บทที่ 202.2 ก็คือช่วงเวลาที่ดีของชีวิตคน โดย ProjectZyphon
สำหรับฉานฉานตอนเด็ก ตนที่เป็นปู่เข้มงวดไร้เมตตาเกินไป ฝืนดึงต้นกล้าให้เติบโตก่อนเวลาหรือไม่?
อริยะลำดับที่สามของลัทธิขงจื๊อเคยเอ่ยคำพูดมีเหตุผลน่าเชื่อถือซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลก กล่าวว่า ‘มนุษย์นั้นเดิมทีมีสันดานดีงาม แม้นิสัยคล้ายคลึง แต่การเลี้ยงดูทำให้แตกต่าง’
ผู้เฒ่าถอนหายใจ
ศึกตรีจตุที่สะเทือนขวัญสั่นวิญญาณครั้งนั้น เขาเองก็เคยได้เห็นกับตาตัวเองมาก่อน จุดจบเป็นเช่นไร ก็คือสภาพในตอนนี้ และนี่ยังเป็นเพราะผู้เฒ่าไม่ได้มีความข้องเกี่ยวลึกซึ้งด้วย
ก่อนหน้านี้มีครั้งหนึ่งเขาเดินทางไปเยือนภูเขาใหญ่ไร้นามแห่งหนึ่ง และได้พบกับผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อหนึ่งท่าน อีกฝ่ายหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า เดินยืดเส้นยืดสายวนเป็นวงกลมอยู่บนยอดเขาคล้ายกำลังวาดวงกลม แต่ด้วยสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบของเขาทำให้มองออกว่า แม้จะมองดูเหมือนบัณฑิตเฒ่ากำลังเดินวนเป็นวงอยู่ที่เดิม แต่อันที่จริงแล้วทุกครั้งที่วนครบหนึ่งรอบ พื้นที่จะขยับออกรอบนอกเล็กน้อย
เขาจึงถามด้วยความใคร่รู้ “ทำไมท่านผู้เฒ่าถึงไม่ก้าวออกไปหนึ่งก้าวล่ะ?”
ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อตอบด้วยรอยยิ้มบางเบา “ผิดกฎ จะทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
จากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระอย่างถูกคอ ทว่านับแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยเห็นบัณฑิตวัยชราผู้นั้นอีกเลย
……
วันที่สาม ก่อนจะฝึกวิชาหมัด ผู้เฒ่าพูดกับเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อยืนหยัดอยู่บนขอบเขตที่สามได้มั่นคงแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาต่อกันเลย ข้าผู้อาวุโสจะปูรากฐานขอบเขตที่สี่ให้เจ้าอย่างแน่นหนา ไม่เสียเวลาการเดินทางไกลของเจ้าหรอก”
เฉินผิงอันส่ายหน้าบอกว่าไม่ได้ เรื่องการเดินทางไกลนั้น ขอแค่ช่างหร่วนหลอมกระบี่สำเร็จก็ต้องออกเดินทางทันที
ผู้เฒ่ายังคงพูดล่อลวงให้เฉินผิงอันฝึกหมัดต่อ “ก่อนหน้านี้ทำไมข้าผู้อาวุโสใช้ตบะขอบเขตห้าก็ต่อยให้ซุนซูเจียนที่อยู่ขอบเขตหกขั้นสูงสุดตายได้ด้วยหมัดเดียว? นั่นก็เพราะว่าขอบเขตเดียวกัน แต่แตกต่างกันราวก้อนเมฆกับก้อนดิน ดังนั้นต่อให้เป็นวิถีวรยุทธ์ที่ฆ่าคนข้ามขอบเขตได้ยากมากที่สุด ข้าผู้อาวุโสก็ยังคงสามารถต่อยให้ซุนซูเจียนที่มีขอบเขตสูงกว่าหนึ่งระดับตายได้ นี่เป็นเพราะรากฐานของเขาคลอนแคลนเกินไป”
