บทที่ 70 สู้กับราชาวานรทมิฬ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 70 สู้กับราชาวานรทมิฬ
บทที่ 70 สู้กับราชาวานรทมิฬ

ลมภูเขาโบกพัดเป็นเสียงหวีดหวิว ปราณอสูรหนาแน่นปะทุพุ่งสูงเสียดฟ้า!

‘เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?’

‘เวลาผ่านไปนานเหลือเกิน เหตุใดราชาวานรทมิฬถึงมาตอนนี้?’

‘พระเจ้า! มีราชาเหยี่ยวสายฟ้าด้วย…’

ที่ด้านข้างของเทือกเขาวงจันทรา มู่ขุยจ้องมองกองทัพสัตว์อสูร จากนั้นเขาก็เบนสายตามองไปที่ราชาวานรทมิฬกับราชาเหยี่ยวสายฟ้าที่ยืนอยู่บนอากาศ มันทำให้เขาหนาวไปถึงขั้วกระดูกและความหวาดกลัวที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ทำให้ทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม

“ผู้อาวุโส… ผู้อาวุโสเฉินซี หายนะ… ภัยพิบัติใกล้เข้ามาแล้ว!” มู่ขุยที่หวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างกรีดร้องออกมา ขณะที่เขาพุ่งไปยังที่พำนักของเฉินซีอย่างเร่งร้อน ตอนนี้เขาทำได้เพียงมอบความหวังทั้งหมดให้กับเฉินซีแม้ว่าความหวังที่จะรอดนั้นน้อยนิดเหลือเกิน

ประตูที่พำนักถูกปิดอย่างแน่นหนา แต่มู่ขุยไม่สนใจมารยาทใด ๆ อีกต่อไปแล้ว เขาจึงผลักเปิดประตูและตะโกนอย่างกังวล “ผู้อาวุโสเฉินซี…” เสียงของเขาหยุดลงกลางคัน

ตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่าที่พำนักนั้นว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของเฉินซีเลย…

ผู้อาวุโสเฉินซี… หรือว่าเขาจะหนีไปนานแล้ว?

มู่ขุยกลัวจนแทบสิ้นสติ ขาอ่อนพับลงบนพื้นด้วยเสียงดัง ใบหน้าของเขาซีดขาวขณะที่เขาพึมพำ “ถูกต้อง ผู้อาวุโสเฉินซีเป็นเพียงคนเดียว แต่เขาถูกห้อมล้อมด้วยราชาอสูรสองตนและกองทัพสัตว์อสูรอีกมากมาย นอกจากการหลบหนีจะยังมีทางรอดอื่นใดอีก?”

“เจ้าไม่ได้คิดที่จะหนีหรือ?”

“หนี? ใช่ ทำไมข้านึกไม่ถึง…?” มู่ขุยพูดครึ่งทางก่อนจะสะดุ้งตื่นจากความฝัน เขาจ้องมองไปยังร่างที่อยู่ข้างหน้าเขา ราวกับอีกฝ่ายปรากฏขึ้นจากอากาศและถามกลับด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาว่า “ผู้อาวุโส ท่านยังไม่จากไปหรือ?”

“ปล่อยให้ข้าจัดการเถิด แต่ถ้าเจ้าเห็นว่าท่าไม่ดี ก็ให้ออกไปโดยเร็วที่สุด” เฉินซีพยักหน้า ก่อนหน้านี้เขากำลังฝึกฝนวิชารัศมีไร้ร่องรอย ซึ่งทำให้กลิ่นอายของเขาหายไปอย่างสมบูรณ์และร่างของเขาก็โปร่งใส ดังนั้นมู่ขุยจึงไม่อาจสังเกตเห็นเขาได้

มู่ขุยสูดหายใจเข้าลึกแล้วกัดฟันพูด “ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ข้าเคยบอกไปแล้วว่าข้าจะติดตามท่านไปตลอดชีวิต!” แม้ว่าสีหน้าตอนนี้ของผู้พูดจะย่ำแย่เพราะความหวาดกลัว แต่มันกลับเผยให้เห็นถึงความแน่วแน่และตั้งใจ

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวเพราะเขาไม่เคยคิดว่ามู่ขุยจะพูดแบบนี้ แล้วชายหนุ่มก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังทันที “ถ้าหลังจากนี้ข้าสั่งให้เจ้าหนีไป เจ้าก็จงรีบหนีไปซะ! ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ สิ่งนั้นสำคัญกว่าเรื่องอื่น!”

