ตอนที่ 171-1 ความวุ่นวายครั้งใหญ่

ชายาเคียงหทัย

“พระชายา!”

 

 

ทุกคนต่างอึ้งไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จั๋วจิ้งที่ตั้งสติได้ก่อนพุ่งตัวไปยังริมหน้าผาทันที ในยามค่ำคืนเช่นนี้ เห็นเพียงหมอกหนา มองลงไปไม่เห็นแม้ก้นเหว อันที่จริง ยามนี้องครักษ์ลับเกือบทุกคนรวมถึงม่อหวาและเว่ยลิ่นต่างมามุงดูกันอยู่ที่ปากเหว เมื่อมองลงไปเห็นเพียงความว่างเปล่า ทุกคนต่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี

 

 

หานหมิงเย่ว์คุกเข่าลงกับพื้นด้วยใบหน้าขาวซีด บาดแผลบนหัวไหล่มีเลือดไหลซึมออกมา อาวุธลับของซูจุ้ยเตี๋ยมิได้ยิงถูกเยี่ยหลีหรือเจิ้นหนานอ๋องที่อยู่ข้างกายนาง แต่เป็นเขาที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ได้เอาตัวเขารับอาวุธลับที่ยิงมานั้นไว้

 

 

หานหมิงเย่ว์กระแอมไอเบาๆ ก่อนยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก หันมองไปทางซูจุ้ยเตี๋ยที่ยืนมองมาที่เขาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี สายตาเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและเจ็บปวด

 

 

“ท่านอ๋อง…” ซูจุ้ยเตี๋ยส่งเสียงเรียกด้วยความลังเล ด้วยเพราะนางสัมผัสได้ถึงแววตาประหลาดของเจิ้นหนานอ๋องที่มองมาที่นาง หลังจากที่เขาดึงกริชออกจากหน้าอกอย่างไม่เคยมีมาก่อน นั่นไม่ใช่สายตาของความโกรธเกรี้ยว แต่เป็นสายตาที่ทำให้นางรู้สึกหวั่นใจอย่างประหลาด แม้แต่ตัวนางเองก็คิดไม่ถึงว่า เยี่ยหลีจะเสียหลัก พลัดตกลงเหวไปง่ายๆ เช่นนั้น ในใจนางทั้งนึกยินดีทั้งรู้สึกไม่เหมือนจริงอย่างประหลาด

 

 

ขณะเดียวกัน สายตาของพวกจั๋วจิ้งก็กำลังจับจ้องมาที่นางประหนึ่งนางเป็นงูพิษ ก็ทำให้นางรู้ว่า ยามนี้…นางจะต้องอยู่ใกล้เจิ้นหนานอ๋องเข้าไว้ มิเช่นนั้นแล้ว ผู้ใดก็คงไม่สามารถช่วยนางได้

 

 

“ท่านอ๋อง คนเหล่านี้พวกเราควรจะ…” ทหารจิ่นอีเว่ยเอ่ยถามความเห็นด้วยความระมัดระวัง

 

 

เจิ้นหนานอ๋องกวาดตามองพวกจั๋วจิ้งทุกคน ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ไม่ต้องแล้ว รีบเดินทางออกจากด่านเดี๋ยวนี้! อย่าได้รั้งรอแม้สักเค่อเดียว”

 

 

ครานี้ถึงแม้จะตามหาเยี่ยหลีจนพบ แต่กลับไม่สามารถจับตัวนางไว้ได้ ไม่ได้สิ่งที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรกยังไม่เท่าไร แต่กลับสร้างความแค้นฝังลึกที่มิอาจลบล้างได้กับม่อซิวเหยาขึ้นอีก เจิ้นหนานอ๋องรู้ดีว่าม่อซิวเหยากำลังเร่งรุดเดินทางมาที่นี่เช่นกัน พวกเขาเสียหายทหารอย่างย่อยยับไปที่หงโจว หากต้องเผชิญหน้ากับม่อซิวเหยาในยามนี้ ย่อมมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

 

 

