ภาคที่ 3 ตอนที่ 14 ไม่อาจหลีกหนีได้

มรรคาสู่สวรรค์

นอกชิงซานมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง

บ้านของหลิ่วสือซุ่ยอยู่ที่นี่

ชาวบ้านธรรมดาย่อมไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต ชีวิตความเป็นอยู่ในหมู่บ้านมิได้ถูกรบกวนใดๆ

บิดาแซ่หลิ่วและมารดาแซ่หลิ่วยังคงทำงานทุกวัน ใช้ชีวิตเหมือนอย่างปีก่อนๆ แม้นจะแก่ชราลง แต่ร่างกายยังคงแข็งแรงอยู่ ผมดำฟันแข็งแรง ดูมีชีวิตชีวา

ภายในป่ามีผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักสองคนยืนอยู่บนยอดไม้

ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักคนหนึ่งกล่าวเย้ยหยันเล็กน้อย “จะต้องเป็นหลิ่วสือซุ่ยที่ขโมยเอายาวิเศษของชิงซานมาให้พวกเขากินแน่ อาศัยเพียงแค่เรื่องนี้ก็มีโทษถึงตายแล้ว แต่ดูแล้วเขาก็มีความกตัญญูจริงๆ”

ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักอีกคนหนึ่งใบหน้าขาวซีด กล่าวว่า “หลิ่วสือซุ่ยสังหารลั่วไหวหนาน สถานะในปู้เหล่าหลินจะต้องสูงมากอย่างแน่นอน พวกเราทำแบบนี้ ปู้เหล่าหลินจะปล่อยพวกเราหรือ?”

“กลัวอะไร? ที่นี่อยู่ใกล้ชิงซานขนาดนี้ ปู้เหล่าหลินกล้าปรากฎตัวที่ไหน?”

บำเพ็ญพรตไร้สำนักหัวเราะชั่วร้าย พลางกล่าว “พวกเรามัดพ่อแม่ของมันเอาไว้ บีบให้มันปรากฏตัวออกมา ถึงตอนนั้นค่อยฆ่าทิ้ง หรือไม่ก็ส่งตัวให้ชิงซาน รับเอาวิชาและอาวุธวิเศษจากสำนักจงโจวและชิงซาน วันหน้ายังจะมีใครกล้ามาหาเรื่องพวกเราอีก?”

เมื่อพูดจบประโยคนี้ เขาก็เตรียมจะพุ่งตัวลงไปจากยอดไม้เพื่อไปจับบิดาและมารดาแซ่หลิ่วเอาไว้ แล้วใช้วิธีชั่วร้ายบีบบังคับให้บอกเบาะแสของหลิ่วสือซุ่ย

ส่วนเรื่องที่ว่าหากบิดามารดาแซ่หลิ่วไม่รู้ถึงเบาะแสของหลิ่วสือซุ่ยจริงๆ พวกเขาควรจะทำอย่างไรเพื่อทำให้หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าพ่อแม่ของเขาอยู่ในมือตัวเอง…เขามิได้คิดถึงเลยแม้แต่น้อย

ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือบิดามารดาแซ่หลิ่วถูกพวกเขาทรมานจนตาย ไม่มีผลเสียอย่างอื่น

ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกผิดปกติ เมื่อมองลงไปยังใต้เท้า สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย

นี่เป็นช่วงปลายฤดูร้อน แต่ใบไม้บนยอดไม้กลับมีน้ำค้างแข็งจับตัว

หลังจากนั้น หว่างคิ้วของเขาพลันมีรูปรากฏขึ้นมารูหนึ่ง

จากนั้นครู่หนึ่ง โลหิตก็ไหลออกมาจากรูนั้น

บนขนคิ้วของเขามีน้ำค้างแข็งจับตัวชั้นหนึ่ง จากนั้นบนร่างกายก็ค่อยๆ มีน้ำค้างแข็งปกคลุม ลมหายใจได้หยุดลงไปแล้ว

กระทั่งความตายมาเยือน เขาก็ยังมองไม่เห็นลำแสงกระบี่ที่ทะลุผ่านศีรษะของตัวเองไปเลย

ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักอีกคนหนึ่งย่อมต้องมองไม่เห็นลำแสงกระบี่เช่นกัน

เขามองดูเพื่อนของตัวเองที่ตายลงไป ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด หวาดกลัวจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

ภายในป่ามีหิมะตกลงมา

ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักคาดเดาได้ถึงอะไรบางอย่าง ก่อนจะร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งภายในใจ หิมะไหล! หิมะไหล!