ขณะที่พูด เฉินซีก็ดึงกระเป๋าเก็บของและส่งไปให้มู่ขุย “มีทักษะการฝึกฝนปราณภายในของข้าอยู่ในนี้ รับไปสิ”

“ผู้อาวุโส…” มู่ขุยมองไปที่กระเป๋าเก็บของในมืออีกฝ่าย และเขาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง ความรู้สึกซาบซึ้งที่อธิบายไม่ได้เอ่อล้นออกมาจากหัวใจของเขา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เฉินซีก็ได้หายตัวไปจากตรงนั้นแล้ว

“ไม่ต้องกังวลผู้อาวุโส ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป และก็จะแข็งแกร่งขึ้นด้วย!” ภายในที่พัก มู่ขุยพึมพำกับตัวเองและสีหน้าแน่วแน่ก็ปรากฏออกมาบนใบหน้าของเขา

“เขาออกมาแล้ว!”

“ผู้บ่มเพาะมนุษย์ออกมาแล้ว!”

เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้นในฝูงสัตว์อสูรที่อยู่ห่างไกล สายตาของพวกเขาจ้องมองไปที่จุดเดียวกันพร้อม ๆ กัน และที่นั่น ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินออกมาด้วยย่างก้าวสม่ำเสมอ

ชายหนุ่มมีรูปร่างสูงผอม รูปลักษณ์ของเขาหล่อเหลา ทุกการเคลื่อนไหวดูผ่อนคลายและอยู่เหนือโลกมนุษย์ จึงทำให้เขาดูไม่ธรรมดา

“เจ้าคือเฉินซี?” บนอากาศ ราชาวานรทมิฬตะโกนถามด้วยเสียงดังกังวานราวกับฟ้าร้องทำให้สัตว์อสูรที่อยู่ใกล้เคียงตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน

“เจ้าคิดอย่างไร?” เฉินซีถามกลับอย่างเย็นชา ทว่าในใจของเขาเองก็รู้สึกตึงเครียดเช่นกัน ‘เหตุใดราชาเหยี่ยวสายฟ้าถึงมาด้วย?’

ราชาวานรทมิฬสวมชุดสีเขียวและผมสีขาว ส่วนราชาเหยี่ยวสายฟ้าสวมเสื้อคลุมสีม่วงและมีดวงตาที่เย็นชา ยามนี้ทั้งคู่กำลังยืนอยู่กลางอากาศ เขาจึงสังเกตเห็นทั้งสองคนทันทีที่ตนเองเดินออกจากที่พำนักและสามารถคาดเดาตัวตนของทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว

ราชาสัตว์อสูรสองตนมีการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตตำหนักอินทนิล… ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะรับมือได้ยาก เฉินซีลอบระวังตัวมากขึ้น ขณะที่ญาณตระหนักรู้อันน่าเกรงขามของเขาก็แผ่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ เวลานี้เขาไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย

“ฮึ่ม! เจ้าอยู่ในอาณาเขตของข้าแล้วยังกล้าเล่นลิ้นกับข้าอีกหรือ? เจ้าประเมินความแข็งแกร่งของตัวเองสูงเกินไปแล้ว จงดูซะว่านี่คืออะไร!” หยวนถงเยาะเย้ยก่อนยกมือขวาขึ้นและมีศีรษะปรากฏอยู่ในมือของเขา

ศีรษะนั้นกำลังแสดงสีหน้าบิดเบี้ยว ดูเหมือนว่าก่อนตายจะเขาเต็มไปด้วยอารมณ์เคียดแค้น และเมื่ออยู่ในมือของหยวนถงก็ยังคงมีเลือดหยดออกมา ซึ่งยิ่งเพิ่มความน่ากลัวเข้าไปอีก

“สยงผี!” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ความประทับใจของเขาที่มีต่อสยงผีนั้นไม่ถือว่าดี แต่เขาชื่นชมความกล้าหาญและความตั้งใจที่จะแก้แค้นให้น้องชายของอีกฝ่ายอย่างมาก

ดังนั้น เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่โกรธแค้นและไม่เต็มใจบนใบหน้าของสยงผี เฉินซีจึงรู้สึกผิดและโกรธแค้นในใจเพราะตอนที่รับกระบี่ไผ่ทองคำนิลมานั้น เขาสัญญากับสยงผีว่าจะฆ่าราชาวานรทมิฬในวันหนึ่งและแก้แค้นให้น้องชายของสยงผี แต่ใครจะคาดคิดว่าสยงผีจะตายอย่างอนาถด้วยน้ำมือของราชาวานรทมิฬ?

