บทที่ 280: กลับสำนักฝึกตนแห่งแรก

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 280: กลับสำนักฝึกตนแห่งแรก

อาร์ทิสไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก จู่ ๆ นางก็เต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจที่เจือไปด้วยความเสียใจในเวลาเดียวกัน

เด็กนี่โตแล้ว…

ไม่ บางทีมันอาจจะถูกกว่าหากพูดว่าในที่สุดเด็กหนุ่มก็คุ้นชินกับความรับผิดชอบที่อยู่บนบ่าของตัวเอง

มันมีหลายครั้งที่สัญชาตญาณแรกของฉินเย่บอกให้เขาหนีและซ่อนตัว เพราะอย่างไรแล้ว คำว่า ‘ปัญหา’ ‘ภาระ’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ นั้นไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกเลยแม้แต่น้อย เพราะท้ายที่สุดแล้ว บุคคลที่อาศัยอยู่ในสังคมมนุษย์มากกว่าร้อยปีในขณะที่ยังสามารถซ่อนตัวโดยที่ไม่ถูกจับได้จะต้องมีความระมัดระวังตัวสูงมากอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ตอนนี้ หลังจากได้เข้าสู่สำนักฝึกตนแห่งแรก ถูกบังคับให้มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากได้เห็นการถือกำเนิดและการเจริญเติบโตของยมโลกแห่งใหม่ ในที่สุดเขาก็เริ่มตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว มันอาจจะมีบางครั้งที่สัญชาตญาณของเขาจะทำงานเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายร้ายแรง แต่… อย่างน้อยเขาก็เลือกที่จะยืนหยัดเผชิญหน้ากับมัน แม้แต่ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับเทพแห่งสงครามที่แข็งแกร่งที่สุดของญี่ปุ่นอย่างฮนดะ เฮฮาจิ ทาดาคัตสึ รวมถึงแม่ทัพผู้อยู่ยงคงกระพันของจีนอย่างหลิวอวี้ หรือที่รู้จักกันในนามจักรพรรดิหวู่แห่งซ่งก็ตาม

อันที่จริง นางยังเริ่มตระหนักได้อีกว่าฉินเย่นั้นเหนือความคาดหมายของนางในหลาย ๆ ด้าน

สังคมมนุษย์นั้นซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ และหัวใจมนุษย์นั้นก็คาดเดายากและน่ากลัวกว่าของวิญญาณร้ายเสียอีก มันเป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่นางชื่นชมความไร้มนุษย์ธรรมที่ฉินเย่สามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน มองไม่เห็น และแม้แต่ยับยั้งความปรารถนาที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้ อีกฝ่ายจะรอคอยเวลาอย่างอดทน สั่งสมความรู้และฝึกฝนทักษะของตนเอง ใช้มันตามความจำเป็น หากพูดกันตามตรง แม้แต่อาร์ทิสเองก็ไม่มีทางยอมทน

ดังนั้น นี่จึงเป็นครั้งแรกที่นางยอมรับฉินเย่อย่างแท้จริงและจริงในฐานะของว่าที่จ้าวนรกของยมโลก

ไม่ได้มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้แล้วอย่างไร ? จ้าวนรกจำเป็นจะต้องมีความแข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ ? แผ่นดินจีนมีประชากรมากกว่า 1.5 พันล้านคน และวิญญาณมากกว่า 1 พันล้านตนที่กลับชาติมาเกิดในทุก ๆ ร้อยปี ด้วยสิ่งเหล่านี้ จ้าวนรกจำเป็นจะต้องลงไปในสนามรบด้วยอย่างนั้นหรือ ?

ความแข็งแกร่งในการต่อสู้นั้นเป็นการป้องปราม ดังเช่นที่พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่วิญญาณบาปทุกตนในอดีต แต่ถึงอย่างนั้น… ข้อเท็จจริงที่ว่ายมโลกแห่งใหม่สามารถเจริญเติบโตได้รวดเร็วเช่นนี้ในระยะเวลาเพียงหนึ่งปีก็ถือเป็นการป้องปรามที่มีประสิทธิภาพกว่ามาก !