“ยกตัวอย่างเช่นการสอบเคอจวี่ เป็นบัณฑิตที่ได้สอบหน้าพระที่นั่งเหมือนกัน แต่ทำไมบางคนถึงได้เป็นจอหงวน เป็นทั่นฮวาที่สูงศักดิ์เกินบรรยาย คนอื่นๆ เป็นแค่จิ้นซื่อ หรืออาจเป็นแค่ถงจิ้นซื่อที่น่าสงสาร? นั่นก็เพราะตำหนักจินหลวนคือขอบเขตอย่างหนึ่ง ทว่าแม้จะอยู่ในขอบเขตเดียวกันก็ยังมีแบ่งระดับสาม หก เก้า เป็นต้น”
“เฉินผิงอัน เจ้าควรต้องรู้ไว้ว่า วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามขอบเขตสี่นั้นมีความต่างกันมหาศาล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าระหว่างขั้นสุดท้ายของห้าขอบเขตล่างกับห้าขอบเขตกลางของผู้ฝึกลมปราณนั้นย่อมต้องมีร่องน้ำลึกกว้างขวางกั้นเอาไว้ มีหรือไม่มีข้าผู้อาวุโสช่วยวางรากฐานให้เจ้านั้นแตกต่างกันอย่างไร เจ้าแค่ทนลำบากเพียงเท่านี้ แต่จะได้รับผลประโยชน์มากน้อยเท่าไหร่ เจ้าน่าจะรู้ชัดเจนดีอยู่แก่ใจ หากสามารถฝ่าทะลุขอบเขตที่สี่ได้สำเร็จในรวดเดียว ขอแค่ฝ่าทลายคอขวดที่เป็นอุปสรรคไปได้ เส้นทางวิถีวรยุทธ์ของขอบเขตสี่หลังจากนี้ก็เหมือนควบม้าบนทางเรียบ แบบนั้นจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล
ในเมื่อหยางเหล่าโถวบอกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะให้อยู่นาน เมื่อได้กระบี่แล้วก็จำเป็นต้องไปจากภูเขาลั่วพั่ว มุ่งหน้าลงใต้ไปเรื่อยๆ เฉินผิงอันก็ไม่มีทางถ่วงเวลาให้ล่าช้าแม้แต่ก้านธูปเดียวอย่างแน่นอน
และพูดกันตามจริง สำหรับการฝึกหมัดในระดับที่เหนือกว่าขอบเขตสามขึ้นไป เฉินผิงอันยังรู้สึกอกสั่นขวัญผวาอยู่บ้าง หากจะบอกว่าไม่กลัวเลยก็แสดงว่าเขาหลอกตัวเอง
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ต้านรับการล่อลวงได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี คนอย่างซุนซูเจียนนั้นพรสวรรค์ไม่เลว แต่คนที่ตายไปก่อนเวลาอันควรกลับมีมากจนนับไม่ถ้วน พวกเขาตายเพราะคำว่าละโมบ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าผู้อาวุโสจะให้รางวัลเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน จะเปลี่ยนจากสามสิบหมัดเป็นสามสิบเอ็ดหมัด วางใจเถอะ รับรองว่าเจ้าไม่ตายแน่ ข้าจะช่วยกระทุ้งให้ขอบเขตที่สามของเจ้าแน่นหนามั่นคงเอง เจ้าไม่ต้องซาบซึ้งใจจนน้ำหูน้ำตาไหลหรอกนะ ใครใช้ให้เจ้าเป็นอาจารย์ของฉานฉาน…”
ภายนอกผู้เฒ่าพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในถ้อยคำนั้นปราณสังหารกลับท่วมท้น ความเย็นเยียบลึกล้ำ มีหรือที่เฉินผิงอันจะไม่รู้?
เมื่อวานตอนที่ด่าอีกฝ่าย เขาด่าอย่างสาแก่ใจไปแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าวันนี้กรรมกำลังจะตามสนอง?
