บทที่ 280 ทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณ

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 280 ทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณ

ฉู่ชวิ๋นหยิบยาทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณออกมา

“ท่านพี่ ลองกินดูสิ”

“นี่มัน…” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ถ้าไม่มีหม้อปรุงยาจตุรเทพ แล้วผมจะทำยาพวกนี้ขึ้นมาได้ยังไง?” ฉู่ชวิ๋นอธิบายเหตุผล

ในขณะนี้ เมื่อใช้หม้อปรุงยาคุณภาพสูง เม็ดยาที่ออกมาจึงมีคุณภาพสูงมาก มากจนน่าประหลาดใจเลยทีเดียว

ในที่สุด เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็ต้านทานความต้องการของตัวเองไม่ไหว เขารับยาทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณไปกลืนลงคอ ก่อนที่จะนั่งลงและเริ่มต้นโคจรพลังทันที

หัวใจของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความอบอุ่นเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเชื่อใจเขามากขนาดนี้เลยหรือ เนื่องจากช่วงเวลาที่จอมยุทธนั่งโคจรพลังลมปราณ จะเป็นช่วงที่อ่อนแอมากที่สุด เพราะจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้เลย ถ้าถูกรบกวนจากภายนอก ก็อาจจะเกิดข้อผิดพลาดจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ง่าย

เปรี้ยง!

พลังลมปราณที่อยู่รอบตัวพวยพุ่งขึ้นสู่ด้านบน พลังเหล่านี้มีลักษณะเหมือนเกลียวคลื่น ก่อนที่จะถูกดูดซับเข้าไปผ่านรูขุมขนบนร่างกายของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ย

เมื่อฉู่ชวิ๋นเห็นดังนี้ เขาก็สร้างม่านพลังห้าชั้นหุ้มร่างกายของชายชราไว้ เมื่อม่านพลังทำงาน รัศมีที่สว่างไสวก็ถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยอย่างต่อเนื่อง

ใบหน้าของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยจะสว่างและมืดมนสลับกันเวลาที่หายใจเข้าออก

ถ้าอยากจะเลื่อนระดับเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ก็จำเป็นต้องมีพลังลมปราณที่เพียงพอรวมถึงต้องมีการเติมพลังและการดูแลอย่างใกล้ชิด

ในอีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ลมหายใจของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็พุ่งออกมารุนแรงมากขึ้น พร้อมกับเกิดพลังลมปราณหลั่งล้นออกมา หมายความว่าขั้นแก่นแท้ลมปราณทั้งแปดจุดในร่างกายของเขา กำลังจะถูกสลายไปแล้ว

ฉู่ชวิ๋นช่วยเติมพลังลมปราณเข้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ยุ่งกับม่านพลังที่ห่อหุ้มอยู่ แล้วชายชราก็กลับมาหายใจเป็นปกติอีกครั้ง

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยังคงดูดซับพลังต่อไป

เวลาอีก 5-6 ชั่วโมงผ่านไปในพริบตาเดียว

เปรี๊ยะ!

พลัน เหมือนกับว่าเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยสามารถทำลายกำแพงที่มองไม่เห็นได้แล้ว ลมหายใจของเขาพวยพุ่งออกมาจากรูจมูก มีลักษณะเป็นประกายไฟน่าหวาดกลัว

แต่ไม่กี่วินาทีต่อมา ลมหายใจของชายชราก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ แล้วเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเขาฉายลำแสงสีทองคำสว่างไสวไปทั่วบริเวณ

“สำเร็จไหมครับ?” ฉู่ชวิ๋นถาม

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยส่ายหน้าและพูดว่า “คล้ายกับว่าฉันกำลังจะทำได้แล้ว แต่ฉันไม่สามารถก้าวข้ามเข้าสู่ขั้นที่ 8 ได้เลย โอกาสอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ว่าฉันทำไม่ได้เอง”

ฉู่ชวิ๋นอดรู้สึกเสียดายแทนไม่ได้ ถ้าเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยได้เข้าสู่ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 เขาก็จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งในปฐพี แต่เยวี้ยฟ๋านเตี๋ย นับว่ามีจิตใจที่เข้มแข็ง การเลื่อนระดับพลังไม่สำเร็จอาจถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับจอมยุทธ์แต่โอกาสที่จะได้เลื่อนระดับในขั้นจักรพรรดิมีไม่มาก เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยกลับไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย ด้วยสภาพจิตใจเช่นนี้การทะลวงระดับพลังกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 อยู่ที่เวลาไม่ช้าก็เร็วแล้ว

หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ให้เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเรียกบุตรชายทั้งสามคนเข้ามา ส่วนเขาก็ฝากข้อความไปตามตัวพวกของจิ่วโยวมาที่นี่ด้วยเช่นกัน

เมื่อผู้ถูกตามตัวมาถึงในห้องโถงใหญ่ ฉู่ชวิ๋นก็แจกยาทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณให้พวกเขาไปคนละเม็ด

สามพี่น้องบุตรชายของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 เมื่อได้ยินว่ายาลูกกลอนเม็ดเล็กๆ นี้ จะช่วยให้พวกเขาบรรลุพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 6 ได้ ก็ถึงกับตกตะลึง

“มัวยืนเฉยกันอยู่ทำไม? ยังไม่รีบขอบคุณท่านอารองอีก” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตำหนิด้วยความไม่พอใจ บุตรชายทั้งสามคนของเขาทำตัวเป็นเหมือนผู้ไม่ประสีประสาในโลกยุทธภพเลยสักนิด

“ขอบคุณมากครับ ท่านอารอง…”

ชายชราทั้งสามคนพูดออกมาพร้อมกัน แต่ถึงจะเคยเรียกชายหนุ่มว่าท่านอามาก่อนแล้วแต่น้ำเสียงของพวกเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความอึดอัดใจอยู่ดี

จิ่วโยวไม่สนใจพิธีรีตองอะไรทั้งสิ้น เด็กหญิงรับเม็ดยาทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณไปกลืนลงคอทันที

จักรพรรดิยาและแม่หม้ายสาวก็รับเม็ดยาไป หลังกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งอยู่หลายรอบ

หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็สร้างม่านพลังห้าชั้น ซึ่งจะดูดซับมวลพลังทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีห้ากิโลเมตร ให้เข้ามาอยู่ในม่านพลังแห่งนี้

สามพี่น้องตระกูลเยวี้ย พร้อมด้วยพวกของจิ่วโยว เริ่มต้นนั่งลงโคจรพลังทันที

มวลพลังวิญญาณที่ถูกดูดซับเข้ามา ไหลรินเข้าไปสู่ร่างกายของคนทั้งหกอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณเหล่านั้นหมุนเวียนไปตามแขนขา เส้นเลือด และมวลกล้ามเนื้อในร่างกาย

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตกตะลึงไม่น้อยเมื่อพบเห็นวิธีการนี้

หัวใจของชายชรารู้สึกเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าเป็นโชคดีของเขาจริงๆ ที่ได้มารู้จักกับฉู่ชวิ๋น

เวลาผ่านไปจนถึงดึกสงัด ทั้งหกคนจึงได้ขยับตัวแล้ว

จิ่วโยวเป็นคนแรกที่เลื่อนระดับได้สำเร็จ เด็กหญิงเป็นสัตว์ปีศาจ ซึ่งมีร่างกายแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่แล้ว

คนต่อมาคือพี่ชายคนโตในตระกูลเยวี้ย เขาเลื่อนขึ้นมาเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6

คนทั้งหกทยอยลืมตาขึ้นมาทีละคน

ฉู่ชวิ๋นบอกให้ทุกคนนั่งหลับตาโคจรพลังต่อไป เพื่อเสริมสร้างรากฐานให้แข็งแรง

“น้องชาย เดี๋ยวฉันจะช่วยดูแลให้เอง เธอก็เริ่มโคจรพลังเถอะ” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงแข็งขัน

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้ารับไม่ปฏิเสธ เขารู้สึกโล่งอกไม่น้อยที่เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยจะรับหน้าที่คอยควบคุมการเติมพลังให้เขา หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็หยิบยาทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณออกมาห้าเม็ดและกลืนลงคอไปทั้งหมดทันที

“น้องชาย มันจะไม่เป็นไรหรือ?” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น ตัวเขาเองกินยาทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณไปแค่เพียงเม็ดเดียว ร่างกายก็แทบจะรับไม่ไหวแล้ว

ฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาว่าไม่เป็นไร เขานั่งลงและเริ่มโคจรพลัง พลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายของเขาคือพลังลมปราณจำแลงโบราณ ซึ่งมีอานุภาพรุนแรงมากกว่าพลังลมปราณทั่วไป ซ้ำกระดูกของเขายังเป็นกระดูกมังกร การเลื่อนระดับของเขาจึงต้องใช้ยาที่แรงมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า

ฉู่ชวิ๋นนั่งโคจรพลังในความเงียบ พลังวิญญาณไหลรินเข้าสู่ร่างกายของชายหนุ่มอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง

จิ่วโยวและคนอื่นๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยว่าพลังวิญญาณทั้งหมดถูก

