ตอนที่ 273 สามีภรรยาสนทนากัน

แม่ครัวยอดเซียน

หลังจากแยกย้ายกันแล้ว เวิ่นเทียนก็ขมวดคิ้ว สายคนคนผู้นั้นที่มองเขาเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร นี่เลือกคู่ผิดคนแล้วมั้ง

“น้องหญิง เจ้ายังไม่บอกเลยนะว่าเจ้าเจออะไรเข้า?” สัญชาตญาณของหนานกงเวิ่นเทียนบอกว่าสิ่งที่หลิวหลีค้นพบสำคัญอย่างยิ่ง

“กลับบ้านเราก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิวหลีคิดว่าหากพูดตรงนี้ความลับก็จะแพร่งพรายออกไป

“เอาล่ะ ตอนนี้พูดได้แล้วกระมัง” หนานกงเวิ่นเทียนมองหลิวหลีพลางเอ่ยถามอย่างจริงจัง

“อืม ท่านพี่ ข้าเจอเรื่องที่น่าสนใจอยู่สองอย่างแต่ล้วนอยู่ในตัวคนผู้เดียว” หลิวหลีคิดๆดูแล้วตัวเองยังอยากหัวเราะเลย

“สองเรื่องในตัวคนผู้เดียวหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว จะเป็นไปได้เช่นไรเล่า

“อืม เรื่องแรกเยี่ยชิงขวงเป็นคนเผ่ามารรัตติกาล ทั้งยังเป็นมารรัตติกาลระดับสูงมากไม่แตกต่างอะไรกับผู้บำเพ็ญอย่างพวกเราเลย แต่ข้าทำให้เขาสลบไปโดยไม่ทันระวัง ตอนรักษากลับค้นพบว่าในร่างกายของเขาแตกต่างกับเรา ตอนแรกข้ารู้สึกเบื่อหน่ายจึงเอาเงามารจากด้านในออกมาศึกษาเพื่อทำความเข้าใจ สนุกมากทีเดียว” หลิวหลีเบรกไว้ได้ทันเวลาเพราะตอนที่นางเล่นมันออกจะสยดสยองไปสักหน่อย นางไม่บอกสามีจะดีกว่า

“เช่นนั้นเรื่องที่เยี่ยชิงขวงเป็นคนเผ่ามารรัตติกาลเป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิจะไม่รู้” หนานกงเวิ่นเทียนไม่ค่อยเชื่ออยู่บ้าง จักรพรรดิล้วนบำเพ็ญเป็นเซียนขั้นสุดยอดทั้งนั้นแล้วจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเยี่ยชิงขวงเป็นคนเผ่ามารรัตติกาลที่เหลืออยู่เล่า

“ดังนั้นถึงบอกว่าเยี่ยชิงขวงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่ข้าชำแหละศึกษามารรัตติกาลมามากมายผลปรากฏว่านอกจากปีกแล้วยังมีส่วนอื่นที่ไม่แตกต่างกัน ภายในร่างกายพวกเขาใกล้จุดหัวใจมีเส้นเลือดที่ซ่อนไว้อยู่ เลือดด้านในเป็นสีฟ้าใส ถ้าไม่ตรวจดูร่างกายของเขาอย่างละเอียดก็คงไม่พบหรอก ข้าไม่สบายใจจึงตรวจดูจนมั่นใจถึงได้ค้นพบมันเข้า” หลิวหลีพูดอย่างบริสุทธิ์ใจ ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนั้นนางรู้สึกเบื่อหน่ายก็คงไม่พบสิ่งนี้หรอก เหมือนว่าจะเป็นตำแหน่งหัวใจมารรัตติกาล นี่เป็นผลสรุปที่นางได้จากการทดลอง

“จะบอกองค์จักรพรรดิไหม?” คนที่เหลือในเผ่ามารรัตติกาลเป็นสิ่งอันตรายมาโดยตลอด ในเมื่อเป็นถึงเจ้าตำหนักที่มีอำนาจ หากในวันหน้าเขาได้ปกครองดินแดนนภาสุวรรณขึ้นมาจะเกิดเรื่องวุ่นวายเอาได้

“ยังไม่ต้องดีกว่า ตอนนี้เขายังไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาแอบซ่อนสมาชิกเผ่ามารรัตติกาลไว้อีกเท่าไร หว่านแหจับรวดเดียวให้หมดเลยดีกว่า อีกอย่างเจ้าคิดว่าจักรพรรดิจะทรงเชื่อไหมล่ะ คงไม่เอาเยี่ยชิงขวงมาผ่าชำแหละจริงๆหรอก  ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าคงถูกท่านจักรพรรดินภาสุวรรณฆ่าตายไปแล้ว อีกอย่างชีวิตและสายเลือดมีความโดดเด่นเฉพาะตัวมาก หากเกิดอันตรายขึ้นสัญชาตญาณจะแอบส่งสัญญาณเตือน” ดังนั้นของสิ่งนี้มีประโยชน์มากจริงๆ ปลอดภัย มิน่าโลกเซียนถึงไม่ชอบมารรัตติกาลก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