เพราะอย่างไรแล้ว ตอนนี้พวกนางก็ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยที่โลกใต้พิภพถูกวัดจากความแข็งแกร่งของชาติอีกต่อไป

“ข้ามีอีกหนึ่งคำถาม” นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เจ้าคิดได้อย่างไรที่เอ่ยรายงานการบริหารงานของรัฐบาลให้เขาฟัง ? จักรพรรดิหวู่แห่งซ่งนั้นเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่มานานหลายพันปี เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของโลกสมัยใหม่ ?”

โดยไม่รับรู้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าอาร์ทิสได้ยกระดับสถานะของตนภายในใจของนาง ฉินเย่ยกขาขึ้นไขว่ห้างขณะที่ยังนอนอยู่บนเตียง “นั่นง่ายมาก… ทั้งหมดนั้นมาจากลักษณะนิสัยของเขา”

ดวงตาของอาร์ทิสวาวขึ้นเล็กน้อย อ่า ใช่แล้ว เด็กหนุ่มตรงหน้านั้นเชี่ยวชาญในการเข้าถึงจิตใจที่แท้จริงของผู้อื่น เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากเมื่อเป็นเรื่องของการเมือง !

ฉินเย่อธิบายอย่างละเอียด “หากพูดดี ๆ ก็คือเขาเป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก แต่หากพูดตามความจริงก็คือเขาเป็นพวกดื้อรั้นและเห็นแก่ตัว จนบางครั้งก็อาจจะเผด็จการ แต่นั่นเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้… เขาเป็นนักรบผู้องอาจ ผู้ที่ไม่สามารถมีผู้ใดเทียบได้ในประวัติศาสตร์จีน นอกจากนี้ เขายังเป็นจักรพรรดิอีกด้วย เมื่อข้าเห็นว่าเขาไม่ได้เตรียมที่นั่งให้ท่านภายในโถงนั่น ข้าก็รู้ทันที… ว่าเขาคือชายที่ชื่นชอบในการปฏิบัติของสมัยโบราณ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องในยุคปัจจุบันอย่างแน่นอน”

“แน่นอน เขาอาจจะพอคาดเดาได้ในบางประเด็น แต่เขาไม่มีทางเข้าใจถึงความเป็นอยู่ในโลกสมัยใหม่ได้อย่างถ่องแท้อย่างแน่นอน นอกจากนี้มันก็ไม่มีไฟฟ้าหรืออินเทอร์เน็ตอยู่ในยมโลกในตอนที่เขายังอยู่ หลังจากที่อยู่กับความโบราณมานานกว่าพันปี เขาจะต้องต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยใหม่ตามสัญชาตญาณอยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุด เขาก็จะไม่ใช่คนแรกที่จะยอมละทิ้งซึ่งขนบธรรมเนียมปฏิบัติเก่าแก่และก้าวสู่ยุคสมัยใหม่เป็นคนแรก เขาจะต้องต่อต้านมันไปจนกว่าทุกคนโดยรอบจะเริ่มมีความคิดและความสะดวกสบายสมัยใหม่ โดยทั่วไปแล้ว เขาจะไม่มีทางยอมทำความเข้าใจถึงวิธีการทำงานของรัฐบาลสมัยใหม่ด้วย สำหรับความคิดของเขา วิธีการที่เขาใช้ ถือว่าดีที่สุดเสมอ”

“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นได้อย่างไร ?”

สีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนเป็นแย่ลง “ครั้งหนึ่ง… ข้าเคยถูกรับเลี้ยงโดยคู่สามีภรรยาที่อยู่ในวัย 70 กว่า พวกเขาเป็นแบบนั้นไม่มีผิด อันที่จริง พ่อแม่ส่วนใหญ่ที่เกิดในยุค 90 และ 80 ต่างก็เริ่มมีพฤติกรรมแบบนั้นทั้งสิ้น นับประสาอะไรกับคนที่แก่กว่าพวกเขา นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย”

หืม ? เจ้ามีประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์ที่จะเล่าให้ข้าฟังอีกอย่างนั้นหรือ ?