ฉู่ชวิ๋นดูดซับเข้าไป จนไม่เหลืออะไรให้พวกเขาได้ดูดซับอีกแล้ว

“ท่านพ่อ อารองฝึกวิชาอะไรกันเนี้ย? ทำไมถึงดูดซับพลังไปมากมายขนาดนี้?” เยวี้ยหงโป๋ตกตะลึง ในขณะนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 แต่ก็ยังดูดซับพลังไม่เท่ากับเศษเสี้ยวของฉู่ชวิ๋น

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตวาดกลับมาว่า “อารองของแกเป็นคนธรรมดาซะที่ไหน อย่าลืมสิว่าเขามีฉายาจอมมารเชียวนะ”

“ในภายภาคหน้าแกต้องเคารพต่ออารองเป็นอย่างดี ถ้ารู้ว่ามีใครสร้างปัญหาให้แก่เขา ฉันจะขับไล่มันออกไปจากตระกูล” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ถึงแม้ว่าเยวี้ยหงโป๋และน้องชายจะไม่ชอบใจกับการต้องเรียกชายหนุ่มว่า “ท่านอา” แต่วิธีการของฉู่ชวิ๋นก็ทำให้พวกเขาเคารพนับถือจากใจจริง

การปรุงยาที่เคยพบได้แต่ในตำราโบราณกลายมาเป็นความจริง หลักฐานก็คือยาลูกกลอนเม็ดเล็กๆ ที่พวกเขากินเข้าไป มันช่วยให้เลื่อนระดับพลังขึ้นมาอีกหนึ่งระดับได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ลำพังการเลื่อนระดับด้วยตัวเอง คงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ถึง 20 ปีเป็นอย่างน้อย

ฟู่!

รอบกายของฉู่ชวิ๋นรายล้อมด้วยพลังลมปราณสว่างไสวเจิดจ้า มวลอากาศรอบตัวเขาปั่นป่วน พลังวิญญาณรวมตัวกันหมุนวนอยู่ในม่านพลัง

ทุกคนได้แต่ยืนจ้องมองด้วยความตกตะลึง ถึงแม้ตนเองจะโคจรพลังเสร็จแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าขยับตัวเลยสักนิด

ประเด็นสำคัญก็คือ ดูเหมือนว่าฉู่ชวิ๋นจะมีความมั่นใจในตัวเองมากเหลือเกิน เขากินยาทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณรวดเดียวถึงห้าเม็ด สรรพคุณของยาเหล่านี้ให้ผลข้างเคียงที่รุนแรงและอาจทำให้ร่างกายรับไม่ไหวก็เป็นได้

พื้นที่รอบตัวของฉู่ชวิ๋นในตอนนี้เต็มไปด้วยมวลพลังปั่นป่วน เนื่องจากมวลพลังในร่างกายของเขาถูกแบ่งแยกด้วยพันธนาการแห่งท้องฟ้าที่อยู่ตรงกลาง มันจึงกลายเป็นมวลพลังที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีม่วงและอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้าแต่ต่อเนื่อง มวลพลังเหล่านั้นระเบิดตัวและถูกดูดซับเข้าไปในร่างกาย ก่อนที่ขั้นตอนการทะลวงขั้นแก่นแท้ลมปราณทั้งแปดจุดที่อยู่ในร่างกายของชายหนุ่มจะเริ่มต้นขึ้น

แต่สิ่งนี้ทำให้การหายใจของฉู่ชวิ๋นเปลี่ยนไป มวลพลังกระแทกกระทั้นเข้าไปที่บริเวณขั้นแก่นแท้ลมปราณด้วยความรุนแรง มวลพลังแยกกระจายไปทั้งแปดจุด มันเป็นมวลพลังที่มาจากเม็ดยาบริสุทธิ์ และร่างกายของฉู่ชวิ๋นก็กำลังซึมซับมวลพลังจากเม็ดยาอยู่ตลอดเวลา

สิ่งที่ฉู่ชวิ๋นเป็นกังวลมากที่สุดก็คือพันธนาการแห่งท้องฟ้า มันเป็นเหมือนระเบิดเวลา เป็นสิ่งที่จะทำให้มวลพลังในร่างกายของเขารั่วไหลและการทะลวงขั้นของเขาก็อาจจะพังทลายได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้พันธนาการแห่งท้องฟ้าก็เคยช่วยชีวิตเขามาก่อนเช่นเดียวกัน แต่ที่สำคัญก็คือ มันก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายที่ไม่คาดคิด – พันธนาการแห่งท้องฟ้าทำให้ร่างกายของชายหนุ่มมีความบริสุทธิ์