บ้าที่สุด!

กระแสแห่งเจตนาฆ่าที่ร้อนแรงราวกับลาวาพุ่งปะทุขึ้นในหัวใจของเฉินซี และสีหน้าของเขาก็เย็นชาอย่างยิ่ง

ปัง!

ราชาวานรทมิฬระเบิดศีรษะของสยงผีแหลกคามือ เลือดสาดกระจายไปทั่วท้องฟ้า “ฮ่า ๆๆๆ! เจ้าโกรธอย่างนั้นหรือ? ช่วยไม่ได้หรอก ใครใช้ให้ไอ้โง่นี่โอหังถึงขนาดกล้าแอบวางแผนจะฆ่าข้า! ในเมื่อมันต่ำช้านัก ก็ควรลงไปอยู่ในนรกแบบเดียวกับน้องชายของมัน!”

“ราชาพูดถูก คนทรยศแบบนี้สมควรตาย!”

“สยงผีสมควรตาย มิเช่นนั้นราชาจะรักษาศักดิ์ศรีของเขาได้อย่างไร”

“ถ้าเป็นข้า ข้าจะหั่นเขาเป็นชิ้น ๆ ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เชือดทีละชิ้น ข้าจะไม่ปล่อยเขาตายง่าย ๆ เช่นที่ราชาผู้เมตตาทำอย่างแน่นอน!”

สัตว์อสูรเหล่านั้นคำราม น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความกระหายเลือดและความโหดเหี้ยม

ในระยะไกล สัตว์อสูรอีกกลุ่มที่อาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาวงจันทรา พวกเขาส่วนใหญ่ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับสยงผี ในเวลานี้พวกเขากลับไม่ได้แสดงสีหน้าสงสารแม้แต่น้อย ทว่ากลับดูชื่นชมยินดี ราวกับดีใจที่พวกตนได้ตัดสัมพันธ์กับสยงผีไปนานแล้ว

อนิจจา สัตว์อสูรโดยเนื้อแท้เป็นแบบนี้ พวกเขาเคยชินกับกฎแห่งป่า ดังนั้นต่อให้ตอนนี้พวกเขาจะมีสติปัญญาแล้ว ความโหดเหี้ยมและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็ยังคงฝังลึกอยู่ในกระดูกของพวกเขาจนไม่สามารถลบล้างได้

“ข้าสัญญากับสยงผี ว่าข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อช่วยเขาแก้แค้นแทนน้องชาย” น้ำเสียงของเฉินซีเย็นชาและไม่แยแส สงบไร้ซึ่งความผันผวน ดูเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องไม่สำคัญ แต่เมื่อมันได้ยินไปถึงหูของเหล่าสัตว์อสูร มันกลับทำให้หัวใจของพวกมันหนาวเย็นและสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่แฝงอยู่ในนั้น

“น่าสนใจ เจตนาฆ่าของผู้บ่มเพาะมนุษย์นั้นแข็งแกร่งมาก เห็นชัดว่ามนุษย์ผู้นี้เคยผ่านการต่อสู้เป็นตายมามากมายแล้ว” กลางอากาศ ราชาเหยี่ยวสายฟ้าที่ไม่สนใจทุกสิ่งมาโดยตลอดดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่งที่น่าสนใจ มันจ้องมองไปที่เฉินซีด้วยแววตาประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะอย่างไรในสายตาของมัน เฉินซีก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มมนุษย์คนหนึ่งที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิล ไม่ใช่ผู้ที่มันจะให้ค่าอะไรมากนัก

“แก้แค้น? ข้าไม่ได้ยินเจ้าผิดใช่หรือไม่?” หยวนถงหัวเราะเสียงดังพลางจ้องมองเฉินซีด้วยสายตาที่ราวกับกำลังดูคนตาย จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าข้าไม่ติดธุระก่อนหน้านี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้อย่างนั้นหรือ? หยุดพูดเรื่องไร้สาระและมอบสิ่งที่สยงผีให้แก่เจ้ามา จากนั้นบั่นคอของตัวเองตายไปซะ แล้วข้าจะยอมปล่อยให้ศพของเจ้าสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้น…”

“ไอ้เด็กน้อย แค่การบ่มเพาะเล็กน้อยเท่านั้นอย่าได้ขัดขืน รีบทำตามที่ราชาของข้าบอก!”

