“โลกของข้าก็มืดมนตั้งแต่นั้นมา เขาเป็นคนโหดร้าย โหดร้ายถึงขั้นเลวร้าย”

“เรื่องทั้งหมดก็ผ่านไปแล้ว อย่าคิดถึงมันอีกเลย” กู้ชูหน่วนอยากจะกอดเขาให้แน่น แต่นางก็กลัว

กลัวว่าเมื่อนางสัมผัสเขา เขาก็จะแตกสลาย

“ในสิบสามปีมานี้ ข้าคิดที่จะฆ่าตัวตายทุกวัน ทุกคืนทุกวันที่ผ่านไปราวกับตายทั้งเป็น”

เยี่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นไปมองกู้ชูหน่วน ดวงตาที่เย็นชานั้นเต็มไปด้วยน้ำตา “เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นเป็นช่วงเวลาแบบไหน? การอยู่ในถ้ำน้ำแข็งที่มืดมิด แม้แต่ความตายก็ยังเป็นเรื่องที่ยากที่ร้องขา แม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บปวด ทรมานอย่างมาก……”

กู้ชูหน่วนไม่ค่อยเข้าใจว่าเยี่ยเฟิงพูดเรื่องเหล่านี้ทำไม?

หรือว่าเขาจะคิดไม่ตกและต้องการฆ่าตัวตาย?

“ข้ารู้ว่าข้าตายไม่ได้ หากข้าตายไป สิบคนที่ผูกพันกับข้าก็จะต้องตายไปด้วยพร้อมกัน ทาสในโรงค้าทาสทุกคนจะต้องตายทุกคน พ่อแม่แท้ๆ ของข้าจะต้องเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น”

ข้าคิดหาวิธีที่จะหลบหนีไปจากผู้นำกองธงกล้วยไม้ ขณะนั้นเผ่าปีศาจกำลังเฟ้นหาผู้มีความสามารถ ขอเพียงสามารถดีดฉิน เล่นหมากรุก แต่งบทกวี วาดภาพและร้องเล่นการแสดงต่างๆ ได้ที่หนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไรก็สามารถเป็นผู้ถูกคัดเลือก คนที่ถูกคัดเลือกจะสามารถไปที่สำนักใหญ่เผ่าปีศาจเพื่อเป็นผู้ดูแลฝึกหัด

“จากนั้นข้าจึงตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนักในการแต่งบทกลอนกวี ฝึกซ้อมการดีดฉิน วันนั้น ข้าได้อันดับหนึ่ง ข้าเฝ้ารออย่างอดทน แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีข่าวดี แต่กลับได้รับข่าวว่าผู้นำกองธงกล้วยไม้จะมาหาข้า”

“คืนนั้นข้าถูกทรมานจนแทบไม่มีชีวิตอยู่และนอนอยู่บนเตียงตลอดหนึ่งเดือนเต็ม หลังจากเกิดเรื่องขึ้นก็ได้รู้ว่า เจียงซวี่เป็นคนชักชวนผู้นำกองธงกล้วยไม้มา ผู้นำกองธงกล้วยไม้เห็นว่าข้ามีความสามารถในการดีดฉินและมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ฉะนั้นเขาจึงไม่ยอมให้ข้าจากไป”

เยี่ยเฟิงฝืนยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวต่อไป “ปีหนึ่งในงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ผู้นำกองธงกล้วยไม้อารมณ์ดีมากและทำการลดโทษนิรโทษกรรม ตราบใดที่ทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขาสูงเพียงพอและสามารถต่อสู้กับผู้มีฝีมือสูงทั้งแปดได้ เขาก็จะสามารถหลุดพ้นจากสถานะทาสและผู้คอยปรนนิบัติและกลายเป็นคนถือธงได้”

“ข้าเริ่มรู้สึกหวั่นไหวขึ้นอีกครั้ง แต่ข้าเป็นเพียงผู้คอยปรนนิบัติเท่านั้น จะมีวิชาศิลปะการต่อสู้ได้อย่างไรและใครจะมาสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับข้าได้ จากนั้นข้าจึงแอบดูคนอื่นฝึกซ้อมและใช้เวลาในตอนกลางคืนที่เงียบสงบไร้ผู้คนมาทำการฝึกซ้อม”

“ตอนที่ข้ายังไม่รู้อะไรเลย ก็ถูกเจียงซวี่นำเรื่องทั้งหมดไปบอกกับผู้นำกองธงกล้วยไม้ ทุกคนต่างก็คิดว่าข้าจะต้องถูกทำโทษอย่างสาหัสแน่ๆ แต่ผู้นำกองธงกล้วยไม้ไม่เพียงแค่ไม่ทำร้ายข้า แต่เขากลับเป็นผู้สั่งสอยศิลปะการต่อสู้ให้ข้าด้วยตัวของเขาเอง”

“ในตอนนั้นหุบเขาพิศวิญญาณต่างกำลังเดือดพล่าน ทุกคนต่างพากันอิจฉาข้า แต่มีข้าเพียงคนเดียวที่รู้ว่าการสอนศิลปะการต่อสู้ให้ข้านั้น เป็นเพียงการทำให้กระดูกในร่างกายของข้าแตกละเอีดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่……เขาบอกว่า เพียงแค่ทำให้กระดูกในร่างกายแตกละเอียดทั้งหมดและกระดูกที่เกิดออกมาใหม่จะเหมาะสมกับการฝึกซ้อมมากกว่า น่าขำที่ข้ากลับเชื่อสนิทใจ”

“เช่นนั้นแล้วใครเป็นคนสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับเจ้าหรือ?”

ถึงแม้ว่าศิลปะการต่อสู้ของเยี่ยเฟิงจะไม่สูงนัก แต่ก็ถือว่าไม่แย่ โดยเฉพาะการโจมตีด้วยเสียงของเขานั้นนับว่าเป็นฝีมือขั้นสูงอย่างยิ่ง

“ไม่มีใครสอน ข้าก็แค่ดีดฉินมากจึงเข้าใจมันได้ด้วยตัวเอง”

เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีผู้สอน?

เช่นนั้นก็นับว่าเก่งกาจอย่างมาก

หากมีคนสอนเขา จากพรสวรรค์ทางด้านศิลปะการต่อสู้ของเขาแล้ว นับว่าเขาสามารถเป็นผู้มีฝีมือสูงได้คนหนึ่ง

กู้ชูหน่วนมองไปที่มือซ้ายของเขา กระดูกนิ้วมือทั้งห้าของเขาและรวมไปถึงข้อมือนั้น อย่างน้อยคงถูกทำให้หักไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ฉะนั้นมือซ้ายของเขานั้นแทบไม่มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด

“มือขวาของเจ้าก็ถูกทำให้แตกหักลงตอนนั้นหรือ?”

“ไม่ใช่ เพราะเขาชอบฟังเสียงกระดูกหัก ข้าขอร้องเขาว่าอย่าทำอะไรมือขวาของข้า หากพิการลง เช่นนั้นก็ไม่สามารถคอยปรนนิบัติเขาได้อีกต่อไปและไม่รู้ว่าเขาเกิดความกรุณาได้อย่างไร จึงไม่ได้หักมือขวาของข้า”

ถึงตอนนี้เขาไม่รู้ว่ามือซ้ายของเขาหักไปกี่ครั้งแล้ว