และหลังจากโดนไปสามสิบเอ็ดหมัด เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันนอนอยู่ในถังยาใบใหญ่หนึ่งวันเต็ม จากนั้นก็นอนหลับอยู่บนเตียงไปอีกหนึ่งคืนเต็มๆ
ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันเดินออกจากห้อง เว่ยป้อและเด็กน้อยสองคนต่างก็นั่งกันอยู่ใต้ชายคา
พอเห็นเฉินผิงอัน เว่ยป้อที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ก็เงยหน้าขึ้น ยกสองแขนกอดอก กล่าวแสดงความยินดี “ยินดีด้วยๆ”
เฉินผิงอันกุมมือคารวะกลับ ยิ้มเจื่อนตอบ “เรื่องมันยาวน่ะ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยกเก้าอี้ไม้ไผ่ให้นายท่านของตัวเองนั่ง พอเฉินผิงอันนั่งลงแล้ว เว่ยป้อก็กดเสียงแผ่วต่ำเอ่ยว่า “สองวันนี้หร่วนฉงจะเปิดเตาหลอมกระบี่แล้ว ก่อนหน้านี้ข้าคุยกับงูน้อย ได้ยินว่าเจ้าอยากซื้อน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งลูก ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัดสินใจเองโดยพลการ ไม่เอาสมบัติอาคมห้าชิ้นที่เดิมทีราชสำนักต้าหลีต้องมอบให้เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ต่อภูเขาหนึ่งลูก จะเอาแค่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกเดียว เฉินผิงอัน หากเจ้ารู้สึกว่าขาดทุน จะเปลี่ยนก็ได้ แล้วก็รับเอาสมบัติอาคมห้าชิ้นที่ต้าหลีเตรียมไว้ให้เหมือนเดิม”
เด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูหันมาส่งสายตา พยายามโน้มน้าวไม่ให้เฉินผิงอันถูกน้ำมันหมูบังตา ทิ้งของห้าชิ้นเลือกเอาแค่ชิ้นเดียว
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “แน่นอนว่าข้าต้องเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น”
เว่ยป้อหัวเราะเสียงดังกังวาน โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นน้ำเต้าขนาดเล็กจิ๋วสีแดงสดก็มาปรากฎอยู่กลางฝ่ามือของเขา
เมื่อเทียบกับน้ำเต้าลูกเล็กสีเงินที่อาเหลียงห้อยไว้ตรงเอวแล้ว ใบนี้มีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย แวววาวเรียบลื่นเป็นมัน ลักษณะโบราณเรียบง่าย ทำให้คนหลงรักได้ตั้งแต่แรกเห็น
ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความตะลึงระคนดีใจ เขาใช้สองมือรับเอาน้ำเต้าสีชาดลูกนั้นมาอย่างระมัดระวัง เอาขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าตัวเอง เบิกตากว้างพินิจดูอย่างละเอียด
เว่ยป้ออธิบายด้วยรอยยิ้ม “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ถือว่าอยู่แค่ในระดับปานกลางเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นวัตถุของเทพเซียนที่แท้จริง แต่ก็ถือว่าหาได้ยากมากแล้ว เพราะอย่างไรซะในบุรพแจกันสมบัติทวีปก็เทียบกับอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่เดินกันให้เกร่อไม่ได้ ทว่าต่อให้เอาไปที่อุตรกุรุทวีป น้ำเต้าลูกเล็กลูกนี้ก็สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางน้ำลายไหลด้วยความอยากครอบครองได้อยู่ดี”
เว่ยป้อชี้ไปที่ก้นของน้ำเต้าใบเล็ก “ด้านใต้ของน้ำเต้าเขียนว่า ‘เจียงหู’ ซึ่งอ่านเหมือนคำว่าเจียงหูที่แปลว่ายุทธภพ น่าสนใจมากเลยล่ะ อีกอย่างมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นของรักที่ผู้ฝึกกระบี่แซ่เจียงบางท่านทิ้งเอาไว้ ถึงได้จงใจสลักชื่อนี้ เจ้าชอบหรือไม่?”