ร่างกายของเขาถูกความหนาวเย็นแข่แข็ง ไม่สามารถยืนอยู่บนยอดไม้ได้อีก ร่วงตกลงไปบนพื้น

เขาไหนเลยจะกล้าวิ่ง คุกเข่าอยู่ในพายุหิมะพลางโขกศีรษะอย่างแรงไปทางท้องฟ้าเพื่อแสดงความจริงใจของตน

ปัก! ปัก! ปัก! ปัก!

หน้าผากของเขาแตกออก เลือดสาดกระจายตามการเคลื่อนไหวของเขา

เขารู้สึกสับสน ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักชิงซานถึงได้ปกป้องครอบครัวของศิษย์ที่ถูกขับออกจากสำนัก

หรือนี่จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าอำนาจของชิงซานห้ามมิให้ใครมาละเมิด?

หิมะไหลราวน้ำตก

ความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูก

เขารับรู้ได้ถึงเจตจำนงนั้น ไหนเลยจะกล้ารั้งรอ ล้มลุกคลุกคลานหนีออกไป ขณะเดียวกันก็นำเอาเจตจำนงนั้นออกไปด้วย

—-หมู่บ้านเป็นพื้นที่หวงห้ามของชิงซาน ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าใกล้

……

……

ในจังหวัดเจี้ยนอันมีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง

หลิ่วสือซุ่ยสวมหมวกลี่เม่า เดินอยู่บนถนนหลักเพียงเส้นเดียวภายในเมือง

การถูกทั่วทั้งแผ่นดินตามไล่ล่านั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก แต่ก็มิได้ถือว่าอันตรายอะไร

เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้หลบหนีกระบี่ ข่ายพลังชิงซานก็ไม่มานั่งตามหาร่องรอยเขาอยู่ตลอดเวลา

จำนวนผู้บำเพ็ญพรตมีไม่มาก หน่วยงานทางราชการในโลกก็ยากที่จะพบตัวเขา

ขอเพียงเขาไม่ทำตัวโดดเด่น ไม่ไปสถานที่อย่างเมืองเจาเกอ ไม่เข้าใกล้สายแร่พลังวิญญาณในเขาลึกที่อาจจะมีสำนักบำเพ็ญพรต เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะถูกคนพบเข้า

การที่ปู้เหล่าหลินและพรรคมารเหล่านั้นสามารถอยู่รอดมาได้นานขนาดนี้ นั่นย่อมต้องมีเหตุผลอยู่

หลิ่วสือซุ่ยยืนอยู่หน้าแผงขายชา ในหัวครุ่นคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ก่อนจะขอชาเย็นมาชามหนึ่ง

บนถนนด้านหน้าพลันมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย

เขาหันมองไป ก่อนจะเห็นม้าตัวหนึ่งกำลังตกใจ มันลากตู้โดยสารที่อยู่ด้านหลังพุ่งชนไปชนมา ดูแล้วอันตรายเป็นอย่างมาก

ลมพัดผ้าม่าน ด้านในคล้ายมีครอบครัวหนึ่งอยู่ ผู้ชายกำลังออกแรงดึงบังเหียนเพื่อให้ม้าหยุด หญิงสาวใบหน้าขาวซีด เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกร่ำไห้ไม่หยุด

คนธรรมดาไม่สามารถหยุดม้าที่กำลังตกใจได้ คนที่จะหยุดม้าได้จะต้องเป็นผู้บำเพ็ญพรตเท่านั้น

น้อยครั้งที่ภายในเมืองจะมีผู้บำเพ็ญพรตปรากฏตัว ทันทีที่ปรากฎตัวก็จะเป็นเรื่องที่สะดุดตาอย่างมาก

—- ดังนั้นตัวเองไม่ควรจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ พลางเดินไปบนถนน

รถม้าคันนั้นดูแล้วกำลังจะชนกับข้างถนน รถเสียหายคนตาย

ลมพัดขึ้น หลิ่วสือซุ่ยปรากฏตัวขึ้นที่ข้างรถม้า ยื่นมือออกไปกอดคอม้าเอาไว้

ม้าที่อาละวาดเหมือนไฟป่าอันคุ้มคลั่งกลับถูกเขาใช้แขนที่ดูธรรมดารั้งเอาไว้ ไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้!

เสียงผัวะๆ ดังขึ้นเบาๆ ด้านล่างรองเท้าของเขามีฝุ่นฟุ้งขึ้นมา บนแขนเสื้อด้านซ้ายมีรอยขาดสองรอย

ม้าที่กำลังอาละวาดส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ขาหน้าอ่อนแรง คุกเข่าลงไป ถูกเขาโอบเอาไว้ในแขนซ้าย

รถม้าพลันหยุดลง ผู้ชายและหญิงสาวที่อยู่ในตู้โดยสารตกลงมา เด็กที่อยู่ในอ้อมอกของภรรยากระเด็นออกมา

หลิ่วสือซุ่ยยื่นมือไปคว้าเด็กคนนั้นเอาไว้ กอดเอาไว้ในแขนขวา

เสียงอุทานตกใจหายไป บนถนนเงียบกริบ

สายตานับร้อยคู่มองมาที่เขา

หลิ่วสือซุ่ยมั่นใจแล้วว่าม้าที่คุ้มคลั่งได้สติขึ้นมาแล้ว จึงเอาเด็กคืนให้แก่หญิงสาว จากนั้นเดินไปยังแผงชา ดื่มชาจนหมดชาม วางเงินทองแดงเอาไว้สองก้อน ก่อนจะเดินออกจากเมืองไป

ชาวบ้านบนถนนมองดูคนที่กำลังเดินออกจากเมืองไปผู้นั้น ตกตะลึงจนพูดไม่ออก จนกระทั่งคนผู้นั้นหายไปแล้ว เสียงพูดคุยจึงดังขึ้นมา

……

……

เมื่อมาถึงป่านอกเมือง หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกผิดปกติ เขามองไปยังส่วนลึกของป่าพลางกล่าวว่า “ออกมาเถอะ”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายหนุ่มสองคนและชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ดูผ่านโลกมามากก็เดินออกมา

ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มคนหนึ่งมองหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจว่า “หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนกำลังไล่ฆ่าเจ้าอยู่? เหตุใดจึงยอมเปิดเผยร่องรอยของตัวเองเพราะเรื่องแบบนี้?”

“ข้านึกว่าเมืองเล็กอยู่ห่างไกล น้อยนักที่จะมีผู้บำเพ็ญพรตปรากฏตัว ต่อให้ถูกคนพบร่องรอย แต่ถึงตอนนั้นข้าก็หนีไปไกลแล้ว”

หลิ่วสือซุ่ยอธิบายอย่างจริงจัง

ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “พวกเราและศิษย์พี่ผู้นี้มีเรื่องจะคุยกัน อยู่ในสำนักคุยไม่สะดวก จึงนัดกันออกมาคุยกันในเมือง จึงบังเอิญเห็นภาพนั้นพอดี”

หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ไม่ทราบสำนักของเจ้าคือ?”

ชายหนุ่มผู้นั้นชี้ไปยังชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพลางกล่าวว่า “พวกเราล้วนแต่เป็นศิษย์ของสำนักซานชิง”

หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกคุ้นหู  ในใจครุ่นคิดว่าน่าจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าว “ข้าเป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนัก”

“ทุกที่ล้วนแต่มีผู้บำเพ็ญพรตกำลังตามหาเจ้า แต่เจ้ากลับถูกพวกเราพบเข้าโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้ว่าพวกเราโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่”

บนใบหน้าของศิษย์สำนักซานชิงผู้นั้นเผยให้เห็นสีหน้าเศร้าใจ

ศิษย์สำนักซานชิงอีกคนยิ้มเยาะตัวเองพลางกล่าวว่า “พวกเรารู้ตัวว่ามิใช่คู่มือของเจ้า เพียงแค่คิดจะตามอย่างเงียบๆ ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกเจ้าพบเข้า”

หากหาหลิวสือซุ่ยพบ ก็มีโอกาสที่จะได้รับของรางวัลจากสำนักจงโจวและสำนักชิงซาน นี่ย่อมต้องเป็นเรื่องดี

ปัญหาอยู่ที่ว่ากระทั่งลั่วไหวหนาน หลิ่วสือซุ่ยก็ยังสังหารได้ ในเวลานี้อีกฝ่ายพบร่องรอยของพวกเขาแล้ว แล้วจะปล่อยให้พวกเขารอดชีวิตไปได้อย่างไร?

จู่ๆ ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้นมองหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าวว่า “บางทีข้าอาจจะคิดหาวิธีช่วยเจ้ายื้อเวลาได้หน่อย แต่แน่นอนว่าเจ้าต้องรับปากก่อนว่าจะไม่ฆ่าพวกเรา”

หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “ได้”

ศิษย์สำนักซานชิงสองคนนั้นไม่เข้าใจความหมายของเขา สีหน้างุนงงเล็กน้อย

จู่ๆ ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้นพลันลงมือ อาวุธวิเศษพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขาราวเงามืด โจมตีเข้าใส่ด้านหลังของศิษย์สำนักซานชิงทั้งสองคน

เสียงตู้มๆ ดังสนั่นสองเสียง ภายในป่ามีฝุ่นควันฟุ้งขึ้นมา

ศิษย์สำนักซานชิงสองคนยังไม่ตาย

เพราะกระบี่เล่มหนึ่งลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ

……………………