุ่มล่าสัตว์ในเทศกาลชิวเลี่ยที่ทอดยาวจนไม่สามารถมองเห็นหัวขบวนได้ทำให้นางมองไม่เห็นว่าหยางชูอยู่ที่ไหน นางคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ

วันนั้นพวกเขาแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง แต่หยางชูไม่เคยมาหานางเลย นางให้ตัวฝูไปถาม แต่อาหว่านบอกว่าเขาไม่อยู่ อย่าพูดถึงว่าจำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายรับรู้เรื่องนี้เลย แม้ว่าจะไม่ต้องการ แต่เขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพบนางเสมอ

แต่จู่ๆ ก็ไม่มาหานางเลย มันแปลกเกินไป เขาจะไม่สามารถมาพบนางได้เลยหรือ… เสียงม้าดังขึ้นข้างหูมีทหารนายหนึ่งขี่ม้าบดบังวิสัยทัศน์ของนาง

หมิงเวยลืมตาขึ้นแล้วพบว่าเป็นเสวียนเฟย

“ไม่ต้องมองหาแล้ว เขาไม่มาหรอก” หมิงเวยเกือบคิดว่าตนเองได้ยินผิด แต่เสียงที่ไพเราะเช่นนี้นอกจากเสวียนเฟยแล้วจะมีผู้ใดได้อีก

หมิงเวยลูบหูที่ชาแล้วถามว่า “ท่านรู้อะไรมาหรือเจ้าคะ”

เสวียนเฟยยิ้มเขาไม่ตอบแต่กลับถามว่า “ท่านรู้มานานแล้วใช่หรือไม่ว่ารูปลักษณ์ของเขาต่างออกไป”

หมิงเวยชะงักดูเหมือนเสวียนเฟยอยากจะพูดกับนาง แต่ก็พึมพำกับตนเอง

“ยังพยายามไม่เต็มที่นะ! ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่สังเกตเห็นเลยว่ารูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไป”

“….”

เสวียนเฟยหันศีรษะกลับมาและมองต่ำลงมาที่นางใบหน้าอันหล่อเหลาดูมีความสุขที่ชนะนาง “ท่านก็มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถตอบได้ด้วยงั้นหรือ”

จู่ๆ หมิงเวยก็ยิ้มอย่างสดใส “ใช่เจ้าค่ะ! ข้าสังเกตเห็นว่ารูปลักษณ์ของเขาผิดตั้งแต่แรกเห็น ท่านเพิ่งรู้เอาตอนนี้มันเกินความคาดหมายของข้าเล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าลูกศิษย์สายตรงของราชครูซูสิงอาจจะ…ช่างน่าผิดหวังเล็กน้อย!”

เสวียนเฟยพ่นลมหายใจแล้วหันหน้าไปทางอื่น “ดูเหมือนท่านจะไม่อยากฟังที่ข้าจะเล่าแล้ว” พูดจบเขาก็ดึงสายบังเหียนขึ้น

“เดี๋ยวเจ้าค่ะ!” หมิงเวยรั้งเขาไว้ “รีบจากไปเช่นนี้ข้านึกว่าท่านกินน้ำส้มสายชู[2]เสียอีก”

……………

[1] ละมั่งนอนเขาแขวนต้นไม้ ไม่หลงเหลือซึ่งร่องรอย มาจากตำนานที่ว่าละมั่งจะนอนโดยเอาเขาแขวนกับต้นไม้เพื่อไม่ให้เท้าติดพื้น หลีกเลี่ยงอันตรายยามหลับ ใช้มาสื่อถึงเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่อาจหาอะไรมาบรรยายได้

[2] กินน้ำส้มสายชู : หึงหวง