และเนื่องจากยาทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณปรุงขึ้นมาจากหม้อปรุงยาจตุรเทพ เม็ดยาที่ได้ออกมาจึงมีความบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง พลังของมันเมื่อไหลผ่านพันธนาการแห่งท้องฟ้าก็ยิ่งบริสุทธิ์มากขึ้น แถมยังทำให้พันธนาการแห่งท้องฟ้ามีความอ่อนตัวและลดขนาดลงอีกด้วย

ฉู่ชวิ๋นไม่แปลกใจในข้อนี้เลย พันธนาการแห่งท้องฟ้าเป็นของวิเศษจากสวรรค์อย่างแท้จริง ไม่สามารถใช้กฎเกณฑ์ทั่วไปตรวจวัดได้ อีกทั้งยังมีความลึกลับและน่ากลัวมากยิ่งกว่าหม้อปรุงยาจตุรเทพเสียอีก

ฉู่ชวิ๋นไม่รีรอ รีบเคลื่อนย้ายพลังที่ไหลผ่านขั้นแก่นแท้ลมปราณในร่างกาย ให้ไหลเวียนไปตามเส้นเลือดด้วยความช่วยเหลือของพันธนาการแห่งท้องฟ้า

ฉู่ชวิ๋นนั่งโคจรพลังมาสามวันแล้ว

ตลอดสามวันที่ผ่านมา พวกของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยไม่เคยออกจากห้องโถงใหญ่ไปไหนเลย

แล้วหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไป

แล้วครึ่งเดือนก็ผ่านไป

ฉู่ชวิ๋นยังคงโคจรพลังไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นกับท่านอาหรือเปล่าครับ?” เยวี้ยหงโป๋อดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ ด้วยว่าไม่เคยพบเจอใครใช้เวลาในการเลื่อนระดับพลังยุทธ์ยาวนานขนาดนี้มาก่อน

แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้ สำหรับคนที่ฝึกวิชามาหลายสิบปี เมื่อกินยาทลายขั้นแก่นแท้ลมปราณเข้าไป พวกเขาก็สามารถเลื่อนระดับพลังได้ในเวลาแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมง ดังนั้น การเลื่อนระดับพลังของฉู่ชวิ๋นจึงดูยาวนานเป็นอย่างยิ่ง และตอนนี้ ชายหนุ่มก็นั่งนิ่งไม่ขยับตัวมาครึ่งเดือนแล้ว

เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ก็ยังพูดว่า “รอดูไปก่อน”

อีกครึ่งเดือนผ่านไป

คราวนี้ แม้แต่เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็ร้อนใจขึ้นมาแล้ว เขาทำท่าจะเดินเข้าไปปลุกฉู่ชวิ๋น

“อย่าไปรบกวนเขาเลย” จิ่วโยวรีบเดินเข้ามาขวางเอาไว้ เธอเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับฉู่ชวิ๋น เนื่องจากวิธีการฝึกวิชาของชายหนุ่มมีความโดดเด่นไม่เหมือนใครนั่นเอง

“ทุกคนไม่ต้องเป็นกังวล ฉู่ชวิ๋นปลอดภัยดี กว่าที่เขาจะเลื่อนระดับพลังได้ คงต้องใช้เวลาอีกครึ่งปี” แต่จิ่วโยวไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากไปกว่านี้ เนื่องจากวิธีการฝึกวิชาของเขากับเธอนั้นแตกต่างกัน

สุดท้าย จิ่วโยวก็พูดจนเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยใจเย็นลง

ทุกคนอยู่เฝ้าอารักขาฉู่ชวิ๋นตลอดเวลา แล้วหนึ่งเดือนก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ฉู่ชวิ๋นยังคงนั่งโคจรพลังไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

อันที่จริง ฉู่ชวิ๋นใกล้จะบรรลุขั้นพลังได้แล้ว ในตอนนี้ชายหนุ่มกำลังทะลวงไปสู่ขั้นพลังที่เรียกว่า แก่นแท้ลมปราณ มันเป็นขั้นพลังของผู้ฝึกตนเป็นเซียนเลยมีชื่อเรียกที่ไม่เหมือนผู้ฝึกเป็นจอมยุทธ์

แต่ก่อนที่จะบรรลุพลังได้สำเร็จ ฉู่ชวิ๋นก็ต้องล้มเหลวถึงสามครั้งสามครา ไม่ว่าจะทดลองใช้วิธีเก่าใหม่ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวเหมือนกันหมด ฉู่ชวิ๋นรู้สึกท้อแท้จนเกือบจะยอมแพ้อยู่แล้ว

จนสามเดือนต่อมา ในที่สุดฉู่ชวิ๋นก็ขยับตัว

วูบ!