เจิ้นหนานอ๋องโบกมือ “ถอย!” เขาเดินผ่านพวกจั๋วจิ้งเข้าไปในป่าลึก

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยรีบคว้าแขนเขาไว้ เงยหน้ามองเขาอย่างหน้าเวทนา “ท่านอ๋อง…”

 

 

“เพี๊ยะ!” ฝ่ามือหนักๆ ตบเข้าที่ใบหน้าอันงดงามของซูจุ้ยเตี๋ย ซูจุ้ยเตี๋ยถึงกับล้มกลิ้งลงจากความแรงของฝ่ามือนั้น

 

 

จากนั้นได้ยินเพียงเจิ้นหนานอ๋องเอ่ยอย่างเลือดเย็นและไร้เยื่อใยว่า “ชิงหรงกุ้ยเฟย ไป๋หลง ป่วยตาย” พูดจบก็เดินเข้าป่าไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง

 

 

หน่วยจิ่นอีเว่ยที่ติดตามเจิ้นหนานอ๋องไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปดูสตรีผู้แสนงดงามที่ล้มอยู่กับพื้น เจตนาของท่านอ๋องนั้นชัดเจนว่าไม่อยากจะเห็นหน้าสตรีนางนี้อีก ต่อให้พวกเขาหลงใหลในความงามเพียงใด ก็ไม่กล้าพาตัวนางกลับไปด้วย

 

 

“ไม่…” ซูจุ้ยเตี๋ยส่ายหน้าไปมาด้วยความร้อนรน นางไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ และที่ผลเป็นเช่นนี้ นั่นหมายความว่าต่อไปนางจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างน่าสมเพช “ไม่…ไม่ ท่านอ๋อง…”

 

 

น่าเสียดายที่หน่วยจิ่นอีเว่ยเดินทางมาถึงได้รวดเร็ว และก็กลับไปได้รวดเร็วเช่นกัน ชั่วเวลาไม่นาน ทั้งหมดก็หายไปจากป่าแห่งนั้น

 

 

จั๋วจิ้งลุกยืนขึ้น ปรายตาเย็นเยียบมองสตรีที่กองอยู่กับพื้น “จับคนสารเลวนี่มัดไว้ รอให้ท่านอ๋องมาจัดการ” พูดจบก็หันไปเก็บเชือกที่เยี่ยหลีผูกไว้กับต้นไม้เตรียมข้ามไปยังหน้าผาอีกฝั่งกลับมา แล้วโยนลงไปด้านล่าง

 

 

เว่ยลิ่นเองก็หยิบเชือกที่พกติดตัวไว้ออกมาเตรียมการเช่นเดียวกัน

 

 

ม่อหวามองดูพวกเขาอยู่เงียบๆ ก่อนเอ่ยออกมาว่า “ระวังด้วย”

 

 

จั๋วจิ้งพยักหน้า คว้าเชือกไว้แล้วกระโดดลงไปพร้อมเว่ยลิ่น

 

 

ด้านล่างปากเหวยังคงเงียบสงบ ด้านบนเหวเต็มไปด้วยหมอกหนา ทำให้ยากที่จะหายใจได้สะดวก

 

 

หานหมิงเย่ว์ไม่ได้สนใจสภาพที่น่าเวทนาของตนเอง เขานั่งพิงต้นไม้หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า ชุดสีขาวช่วงหัวไหล่มีจุดแดงอ่อนๆ อยู่เต็มไปหมด แขนชาไปทั้งแขนประหนึ่งท่อนไม้ ถึงแม้เมื่อครู่จะใส่ยาถอนพิษที่ค้นได้จากตัวซูจุ้ยเตี๋ยไปแล้ว แต่ก็ยังคงไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับร่างกาย

 

 

ซูจุ้ยเตี๋ยถูกจับมัดไว้อย่างไร้ความทะนุถนอม ยามนี้กำลังมองมาทางหานหมิงเย่ว์พร้อมร้องไห้อย่างน่าเวทนา

 

 