อาร์ทิสนั่งหลังตรงโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา นางสะบัดผมสีเขียวเข้มของตนราวกับอยู่ในโฆษณาครีมสระผมชนิดหนึ่ง จากนั้นจึงมองฉินเย่ด้วยประกายวาววับในแววตา เร็วเข้า รีบเล่าถึงประสบการณ์ที่น่าขมขื่นในอดีตของเจ้าออกมา ช่วยทำให้ข้าได้มีความสุขกับความน่าสังเวชของเจ้าที

ฉินเย่กลอกตาให้อีกฝ่าย ขดตัวอยู่ในผ้าห่มและเริ่มเล่นโทรศัพท์ของตนเอง

หืม ? สมแล้วที่เป็นตงไห่ หน่วยสอบสวนพิเศษของที่นี่เต็มไปด้วยหมู่มวลไม้งามมากมาย… มือของเราเริ่มแตะลงไปบนปุ่มลงคะแนน

หมายเลขหนึ่งค่อนข้างสวยเลย เครื่องหน้าคมและดวงตากลมโต ผู้ฝึกตนหญิงแบบนี้เหมาะสมกับเขา… หมายเลขสองเองก็สวยมาก ใบหน้ากลมและรูปร่างสมส่วน หืม สูง 177 เซนติเมตร… ขอผ่านก็แล้วกัน… โห หมายเลขสามก็ดูบริสุทธิ์และไร้เดียงสามาก เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะอุ้มท้องลูกของเขา…

มันจะมีอะไรให้ทำอีกนอกจากคัดกรองตัวเลือกสำหรับฮาเร็มของเราในอนาคต ? นอกจากนี้เขายังได้วางแผนสำหรับโรงเรียนเตรียมอนุบาลไว้ให้ลูก ๆ ของเขาแล้วด้วย…

กลุ่มก้อนขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มหัวเราะออกมาอย่างลามก และขณะที่นิ้วของเขากำลังจะแตะลงไปบนหน้าจอ มือ ๆ หนึ่งก็ยื่นเข้าและปัดผ่านรูปภาพผู้หญิงและกดลงบนรูปภาพผู้ชายคนหนึ่งแทน

“เชี่ย !!!” ฉินเย่ตกตะลึงจนเสียสติและสะบัดผ้าห่มออกจากร่างทันที อาร์ทิสแอบมุดเข้ามาอยู่ข้าง ๆ เขาและขดตัวอยู่ในลักษณะที่ชวนเข้าใจผิดขณะที่นางกดแอปโม่โม่ของเขาด้วยความสนใจ

“เอาผ้าห่มมา มันหนาวนะ… ว้าว~ ชายผู้นี้หน้าตาดีชะมัด~~” อาร์ทิส ‘กดถูกใจ’ รูปของชายผู้นั้นอย่างไม่ลังเล ไม่สนใจถึงสีหน้าซีดเผือดของฉินเย่เลยแม้แต่น้อย มันเป็นตอนที่นางตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเงียบไปเท่านั้นที่นางหันกลับไปมองเขาด้วยความไม่พอใจ

ทั้งสองสบตากัน และความเงียบที่กดดันก็ปกคลุมไปทั่ว

“นี่ท่านไม่รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติบ้างหรืออย่างไร ?” เส้นเลือดบริเวณขมับของเขาเต้นตุบ ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้

อาร์ทิสมองเด็กหนุ่มอย่างสงสัย จากนั้นจึงหันไปมองที่ผ้าห่ม ก่อนที่คลื่นความตกใจจะถาโถมเข้าใส่

ในเสี้ยววินาทีต่อมา ฉินเย่ก็พบว่าตัวเองถูกผลักออกจากเตียงในขณะที่อาร์ทิสห่มผ้าอีกครั้งและวุ่นกับโทรศัพท์ของเขาต่อไป

อยากจะบ้าตาย… ท่านมีปัญหาในเรื่องของการอ่านสถานการณ์หรืออย่างไร ?!

ท่านสามารถตีข้าได้หากต้องการ แต่ท่านกับล้ำเส้นโดยการยึดโทรศัพท์ของข้าไป… ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ และกระโจนกลับขึ้นไปบนเตียง คว้าผ้าห่มราวกับหมาป่าที่ดุร้าย “ท่านเป็นตุลาการนรกที่นิสัยแย่จริง ๆ! แถมยังเป็นผู้หญิงด้วย ! ท่านไม่คิดว่ามันไม่เหมาะหรืออย่างไรที่จะมาซุกตัวเข้าอ้อมแขนของผู้ชายคนอื่น ?!! หรือท่านคิดว่าข้าจะตกหลุมรักท่านตอนที่ได้เห็นลิ้นของท่านห้อยลงมาถึงพื้น ?! คุณผู้หญิง ตื่นก่อนไหม ?!”

“ไปไกล ๆ! เจ้าได้ส่องกระจกดูบ้างหรือไม่ ? กล้าดีอย่างไรถึงคิดว่าอรากษสจะสนใจมนุษย์เช่นเจ้า ?!” อาร์ทิสหยุดการเข้ามาใกล้ของฉินเย่ด้วยการยันเท้าไว้ที่อกของอีกฝ่ายและเริ่มสำรวจประวัติของผู้ชายในแอปโม่โม่ต่อไป

ฉินเย่เพียงดันขาของอีกฝ่ายไปที่ไหล่ของตนและกัดฟันขณะที่เอื้อมไปที่โทรศัพท์ของตนเองที่อยู่บริเวณอกของอาร์ทิส “ แน่นอนข้าส่องกระจกอยู่ตลอด ! และข้าก็ดูดีกว่าชายทุกคนที่อยู่ในโทรศัพท์นั่น ! ไม่มีใครในสำนักฝึกตนแห่งแรกที่หน้าตาดีไปมากกว่าข้า !”

อาร์ทิสยังคงดูโทรศัพท์ต่อไปด้วยความสนใจเป็นอย่างมากขณะที่นางเอ่ยออกมานิ่ง ๆ “หลินฮั่น”

“… นี่ท่านพยายามจะมีปัญหากับข้าให้ได้เลยใช่หรือไม่ ?”

“หวังเฉิงห่าว เย่ซิงเฉิน”

“มันจะมากเกินไปแล้ว ! ท่านเอาแต่มองพวกนักเรียนอย่างใกล้ชิดแบบนั้นตลอดทั้งวันได้อย่างไร ?!! และท่านก็ยอมแม้กระทั่งเป็นเหยื่อของความอ่อนเยาว์แบบนั้น ?! 18 นะ ! แม้แต่ข้าก็ไม่กล้าทำอะไรแบบนั้น… เดี๋ยวก่อน… ข้าจะไม่มีทางทำอะไรเช่นนั้นกับพวกเขา !!”

อาร์ทิสปิดหน้าของตนอย่างเขินอาย “สักนิดเดียว ?”

“ข้าจะ–…”

ทว่าทันใดนั้นเองประตูก็เปิดออก “เหล่าฉิน พรุ่งนี้เที่ยวบินของเราออกตอน 11 โมงเช้า…”

คำพูดขาดหายไปกลางอากาศในขณะที่หลินฮั่นยืนงงอยู่หน้าประตู

เขาถูกต้องรับด้วยภาพที่ค่อนข้างร้อนแรง

ฉินเย่กำลังจับขาข้างหนึ่งของอาร์ทิส ในขณะที่มือของเขาดูเหมือนกำลังจะเอื้อมไปที่อกของหญิงสาว ในอีกด้านหนึ่ง ผมเผ้าของอาร์ทิสนั้นยุ่งเหยิงไปเป็นทรง และดูเหมือนจะดิ้นรนมาสักระยะหนึ่งแล้ว อย่างน้อย… นั่นก็คือสิ่งที่หลินฮั่นเห็น

เขาเข้าใจทุกอย่างทันที

ท่ารถเข็น…

สามวินาทีต่อมา เขาค่อย ๆ ปิดประตูลงอีกครั้ง “ขอโทษที่ขัดจังหวะ” จากนั้นเขาก็บิดลูกบิดประตูอีกครั้งเพื่อตรวจดูว่าประตูถูกล็อกแล้วหรือไม่

เกินความเงียบขึ้นในห้อง จากนั้น ราวกับถูกจู่โจมด้วยความตกใจ ทั้งคู่มองหน้ากันราวกับตนเพิ่งเห็นผีขณะที่ผลักอีกฝ่ายออกไปไกล ๆ

จากนั้นพวกเขาก็เช็ดมือของตัวเองอย่างรังเเกียจ พึมพำ ‘แอวะ’ เบา ๆ

ขยะแขยง !

พวกเขาไม่ใช่รสนิยมของกันและกันเลยสักนิด

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อข่มจังหวะการเต้นของหัวใจ จากนั้นจึงจัดแจงเสื้อผ้าและผมเผ้าของตนเองก่อนจะเดินไปเปิดประตูอีกครั้ง และเขาก็พบว่าหลินฮั่นกำลังแนบหูอยู่ที่ประตู ริมฝีปากของฉินเย่สั่นระริกด้วยความโมโห

นี่นาย… ช่วยปล่อยให้ฉันได้อยู่อย่างสงบ ๆ สักวันไม่ได้หรือไง ?!

เด็กหนุ่มกระดิกนิ้วเรียกหลินฮั่นอย่างเดือดดาลและเดินนำอีกฝ่ายไปที่ร้านคาเฟ่ซึ่งอยู่ชั้นล่างของโรงแรม หลังจากสั่งกาแฟและหาที่นั่งได้แล้ว หลินฮั่นก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ไม่ต้องห่วง ผมเข้าใจ ผมจะไม่บอกใครหรอก แต่คุณจะต้องระวังนะ อย่างไรพวกเราก็ยังอยู่ที่ตงไห่ มันคงดูไม่ดีนักหากมีใครรู้เรื่องนี้เข้า…”

มือของฉินเย่กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่เขาพยายามข่มความปรารถนาที่จะสาดกาแฟใส่หน้าของอีกฝ่าย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็แย้มยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยว่า “หุบปาก”

หลินฮั่นรีบพยักหน้าทันที จากนั้นเขาก็กระแอมออกมาเบา ๆ “โอเค อย่างที่ผมบอกเมื่อครู่ เที่ยวบินของเราออกตอน 11 โมงเช้า เราจะต้องเช็คเอาท์ก่อนเก้าโมง อย่าสายล่ะ”

อารมณ์ของฉินเย่ในเวลานี้ผสมปนเปกันไปหมด เขาคลึงหัวคิ้วของตัวเองเบา ๆ และพยายามตั้งสติ จู่ ๆ เขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าภาคการศึกษาจบลงแล้ว และพวกเขาก็กำลังจะเข้าสู่ช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อนในอีกไม่ช้านี้

“เข้าใจแล้ว” พวกเขายังพูดคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วเกี่ยวกับเนื้อหาการแลกเปลี่ยนทางวิชาการที่เพิ่งสรุปได้ แม้ว่าการแลกเปลี่ยนทางวิชาการจะทำให้พวกเขารวบรวมคะแนนได้มากเกินไป แต่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็ยังจำเป็นสำหรับเส้นทางข้างหน้า

ฉินเย่กลับไปที่ห้องของตนหลังจากผ่านไปซักพักใหญ่ อาร์ทิสกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ เล่นโทรศัพท์ของเขา เด็กหนุ่มเดินไปเตะเก้าอี้เบา ๆ และถามพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันยุ่ง “จะว่าไป โนบูนางะอยู่ที่ไหน ?”