รอยยิ้มของเฉินผิงอันนั้นต้องเรียกว่าเบิกบานอย่างยิ่ง เขาตอบรับรัวๆ อย่างลนลาน “ชอบๆๆ! จะไม่ชอบได้อย่างไร! น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เลยนะ!”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูปิดปากหัวเราะ เด็กชายชุดเขียวกลับเหลือกตามองบน ตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ
ดีนักนะ เพราะประเด็นสำคัญคือเขารู้จักดูของ รู้ว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มีมูลค่าควรเมือง ถึงได้ดีใจมากขนาดนี้ นิสัยเห็นแก่เงินของนายท่านเปลี่ยนแปลงไม่ได้จริงๆ
เฉินผิงอันพลันถามว่า “ใส่เหล้าได้ไหม?”
เว่ยป้อพยักหน้ารับยิ้มๆ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว บรรจุเหล้าสิบกว่าจินได้ไม่มีปัญหา ไม่ส่งผลต่อการเลี้ยงกระบี่บิน แต่จำไว้ว่า ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ห้ามเลี้ยงกระบี่บินที่ปณิธานขัดแย้งกันเองเด็ดขาด ไม่ได้เน้นว่ามีมากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อขั้นตอนในการเลี้ยงกระบี่ ทางที่ดีที่สุดเลี้ยงไว้พร้อมกันแค่สองสามเล่ม…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยป้อก็หัวเราะหยันตัวเอง “หากสามารถเลี้ยงกระบี่บินสองเล่มได้ในเวลาเดียวกันก็น่าตะลึงมากแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จะได้กระบี่บินชั้นเยี่ยม เพราะนี่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินมหาศาลเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันจดจำไว้เงียบๆ
จากนั้นเสียงสวบๆ ก็ดังขึ้นสองครั้ง ชูอีที่ชื่อเดิมคือ ‘เสี่ยวเฟิงตู’ รวมไปถึง ‘สืออู่’ สีเขียวมรกตที่หยางเหล่าโถวใช้แลกเปลี่ยนกับปิ่นหยกของเฉินผิงอันก็บินออกมาจากในช่องโพรงลมปราณสองช่องของเฉินผิงอัน พริบตาเดียวก็พากันผลุบหายเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีแดงสด ดูเหมือนว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มต่างก็อารมณ์ดีสุดขีด พวกมันว่ายวนไปรอบด้าน ชนผนังด้านในของน้ำเต้าไม่หยุด เป็นเหตุให้น้ำเต้าน้อยในมือเฉินผิงอันส่ายไหวเบาๆ
เว่ยป้อเบิกตากว้าง รู้สึกเหมือนตัวเองขายหน้าหมดสิ้น ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ “ดีนักนะ ถือซะว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”
เด็กชายชุดเขียวที่รู้สึกเป็นเกียรติแค่นเสียงพูด “รู้แล้วสินะว่านายท่านของข้ามีทรัพย์สมบัติมหาศาล?”