น่าเสียดายที่ต่อให้ยามนี้หานหมิงเย่ว์มีใจนึกสงสาร แต่เขาไม่มีเรี่ยวแรงทำอันใดได้

 

 

ม่อหวายืนอยู่ริมหน้าผาเงียบๆ หากเส้นผมที่ดำขลับมิได้ปลิวไปตามแรงลมแล้ว คงดูประหนึ่งเป็นรูปสลักแต่มิใช่คน

 

 

ครึ่งชั่วยามผ่านไป ก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นที่ด้านล่างภูเขาอีกครั้ง มองไปเห็นเป็นทหารจำนวนนับไม่ถ้วนค่อยๆ ล้อมเข้ามายังจุดที่พวกเขาอยู่

 

 

“ทหารของราชสำนักมาแล้ว” หานหมิงเย่ว์พยุงตัวที่ได้รับบาดเจ็บหนักขึ้นมายืนพิงกับต้นไม้

 

 

ม่อหวาอึ้งไปเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ขึ้นมาแล้วอย่างไร” พระชายาไม่อยู่แล้ว พวกเขาเหล่านี้จะเป็นหรือจะตายอย่างไรก็ไม่มีผลอันใดหรอก

 

 

แต่เพียงไม่นาน ก็มีกลุ่มคบไฟอีกกลุ่มหนึ่งเคลื่อนตัวผ่านมายังตีนเขา จากนั้นก็กระจายตัวออกเป็นมังกรไฟหลายตัว และเคลื่อนตัวขึ้นมาบนเขาอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นการเคลื่อนที่ม่อหวาคุ้นเคยเป็นอย่างดี มุมปากของม่อหวากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างเจ็บปวด มาถึงในยามนี้จะมีประโยชน์อันใดกัน…ท่านอ๋อง ท่านมาช้าไปเสียแล้ว…

 

 

ด้านล่าง มีเสียงปะทะกันของอาวุธดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นาน ก็มีร่างร่างหนึ่งพุ่งตัวออกมาจากชายป่าท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด มุ่งตรงมายังริมหน้าผาแห่งนี้ ก่อนคว้าต้นไม้ต้นที่อยู่ใกล้สุดเอาไว้แล้วลงยืน หานหมิงซีเอ่ยถามเสียงเข้มว่า “จวินเหวยเล่า จวินเหวยไปอยู่ที่ใดเสีย”

 

 

มุมปากหานหมิงเย่ว์กระตุก แต่ยังคงพูดอันใดไม่ออก เขาค่อยๆ เลื่อนสายตากลับไปมองที่ชายป่า ม่อซิวเหยาเคลื่อนตัวผ่านต้นไม้ในป่าออกมาอย่างรวดเร็ว

 

 

ตัวเขายังไม่ทันถึงพื้น สายตาก็กวาดมองไปทั่วริมหน้าผา ก่อนหยุดมองไปทางม่อหวา เอ่ยถามเสียงขรึมว่า “พระชายาอยู่ที่ใด”

 

 

ม่อหวาคุกเข่าลงกับพื้นโดยมิได้พูดอันใด พักใหญ่ ถึงได้เอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ…พระชายา…ตกหน้าผาไป…”

 

 

ตัวที่ตั้งตรงของม่อซิวเหยาเซไปเล็กน้อย มุมปากมีรอยเลือดไหลออกมา ทำให้สีหน้าที่ซีดขาวและดูเหนื่อยล้า เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำทันที เขาก้มหน้าลงเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก แต่ก็มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากอีกอย่างรวดเร็ว

 

 

ม่อหวาหน้าถอดสี ไม่สนใจว่าตนกำลังคุกเข่าขออภัยในความผิดอยู่ รีบลุกยืนขึ้นคิดจะเข้าไปพยุงเขาไว้

 

 

ม่อซิวเหยาสะบัดมือ ม่อหวาก็ล้มถลาลงไปกับพื้นทันที “จั๋วจิ้งกับเว่ยลิ่นอยู่ที่ใด”

 

 