“ชอปปิ้ง อ้อ เขาขอยืมเงินไป 5 แสนหยวนนะอย่าลืมจดไว้ เขาพาโนฮิเมะไปข้างนอก บอกว่าอยากจะสัมผัสกับความรุ่งโรจน์ของชีวิตหลังจากผ่านไป 400 ปี และคืนนี้ก็คงจะไม่กลับ” อาร์ทิสตอบอย่างไม่ได้สนใจนัก

ฉินเย่ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้และเคาะโต๊ะขณะที่พึมพำเบา ๆ ว่า “เขา… เขาจะ…”

“ไม่มีทาง” อาร์ทิสวางโทรศัพท์ลงและอธิบายเพิ่ม “เขาจะไม่หนีไปไหน เพราะมันไม่มีที่ให้เขาไปอีกแล้ว ตอนนี้เรามีสิ่งที่ต้องทำอยู่สามอย่าง อย่างแรกก็คือทำให้โนบูนางะพอใจ เขาคงไม่พอใจแน่เมื่อได้เห็นสภาพที่แท้จริงของยมโลกเมื่อเรากลับไปถึงที่เมืองเป่าอัน แต่เจ้าสามารถปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าได้ อย่างที่สองก็คือเรื่องงานก่อสร้างที่ยมโลก”

“ในเมื่อเจ้าได้เอ่ยออกไปแล้ว สิ้นปีนี้จะต้องมาข้าราชการศักดินาเดินทางมีที่ยมโลกอย่างแน่นอน ระยะเวลาครึ่งปีน่าจะเพียงพอที่จะสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาได้บ้าง ข้าไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ดังนั้นเจ้าจะต้องจัดการกับมันด้วยตัวเอง”

ฉินเย่พยักหน้า

ปลายปีนี้… สามารถถือได้ว่าเป็นการประชุมใหญ่ของราชสำนัก อย่างน้อยที่สุด เราก็ต้องแสดงให้ข้าราชการศักดินาพวกนั้นได้เห็นว่ายมโลกนั้นกำลังเจริญเติบโต และมันก็มีโครงการมากมายที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ

จากนั้นอาร์ทิสจึงชูนิ้วที่สามขึ้นมา “และอย่างสุดท้ายก็คือระดับขั้นพลังของเจ้า”

สัญชาตญาณแรกของฉินเย่ก็คือปฏิเสธออกไป แต่สุดท้ายเขาก็กลืนคำพูดทั้งหมดกลับไปและตั้งใจฟังที่อาร์ทิสพูดอย่างตั้งใจ

“ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไป แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าเพิ่งอยู่แค่ขั้นยมทูตขาวดำนั้นยังคงอยู่ เจ้าจะต้องมีอำนาจที่เหมาะสมกับตำแหน่งของตัวเอง ข้าไม่สามารถอยู่ข้างกายเจ้าได้ตลอดเวลา การต่อสู้ที่ช่องแคบสึชิมะเป็นเพียงของเรียกน้ำย่อยสำหรับสิ่งที่จะมาถึงเท่านั้น พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่าโลกใต้พิภพแห่งอื่นจะส่งพวกขนนกทมิฬมาที่ยมโลกเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของเราหรือไม่ นอกจากนี้ เจ้าก็ไม่สามารถพบกับพวกข้าราชการศักดินาพวกนั้นได้ด้วยขั้นพลังของเจ้าในตอนนี้”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “แล้วเราจะทำอย่างไร ?”

“เมื่อเรากลับไปที่เมืองเป่าอัน เราจะเดินทางไปที่ยมโลกแห่งเก่า” อาร์ทิสพึมพำ “และ… มันก็จะเป็นเวลาที่เจ้าจะต้องเรียนรู้อะไรบางอย่าง…”

“ยกตัวอย่างเช่น… กองกำลังรักษาการณ์และรัฐบริวารของจีน และข้าราชการศักดินาที่ถูกมอบหมายให้ประจำการในที่เหล่านั้นคือใคร”