ร่างกายของฉู่ชวิ๋นโอบล้อมไปด้วยม่านพลังสีม่วง พร้อมกันนั้น ก็เกิดรัศมีที่เป็นแสงสว่างสดใสแผ่ออกมารอบทิศทาง

ขนทุกเส้นบนร่างกายของชายหนุ่มลุกชัน รากผมเป็นประกายสดใส ผิวหนังของเขาเปร่งประกายเหมือนกับผิวหยก

เวลาที่หายใจเข้าออก ก็จะมีเปลวเพลิงพุ่งออกมาจากรูจมูกของเขาเหมือนกับลมหายใจมังกร จู่ๆก็มีลำแสงพุ่งออกมาลอยทะลุเพดานสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า หลังจากนั้นก็เกิดการระเบิดสั่นสะเทือน ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องคำรามลั่น

เปรี๊ยะ!

ม่านพลังที่ห้อมล้อมร่างกายของฉู่ชวิ๋นเกิดรอยแตกร้าวราวกับเปลือกไข่ ผ่านไปอีกไม่นาน ก็มีลำแสงพุ่งออกมาจากด้านในม่านพลัง ลำแสงเหล่านั้นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นจุดเดียว

ฉู่ชวิ๋นลืมตาขึ้นมาแล้ว เวลาที่ชายหนุ่มกระพริบตาแต่ละครั้ง ดวงตาก็จะเปร่งประกายออกมาจำนวนมาก ฉู่ชวิ๋นอ้าปากกว้าง แล้วดูดกลืนแสงเหล่านั้นกลับเข้าไปในร่างกายของตนเองอีกครั้ง

ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นยืน เส้นผมของเขาสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับ จอนผมสีขาวทั้งสองข้างปลิวไสวตามแรงสั่นสะเทือนของพลังลมปราณ ร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยสง่าราศี เสื้อผ้าสีขาวที่เขาสวมใส่อยู่ ยิ่งทำให้ฉู่ชวิ๋นดูเหมือนเทพเซียนที่ลอยลงมาจากสวรรค์จริงๆ

พวกของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง สายตาที่พวกเขามอง

ฉู่ชวิ๋นในตอนนี้ เป็นสายตาของมนุษย์ที่กำลังจ้องมองเทพเจ้าอยู่ไม่มีผิด

“สำเร็จไหม?” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยถามออกมาทันทีเมื่อได้สติ

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าอย่างแผ่วเบา

ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ในขั้นแก่นแท้ลมปราณระดับแรก แต่จุดตันเทียนในร่างกายของเขา ก็ยังคงแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน โดยที่มีพันธนาการแห่งท้องฟ้าแทรกอยู่ตรงกลางอยู่ดี

ในตอนนี้ พลังลมปราณของเขามีอยู่ด้วยกันสองสาย สายหนึ่งเป็นพลังลมปราณจำแลงมีลักษณะมวลพลังเป็นสีม่วง ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพลังลมปราณดั้งเดิม ซึ่งมีลักษณะมวลพลังเป็นสีขาว และมวลพลังทั้งสองสายนี้ กำลังเคลื่อนไหวไปทั่วร่างกายของเขา

ขั้นแก่นแท้ลมปราณ คือการรวมลมปราณบริสุทธิ์เข้าสู่จุดตันเทียน แต่ตอนนี้เขากลับมีทั้งลมปราณจำแลงที่เป็นสีม่วงและลมปราณดั้งเดิมที่เป็นสีขาว

ฉู่ชวิ๋นรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ดีใจมากที่ตนเองมีความแข็งแกร่งมากกว่าขั้นแก่นแท้ลมปราณทั่วไปอย่างแน่นอนเพราะเท่ากับเขามีลมปราณหนาแน่นกว่าปกติถึง 2 เท่า !

การที่จะเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นขั้นแก่นแท้ลมปราณไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้สำเร็จ

ด้วยเหตุนี้เอง พลังการต่อสู้ของเขาจึงเพิ่มพูนมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

ถ้าฉู่ชวิ๋นได้เผชิญหน้าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 อย่างเป๋าผิงอีกครั้งในตอนนี้ เพียงแค่เขายกมือขึ้นครั้งเดียว ร่างของอีกก็จะฝ่ายระเบิดทันที !

ขณะนี้ ปรากฏแรงกดดันแผ่ออกมาจากร่างกายของฉู่ชวิ๋นโดยไม่รู้ตัวจนทำให้พวกของเยวี้ยหงโป๋รู้สึกหายใจไม่สะดวก