ม่อหวาก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ เอ่ยว่า “พวกเขาลงหน้าผาไปพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ม่อซิวเหยาโบกมือให้สัญญาณ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอันใด กองทัพตระกูลม่อที่ตามเขาออกมาจากในป่า ก็ต่างคว้าเอาเชือกที่พอหาได้ โหนตัวลงหน้าผาไปทันที

 

 

ม่อซิวเหยากวาดตามองทุกคนบนหน้าผาที่บาดเจ็บและเหนื่อยล้า ก่อนหยุดมองที่หานหมิงเย่ว์อยู่พักหนึ่ง ก่อนเดินเข้าไปที่ริมผา ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นเอง เขาก็กระโดดลงไปยังทะเลหมอกที่ดูไร้ขอบเขตนั้นทันที

 

 

จนเมื่อเฟิ่งจือเหยาตามมาถึงหน้าผาด้วยความเดือดดาลแล้ว เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็นิ่งไปทันที อย่างไรก็มาถึงช้าไปเสียแล้ว… เขาหันมองขอบฟ้าที่เริ่มมีแสงสว่างอย่างเหม่อลอย ท้องฟ้าสีขาวประหนึ่งถูกย้อมไปด้วยสีแดงอ่อนๆ ทำให้ในใจทุกคนรู้สึกถึงสัญญาณที่ไม่ค่อยเป็นมงคลบางอย่าง

 

 

ท่ามกลางท้องฟ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ด้วยเพราะแสงยามรุ่งอรุณที่ใกล้จะมาถึง ทำให้แสงดาวที่ลอยอยู่เต็มฟ้า ค่อยๆ อ่อนแสงลง เปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงเข้มที่พาดผ่านอย่างหน้าประหลาด

 

 

เฟิ่งจือเหยายืนเอามือไพล่หลังอยู่ริมหน้าผา ดาวแห่งความกล้าหาญอยู่บนฟ้า…ความวุ่นวายอยู่บนดิน

 

 

ช่วงบ่ายของวันต่อมา ถึงได้มีคนค่อยๆ ปีนขึ้นมาจากหุบเขา แต่เมื่อมองดูสีหน้าของทุกคนแล้ว เฟิ่งจือเหยาที่เดิมไม่ค่อยมีความหวังสักเท่าไร ก็ยิ่งโงนเงนจะเสียหลักเข้าไปใหญ่

 

 

ยามที่ร่างหนึ่งในชุดสีแดงเข้มกระโดดขึ้นมาจากหุบเขานั้น ทุกคนต่างตกใจกันไม่น้อย

 

 

หานหมิงซีจ้องมองไปยังเบื้องล่างด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ไม่นาน ก็มีอีกคนหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากด้านล่างเช่นกัน เมื่อก้าวลงพื้นได้ ก็เกิดสะดุดจนร่างซวนเซไปมาเล็กน้อย ก่อนจะยืนได้มั่น สายตาที่มองไปทางหานหมิงซีที่ยืนอยู่ข้างๆ เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก เอ่ยเสียเย็นว่า “หานหมิงซี เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าสินะ!”

 

 

ในใจหานหมิงเย่ว์เย็นวาบขึ้นทันที ลอบเข้าไปขวางหน้าหานหมิงซีไว้ เขารู้จักชายตรงหน้าดีกว่าหานหมิงซีมากนัก เขาไม่รู้ว่าม่อซิวเหยาพบเห็นสิ่งใดที่ในหุบเขา แต่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวัน ลักษณะท่าทางของม่อซิวเหยาก็ดูจะเปลี่ยนไปประหนึ่งหน้ามือเป็นหลังมือ หากว่าในอดีต ม่อซิวเหยาเป็นดาบอันคมกริบชั้นเลิศที่เก็บอยู่ในฝัก เช่นนั้นม่อซิวเหยาในยามนี้ก็เป็นดาบเล่มหนึ่งที่หิวกระหายในโลหิต

 

 