เว่ยป้อไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับงูน้อยตัวนี้ จึงตอบอย่างอารมณ์ดี “รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า”
สุดท้ายเว่ยป้อเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว ในน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้แล้ว เจ้าเฉินผิงอันที่คออ่อนแค่นี้ก็ดื่มให้ตามสบาย”
หลังเว่ยป้อจากไป เฉินผิงอันก็หิ้วเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งมานั่งที่ริมหน้าผา ดื่มเหล้าจิบเล็กๆ อยู่เพียงลำพัง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอยากเดินตามไป กลับถูกเด็กชายชุดเขียวคว้าแขนไว้แล้วส่ายหน้าบอกเป็นนัยไม่ให้เข้าไปยุ่ง
เฉินผิงอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบาย สองขาเหยียดตรง มือสองข้างประคองน้ำเต้าใบน้อยที่ตอนนี้เอามาเป็นกาเหล้าชั่วคราว ดื่มเข้าไปได้สองสามคำก็รู้สึกหน้าร้อนไปทั้งแถบ ลำคอก็แสบร้อน ร่างทั้งร่างอบอุ่นขึ้น
เฉินผิงอันมองไปทางทิศใต้ที่อยู่ห่างไกล สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ดูเหมือนว่าแม่น้ำและภูเขาที่อยู่ทางฝั่งนั้นก็คือยุทธภพที่ออกเสียงอ่านเหมือนชื่อน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือ
นี่คือชีวิตที่เฉินผิงอันไม่เคยคิดถึงมาก่อน
มีชีวิตอยู่ ยังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดี ช่างดีจริงๆ
……
หลังบิดามารดาลาจากโลกนี้ไป ช่วงอายุห้าขวบถึงเจ็ดขวบเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากที่สุดของเด็กกำพร้าตรอกหนีผิง
บางครั้งที่หิวจนไส้พันกัน นั่นก็เป็นความหิวจนเขาแทบจะลุกไปขุดดินขึ้นมากินจริงๆ ทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าว บ้านเรือนแต่ละหลังที่อยู่ติดกันในตรอกหนีผิงต่างก็มีควันโชยหอมฉุย แม้จะเดินอยู่ในตรอก เด็กชายก็ยังได้กลิ่นหอมของอาหารที่ล่อลวงใจคน บนร่างของเด็กชายสวมเสื้อผ้าที่บิดามารดาทิ้งเอาไว้ เขาต้องเอามาตัดให้ได้ขนาดที่ตัวเองสามารถใส่ได้ แม้แต่ริมขอบหรือเศษผ้าก็ทิ้งไม่ได้ แต่ละชิ้นต้องถูกเก็บรวบรวมสะสมเอาไว้
ครั้งแรกที่เด็กชายต้องไปกินข้าวบ้านคนอื่นเป็นตอนที่ใช้ของในบ้านหมดสิ้นแล้ว อะไรที่ขายได้ก็ล้วนเอาไปขายจนหมด ในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ เด็กหกขวบคนหนึ่งไม่สามารถขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพได้ อีกทั้งยังไม่อยากไปขโมยของคนอื่น ความหนาวและความหิวโหยตัดสลับกันไม่หยุด เขาเดินไปเดินมาอยู่ในตรอกตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอยเหมือนผีเร่ร่อนตัวน้อยตัวหนึ่ง เดินจนกระทั่งถึงยามสนธยา จนถึงเวลาที่ควันจากการทำอาหารโชยขึ้นมา เด็กชายไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเอาชีวิตรอดต่อไปอย่างไร
ก่อนหน้านี้มีคนหวังดีพูดว่าผิงอันน้อย ไปกินข้าวที่บ้านข้าเถอะ เด็กชายก็มักจะยิ้มแล้วพูดว่าไม่เป็นไร ในบ้านยังมีข้าวสารเหลืออยู่ จากนั้นก็รีบวิ่งหนีไป
แต่ว่าวันนั้นเด็กชายไม่มีอะไรเหลือแล้วจริงๆ ตอนกลางวันเขาไปที่ร้านตระกูลหยางมารอบหนึ่ง หวังจะขอติดหนี้ผู้เฒ่าเอาไว้ก่อน แต่ผู้เฒ่ากลับไม่ยอมพบเขา
ยามสนธยาของวันนั้นเด็กชายจึงคิดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า จะมีคนมาเจอตนแล้วยิ้มพูดกับตนว่า ผิงอันน้อย เข้ามากินข้าวหรือไม่
แต่ว่าวันนั้นไม่มีคนเปิดประตู ประตูใหญ่ปิดสนิท เสียงพูดคุยคลอเสียงหัวเราะ เสียงสบถด่าทอดังมาจากด้านใน
สุดท้ายเด็กชายก็เดินหิวกลับไปที่บ้านตัวเอง นอนลงบนเตียงเย็นเฉียบที่มีเพียงผ้าห่มผืนบาง บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ไม่หิวๆ นอนหลับไปก็ไม่หิวแล้ว คิดถึงพ่อแม่ก็ไม่หิวแล้ว
——————————–