“แล้วเรื่องที่สองล่ะ เยี่ยชิงขวงถูกน้องหญิงที่แสนเฉลียวฉลาดของข้าจับความลับอะไรได้อีกเล่า” จู่ๆหนานกงเวิ่นเทียนก็รู้สึกว่าแต่งงานกับนางมาตั้งนานแต่กลับไม่ได้รับการถ่ายทอดทางสติปัญญาของนางมาเลย

“น้องหญิงที่แสนเฉลียวฉลาดหรือ คำนี้ข้าชอบฟังนัก แล้วก็เหมือนว่าข้าจะยุ่มย่ามเกินไปหน่อย เหมือนว่าในร่างกายของเขาจะถูกปิดผนึกอะไรสักอย่าง คนที่ถูกกระตุ้นต่อมความสนใจอย่างข้าเลยไปเปิดมันเข้า ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ดูความทรงจำอย่างละเอียดแต่กลับค้นพบว่าความทรงจำนี้เป็นคนผู้หนึ่งที่เราคุ้นเคยกันดี” เฮ้อ ตอนนั้นรู้สึกว่าตนเองทำผิดศีลธรรมเกินไป นางช่วยอย่างกระตือรือร้นแต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าตนเองจะทำมากเกินไปโดยไม่ทันระวัง

“คนคุ้นเคยหรือ? คงไม่ใช่เยี่ยซิงหวงหรอกนะ” หนานกงเวิ่นเทียนกระเซ้า

“ใช่แล้ว เขาคือเยี่ยซิงหวงนั่นแหละ” หลิวหลียืนยัน

“จะเป็นไปได้เช่นไร ตอนนั้นเยี่ยซิงหวงไม่ได้เข้ามาในหินย้อนเวลา ด้วยซ้ำแล้วจะกลายเป็นคนในโลกเซียนได้เช่นใด” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่านี่มันไม่ตลกเลยสักนิด คนที่กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้วฟื้นคืนชีพกลับมา

“อืม รู้สึกว่าเยี่ยซิงหวงเหมือนจะเป็นยอดฝีมือที่แยกตัวออกมา พอร่างที่แยกออกมาหายไปความทรงจำก็จะกลับคืนสู่เจ้าของร่าง แต่พอนึกถึงเรื่องพวกนั้นที่เขาทำในโลกเบื้องล่าง ข้าคิดว่าโลกเซียนคงไม่สงบสุขนานเท่าไรหรอก” หลิวหลีกลุ้มใจเรื่องนี้ คราวนี้นางไม่มีมิติเล็กไว้หนีอันตรายแล้ว หรือเป้าหมายตอนนี้คือการตามหามิติเล็กๆสักแห่ง?

“โลกเซียนจะมีวิบากเคราะห์ไหมนะ?” หนานกงเวิ่นเทียนพึมพำกับตนเอง ตอนนี้เขาเข้าใจความหมายสายตาคู่นั้นของเยี่ยชิงขวงแล้ว ช่างน่าสะอิดสะเอียนจริง ๆ

“ตอนนี้ยังไม่มีแต่วันข้างหน้ามีแน่ อีกอย่างแนวโน้มที่พวกเราจะชนะก็มีมากด้วย” หลิวหลีพูดอย่างมั่นใจ

“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ?”

“เพราะเมื่อครู่คนผู้นี้ลองทดสอบพวกเราดูแล้ว แต่ตอนนี้น่าจะวางใจคงปักใจเชื่อว่าพวกเราเห็นเยี่ยชิงขวงกับเยี่ยซิงหวงเป็นคนละคนกัน แล้วยังรนหาที่ตายเอาเพลิงเซียนให้ข้าอีก พวกเราต้องพัฒนาได้เร็วกว่าเขาอยู่แล้ว พลังอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว ความทะเยอทะยานทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง” หลิวหลีพูดขึ้นอย่างมั่นใจจนทำให้คนที่ได้ยินพลันเข้าใจขึ้นมา รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างกายหลิวหลีเปล่งประกายเรืองรองทำให้ดูน่าเชื่อถืออย่างง่ายดาย

“น้องหญิงพูดถูก ข้าจะพยายาม” ในเมื่อรู้ล่วงหน้าแล้ว เช่นนั้นก็ต้องยิ่งพยายามมากกว่าเดิม

“ท่านพี่ของข้าเก่งที่สุด” หลิวหลีออกปากชมโดยไม่ละอายใจสักนิดสามีของนางเก่งมากเหลือเกิน

“เทียบกับเจ้าแล้วข้ายังห่างชั้นอีกมาก ครั้งนี้ข้าจะสู้ศึกเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเจ้า” จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่น้องหญิงของเขาต้องมาเกือบตายเพราะเขาอีกเป็นอันขาด

“พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียนที่พูดขึ้นอย่างจริงจัง

“น้องหญิง เจ้าไม่คิดจะเตือนจักรพรรดิหน่อยหรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนอดถามไม่ได้

“ไม่จำเป็น การฝึกบำเพ็ญของเราอ่อนแอเกินไปไม่มีใครเชื่อหรอก แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้ถูกเลือก แต่ก็ยังไม่มีสิทธิ์พูดมากขนาดนั้น ดังนั้นข้ากับเจ้าทำได้แค่ค่อยๆฝึกบำเพ็ญ พลังก็คือสิทธิ์มีปากมีเสียง” หลิวหลีพูดพลางกุมมือหนานกงเวิ่นเทียน

“น้องหญิงพูดไม่ผิด ขั้นพลังของพวกเราต่ำเกินไป เทียบกับเซียนระดับต่ำแล้วพวกเราก็แค่เก่งกว่าเขานิดหน่อยเท่านั้น พวกเราควรมีตำแหน่งจักรพรรดิเป็นเป้าหมาย

“อืม ไม่รู้ว่าครั้งนี้กลับไปจะให้พวกเรารับตำแหน่งรัชทายาทหรือเปล่า ข้าไม่สนใจเลย แล้วท่านพี่ล่ะ” หลิวหลีถามขึ้น ถ้าการคาดเดาของนางไม่ผิดก็น่าจะเป็นเช่นนี้

“ข้าเองก็ไม่สนใจเช่นกัน” เขายิ่งไม่สนใจผู้หญิงพวกนั่น หน้าตาก็สู้ฮูหยินของเขาไม่ได้ แถมนิสัยแย่กว่าน้องหญิงของเขาเสียอีก ไม่มีประโยชน์สักนิดแต่กลับลำพองใจนึกว่าตนเองดีนักหนา ไม่รู้จริงๆว่าใครให้ความกล้าเช่นนี้กับพวกนาง

“เรื่องจื่อฉีกับมู่มู่เกือบจะลุล่วงแล้ว เพียงรอเวลาให้ทั้งคู่ได้ผ่านช่วงเวลาขัดเกลาเรียนรู้กัน พอข้านึกถึงไป๋อี้ที่เห็นข้าก็หลบหน้าด้วยกลัวว่าข้าจะเป็นแม่สื่อแม่ชักให้กับเขา แต่ไม่รู้เลยว่าข้าเปลี่ยนเป้าหมายไปตั้งนานแล้ว หญิงงามพร้อมขนาดนั้นย่อมคู่ควรกับคนดีๆ ใครจะเหมาะสมไปกว่าน้องชายที่ข้าเป็นคนเลี้ยงมากับมือเล่า” หลิวหลีเอ่ยพลางเชิดหน้าขึ้น

“ทั้งคู่เหมาะสมกันมาก คาดว่าครั้งนี้พวกเราคงต้องกลับดินแดนอสูรเทพกันก่อน พอร่วมงานแต่งงานของเอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ยเสร็จถึงจะกลับตำหนักได้”

“เดิมทีก็ควรจะเป็นเช่นนี้แหละ ไม่รู้ว่าข้ารอคอยมานานกี่ปีแล้ว แต่เหมือนอาเลี่ยจะรู้เรื่องที่ข้าพูดกับบรรพชน เดาว่าคงกำลังตามหาข้าเพื่อสะสางบัญชีที่ไหนสักแห่ง” หลิวหลีแลบลิ้นใส่พร้อมด้วยแสดงความรังเกียจผู้สูงวัยทั้งสอง  พวกเขาไม่รู้จักระวังปาก แถมเป็นบรรพชนของคนอื่นอีก ภายหน้าถ้ามีของดีจะไม่ให้พวกเขาอีกแล้ว

“เจ้าน่ะ ที่เจ้าพูดเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ว่าจะยุแหย่ไม่ให้สองคนนั้นแต่งงานกันหรอกหรือ?” พอนึกถึงข่าวลือเหล่านั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

………………………….