หานหมิงเย่ว์ดูจะเคยได้เห็นม่อซิวเหยาในทุกช่วงเวลามาแล้ว ในวัยเด็ก โดดเด่นเปล่งประกาย ประหนึ่งแสงอาทิตย์อันร้อนแรง ยามวัยหนุ่มก็ประหนึ่งคมดาบที่เก็บอยู่ในฝัก ดูเหมือนสุภาพอ่อนโยน แต่จริงๆ กลับเลือดเย็น

 

 

แต่ม่อซิวเหยาในยามนี้ แม้นมิได้ทำอันใด แต่ก็สามารถทำให้หานหมิงเย่ว์รู้สึกเย็นวาบด้วยความกลัว ในดวงตาคู่ที่ดูสุภาพแต่เย็นเยียบนั้น มีรอยแดงก่ำและดูดุดันอย่างไม่ปิดบัง ประหนึ่งคิดอยากจะฉีกทุกอย่างตรงหน้าให้เป็นชิ้นๆ กระนั้น

 

 

ร่างกายอันซูบผอมของม่อซิวเหยายืดตรงขึ้นกว่าปกติ กลับยิ่งดูเต็มไปด้วยความอันตราย ดูแล้วทั้งเปราะบางและประหนึ่งสามารถทำลายใต้หล้านี้ได้เพียงแค่ยกมือขึ้น

 

 

หานหมิงซีหัวเราะอย่างเยาะหยัน “ข้ากลัวเจ้าหรือไร! เจ้าฆ่าสิ…เจ้า ท่านติ้งอ๋อง ความสามารถล้นเหลือไม่มีผู้ใดปาน เก่งกาจกว่าผู้ใดในใต้หล้า ยามที่จวินเหวยต้องรักษาซีเป่ยและต่อสู้กับเหลยเจิ้นถิง เจ้าไปอยู่ที่ใดเสีย ยามที่จวินเหวยถูกคนไล่ล่าจนจนมุม เจ้าไปอยู่ที่ใดเสีย ยามที่จวินเหวยตกหน้าผาไปทั้งๆ ที่กำลังตั้งครรภ์ เจ้าไปอยู่ที่ใดเสีย! ม่อซิวเหยา เจ้ายังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่ เจ้ามันเศษสวะ!”

 

 

“เอื้อก…” คำพูดของหานหมิงซี ประหนึ่งทำให้บางสิ่งที่ถูกกดเก็บเอาไว้แตกออก เลือดสดๆ กระอักออกมาจากปากของม่อซิวเหยา

 

 

เฟิ่งจือเหยารีบก้าวเข้าไปหา “ท่านอ๋อง!”

 

 

ใบหน้าของม่อซิวเหยาขาวซีดเป็นกระดาษ แต่เขามิได้ล้มลง เพียงมองเฟิ่งจือเหยานิ่ง “อาหลี…อาหลีกำลังตั้งครรภ์หรือ”

 

 

เฟิ่งจือเหยาขยับมุมปากน้อยๆ รู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างขึ้นมาจุกที่คอ ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างยากลำบาก

 

 

สีหน้าม่อซิวเหยาดูทั้งยินดีและเจ็บปวด แต่กลับพูดอันใดไม่ออก เลือดเข้มๆ ไหลออกมาจากมุมปากไม่หยุด

 

 

สายตาเฟิ่งจือเหยาเต็มไปด้วยความกังวล เอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านอ๋อง รักษาตัวด้วย พระชายา…ความแค้นของพระชายา…”

 

 

เฟิ่งจือเหยามิได้เอ่ยคำปลอบใจอันเลื่อนลอยอย่างเช่นว่า บางทีพระชายาอาจไม่เป็นอันใด เพราะแม้แต่เรื่องที่เขายังไม่เชื่อ จะโน้มน้าวใจม่อซิวเหยาได้อย่างไร แต่คนที่ทำร้ายพระชายาเหล่านั้น…เฟิ่งจือเหยาลอบสบถในใจ คนพวกนั้นต้องตาย มิเช่นนั้น…เกรงว่าท่านอ๋องก็คงมีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้ว!