“ผู้บ่มเพาะที่เป็นมนุษย์กล้าพูดถึงการฆ่าราชาของข้า เจ้าไม่กลัวสวรรค์จะหัวร่อตอนที่เจ้าตายหรือไร!”

“อนิจจา ราชาใจดีเกินไปจริง ๆ ถ้าเป็นข้า แม้ว่าเขาจะฆ่าตัวตาย ข้าก็ยังจะเอาศพของไอ้เด็กผู้นี้มากินเป็นอาหาร!”

สัตว์อสูรมากมายมองไปยังเฉินซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจและการเยาะเย้ย

“ฆ่า!” เสียงเย็นเยียบแผ่วเบาดังออกจากปากของเฉินซี จากนั้นในชั่วพริบตา เขาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศแล้ว ราวกับเขาได้กลายเป็นเสือร้ายที่พุ่งลงมาจากภูเขาและตะครุบเข้าหาหยวนถงด้วยท่าทางที่สง่างาม

“ในเมื่อเจ้าแสวงหาความตายนัก ข้าก็จะทำตามความปรารถนาของเจ้า!” หยวนถงหัวเราะอย่างดุร้าย จากนั้นกระบองเหล็กอันหนาหนักก็ปรากฏตัวขึ้นในมือของเขา แสงสีเลือดพลุ่งพล่านปกคลุมกระบองเหล็กทำให้มันดูยิ่งน่าเกรงขาม ก่อนที่เขาจะเหวี่ยงกระบองในมืออย่างดุเดือดเพื่อต้อนรับการมาของเฉินซี

ฟิ้ว!

ร่างกายของเฉินซีเป็นเหมือนปลาที่ว่องไวขณะที่เขาหลบหลีกกระบองเหล็กอย่างคล่องแคล่ว และกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของชายหนุ่มก็ฟันตัดเข้าที่เอวของหยวนถงอย่างรวดเร็วแม่นยำ

กระบี่ไผ่ทองคำนิลประสบกับสายฟ้าฟาดทุก ๆ หนึ่งร้อยปีเพื่อให้มันสูงขึ้นอีกหนึ่งชุ่น และกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือของเฉินซีนั้นมีความยาวทั้งหมดราวสี่สิบชุ่น มันไม่เพียงแต่คมเท่านั้น แต่ยังมีอัดแน่นไปด้วยพลังอัสนีที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

ในเวลานี้เมื่อเขาฟันกระบี่ออกไป ไม่เพียงแต่บาดแผลลึกที่เอวของราชาวานรทมิฬจะฉีกออก พลังอัสนีภายในกระบี่ยังสร้างความเสียหายให้แก่บาดแผล และกระแทกร่างของราชาวานรทมิฬกระเด็นจนเกือบตกลงมาจากอากาศ

‘บัดซบ! มันคือกระบี่ไผ่ทองคำนิล!’

ดวงตาของราชาเหยี่ยวสายฟ้าที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งกำลังเฝ้าดูการต่อสู้เป็นประกาย และความโลภที่ไม่สามารถยับยั้งได้ผุดขึ้นในหัวใจของเขา

“เจ้าหนู เจ้าคิดว่าจะทำร้ายข้าด้วยสิ่งนี้ได้หรือ!”

การได้รับบาดเจ็บจากการปะทะครั้งแรกต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมากทำให้ราชาวานรทมิฬโกรธจนแทบคลั่ง แผลที่เอวของเขาหายเป็นปกติแทบจะในพริบตา!

‘อสูรตัวนี้ขัดเกลากายาเหมือนกัน!’

หลังจากการขัดเกลากายาถึงขอบเขตตำหนักอินทนิล ร่างกายและเลือดจะแข็งแกร่งขึ้นและช่วยให้สามารถฟื้นฟูแขนขาได้ หากใครต้องการฆ่าคู่ต่อสู้เช่นนั้น วิธีเดียวคือตัดคอหรือแทงทะลุหัวใจ!

“ตาย!” ปราณอสูรบนร่างของหยวนถงพวยพุ่งขึ้นและแรงกดดันที่เขาปลดปล่อยก็หนาแน่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นเงาดำขณะที่เขายกกระบองเหล็กหนักเกือบหมื่นจินในมือขึ้น ก่อนที่จะทุบไปที่เฉินซีอีกครั้ง!

เฉินซีตวัดกระบี่ไผ่ทองคำนิลในมือขึ้นต้านรับ

เคร้ง!

เสียงดังกึกก้องกระจายไปทั่วทุกทิศ เฉินซีกระเด็นถอยไปด้านหลังหลายจั้ง โชคดีที่เขาอยู่กลางอากาศจึงทำให้เขาสามารถสลายพลังโจมตีของอีกฝ่ายไปได้มากกว่าครึ่ง ทว่ามือของเขาก็ยังชาดิกเพราะแรงปะทะ

‘ความแข็งแกร่งของร่างกายขอบเขตตำหนักอินทนิลนั้นน่ากลัวอย่างที่คาดไว้ หากข้าสำเร็จเพียงการขัดเกลากายาอย่างเดียว มันคงเป็นเรื่องยากที่ข้าจะเอาชนะราชาอสูรตนนี้ได้ สมควรแล้วที่มันจะเป็นหนึ่งในเจ็ดราชาสัตว์อสูรผู้ยิ่งใหญ่’

ราชาวานรทมิฬเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามที่สุดที่เขาเคยเผชิญมาจนถึงตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!

“แข่งกับข้าด้วยความแข็งแกร่ง? ฮ่า ๆๆ แสดงให้ข้าดูว่าเจ้าจะรับกระบองของข้าได้กี่รอบ!” ราชาวานรทมิฬคำรามด้วยเสียงหัวเราะ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความกระหายเลือดและโหดเหี้ยม จากนั้นมันก็พุ่งเข้าหาเฉินซีอีกครั้ง ขณะที่กระบองในมือยกขึ้นสูงเหนือหัวก่อนจะทุบเข้าใส่เฉินซีอย่างดุดัน ความรุนแรงของกระบองเหล็กเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ฟิ้ว!

เฉินซีจะยอมต้านรับตรง ๆ อีกได้อย่างไร? เขาเหินหลบวิถีกระบอกด้วยเคล็ดวาตะเหินทะยาน ประหนึ่งว่าแผ่นหลังของเขาปรากฏปีกวายุคู่หนึ่งออกมา ความเร็วของเขาจึงเพิ่มขึ้นและเคลื่อนไหวว่องไวดั่งอสนี ชายหนุ่มบินหักหลบอย่างคล่องแคล่ว ขณะที่เขาใช้กระบี่ไผ่ทองคำนิลโจมตีใส่หยวนถงอย่างรวดเร็ว

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ภายใต้การผสมผสานของทักษะกระบี่และทักษะการเคลื่อนไหวที่บรรลุถึงขั้นเต๋ารู้แจ้ง บาดแผลนับพันจึงปรากฏขึ้นบนร่างของหยวนถงภายในอึดใจเดียว และทำให้ราชาอสูรตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชอย่างยิ่ง

‘เป็นไปได้อย่างไรกัน!?’

‘ราชาไม่สามารถป้องกันกระบี่ของมนุษย์ผู้นี้ได้จริงหรือ?’

เหล่าสัตว์อสูรที่รับชมอยู่โดยรอบต่างมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้างราวกับไม่อยากจะเชื่อ

“เต๋ารู้แจ้งแห่งกระบี่! เต๋ารู้แจ้งแห่งการเคลื่อนไหว! ไม่ดีแน่! การบ่มเพาะเต๋าแห่งการต่อสู้ของเด็กนี่ได้บรรลุระดับเต๋ารู้แจ้งแล้ว!” ราชาเหยี่ยวสายฟ้าที่กำลังสังเกตการต่อสู้อยู่ ไม่อาจรักษาความสงบได้อีกต่อไป และสีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที