บทที่ 239-1 ความโกรธของสวี่หลิงอิน
สวี่เอ้อร์หลางไอ้เด็กนรก มันต้องไปก่อเรื่องไว้แน่ๆ มิเช่นนั้นอารองที่เอ็นดูข้าถึงปานนั้น คงไม่ให้ข้าดื่มของเลวร้ายนี่เป็นอันขาด…สวี่ชีอันวางถ้วยลง เช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา มองสวี่ซินเหนียนด้วยรอยยิ้มพร้อมสบถในใจ
เป็นเพราะพี่ใหญ่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดเฮงซวยของพี่ ที่ให้ข้าซื้อส้มเขียวหวานมาให้หลิงอินกิน ข้าสวี่ซินเหนียนจะนำพาความซวยมาสู่ตัวเองได้อย่างไร…สวี่ซินเหนียนแอบขมวดคิ้วและถากถางพี่ใหญ่ในใจเป็นร้อยครั้ง
สองพี่น้องก้มหน้ากินอาหารเพื่อเติมเต็มท้องที่มีน้ำซุปแสนเปรี้ยวโคลงไปมาอยู่
“ดูสิ สองพี่น้องสดชื่นขึ้นแล้ว เจริญอาหารกันใหญ่เชียว” อารองสวี่ซ้ำเติมและหัวเราะออกมาอย่างโผงผาง
สวี่ชีอันกับสวี่ซินเหนียนไม่สนใจชายวัยกลางคนที่ภายนอกดูใสซื่อ แต่จริงๆ แล้วจิตใจชั่วร้ายคนนี้
เมื่อความปรารถนาที่จะอาเจียนถูกระงับด้วยอาหาร สวี่ซินเหนียนก็ถอนหายใจออกมาและชะลอความเร็วในการกิน
“ฉือจิ้ว พี่ใหญ่มีปัญหาอยากขอคำชี้แนะ”
เนื่องจากเรือแห่งมิตรภาพระหว่างเขากับน้องชายคนเล็กเข้าสู่ภาวะวิกฤต สวี่ชีอันจึงพูดจาสุภาพขึ้นมาก
“มีเรื่องอะไร”
สวี่ซินเหนียนเหมือนแม่ของเขามาก เชิดคางอย่างเย่อหยิ่ง ดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงกล่าวเสริมว่า “เรื่องงี่เง่าหาเหาใส่หัวข้าไม่ทำนะ”
ตัวอย่างเช่น เตียวฉานของพี่ใหญ่อยู่ที่ไหน
เรื่องไร้สาระพรรค์นี้สวี่ชีอันลืมไปนานแล้ว เพราะฝูเซียงพึงพอใจพลังเอวของเขา ดังนั้นคนไร้ประโยชน์สวี่จึงมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากและค่อยๆ ทิ้งความคิดสุดบรรเจิดที่จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้นี้ไปเสีย
“เจ้าศึกษาหนังสือประวัติศาสตร์ รู้หรือไม่ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งเคยปลดฮองเฮา” สวี่ชีอันถาม
“นี่!” สวี่ผิงจื้อเคาะขอบถ้วยด้วยตะเกียบจนเกิดเสียงเคร้งและกล่าวเตือนว่า “แม้ว่าจะอยู่ที่บ้าน แต่ก็ต้องให้เกียรติเรียกท่านว่าฝ่าบาท ฝึกให้เป็นนิสัยซะ เวลาอยู่ข้างนอกจะได้ไม่หลุดปากโพล่งออกมาให้เป็นเรื่องเป็นราวได้”
หยวนจิ่งเป็นชื่อรัชสมัย
การเรียกจักรพรรดิด้วยชื่อรัชสมัยถือเป็นการหยามพระเกียรติอย่างใหญ่หลวง ซึ่งก็เหมือนกับที่คนจำนวนมากในยุทธภพชอบเรียกเว่ยเยวียนว่าเว่ยชิงอี
“จักรพรรดิหยวนจิ่งปลดฮองเฮาหรือ รู้สิ ตอนนั้นวุ่นวายกันใหญ่โตเลยล่ะ” สวี่เอ้อร์หลางเอ่ย
“นี่ เจ้า…” อารองสวี่มองไปทางลูกชาย
แต่หลานชายกับลูกชายของเขาต่างพร้อมใจกันเมินเขาและหารือกันต่อ
“เหตุใดถึงปลดฮองเฮาล่ะ”
“ข้าไม่รู้ ในหนังสือประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้เขียนไว้เช่นกัน แต่เป็นเรื่องราวใหญ่โตมากในตอนนั้น ทั้งขุนนางบู๊บุ๋นทั้งราชสำนักต่างตักเตือน ผู้ตรวจการกับขุนนางใกล้ชิดต่างดิ้นพล่าน อยากจะขี้เยี่ยวรดหัวจักรพรรดิหยวนจิ่งใจจะขาด เพื่อแสดงจุดยืนของตน” สวี่ซินเหนียนใช้ตะเกียบคีบอาหารกินแล้วพูดว่า
“สุดท้ายพอถูกตอกกลับด้วยลูกไม้ยอมตายของขุนนางเข้าไป แม้ว่าจะไม่ได้ปลดฮองเฮา แต่ฮองเฮาก็ถูกนำตัวไปขังไว้ในตำหนักเย็น ปีหยวนจิ่งที่สิบสี่ถึงจะได้ออกมา”
โดยปกติ ทุกคำพูดและการกระทำของจักรพรรดิ พฤติกรรมในท้องพระโรงของจักรพรรดิจะถูกอาลักษณ์บันทึกไว้
เรื่องจักรพรรดิหยวนจิ่งฝึกเต๋า ในช่วงสองสามปีแรก เหล่าอาลักษณ์บันทึกไว้ว่า ‘จักรพรรดิฝึกเต๋า ละเลยการเมืองและกิจการของราชสำนัก!’
หลังจากจักรพรรดิหยวนจิ่งอ่านก็โกรธมากและสั่งให้อาลักษณ์แก้ไข อาลักษณ์ยอมตายดีกว่ายอมจำนน โดยไม่คำนึงว่าจะถูก 404[1] แต่หลังจากโบยไปสามคนติดต่อกันและปลดออกหนึ่งคน เหล่าอาลักษณ์ก็คุกเข่าลงด้วยความอัปยศและแก้ไขเป็น
‘จักรพรรดิฝึกเต๋า การเมืองและกิจการของราชสำนักไม่มีผิดพลาด’
แต่ไม่กี่ปีต่อมา คนรุ่นหลังก็ชำระประวัติศาสตร์ส่วนนี้ขึ้นมาใหม่ ภาพของจักรพรรดิหยวนจิ่งส่วนใหญ่ถูกแก้ไขกลับไปเป็นแบบเดิม ถึงขั้นถูกป้ายสีด้วยซ้ำ
“เช่นนั้นหลังจากนั้นมันถูกปล่อยออกมาได้อย่างไร”
ตอนนั้นสวี่ชีอันเกรงใจที่จะถามฮว๋ายชิ่ง ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นประสบการณ์ที่แสนเจ็บปวดเกี่ยวกับพ่อแม่ของนาง แต่จะว่าไปแล้ว พ่อแม่ใครไม่เคยทะเลาะจนหย่าร้างกันบ้าง
“ปีนั้นเว่ยเยวียนพ่ายแพ่ให้กับเผ่าเถื่อนทางเหนือและพลิกกลับมามีชัยได้ จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงนิรโทษกรรมให้ทั่วใต้หล้าและถือโอกาสให้อภัยฮองเฮาด้วย” สวี่ซินเหนียนกล่าว
ข้าก็ว่าเหตุใดปีหยวนจิ่งที่ 13 ถึงคุ้นหูนัก ที่แท้ก็เป็นปีที่เว่ยเยวียนมีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้านี่เอง…ขออภัยเว่ยกง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะดูหมิ่นท่าน ที่แท้ก็เป็นปีที่เว่ยเยวียนแสดงพรสวรรค์อันโดดเด่นออกมาครั้งแรก ระหว่างทางที่ไปอวิ๋นโจว หมายเลขสี่เคยพูดไว้ว่า ในปีหยวนจิ่งที่ 13 หลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลในฤดูใบไม้ร่วง เว่ยเยวียนได้รับคำสั่งในยามวิกฤตให้นำทัพขึ้นไปทางเหนือ เขาใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็เอาชนะทหารม้าของชนเผ่าเถื่อนทางเหนือได้ ไม่แปลกที่ฮว๋ายชิ่งจะกลายเป็นลูกศิษย์ของเว่ยเยวียน เดิมทีฮองเฮาก็ได้รับความโปรดปรานจากเว่ยเยวียนด้วย…สวี่ชีอันเข้าใจในทันที
แม้จะไม่เข้าใจสาเหตุที่ปลดฮองเฮา แต่ก็ใช่ว่าจะคว้าน้ำเหลวเสียทีเดียว
อย่างน้อยนักสืบชื่อดังคนไร้ค่าสวี่ก็สามารถอนุมานจากเรื่องนี้ได้ แม้ว่าฮองเฮาจะกระทำความผิด แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรง มิเช่นนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งคงไม่ตามน้ำและอภัยโทษให้ฮองเฮา
“หนิงเยี่ยน หลังอาหารหากเจ้ามีเวลา ไปรับหลิงอินด้วย”
อาสะใภ้คล้ายจะไม่ลงรอยกับหลานชายผู้โชคร้าย แต่เวลาเรียกใช้ก็ไม่เกรงใจ
หนังสือระดับก่อปัญญาของเด็กเล็กๆ มีเพียงสองสามเล่มจึงไม่ได้เรียนทั้งวัน ประกอบกับนิสัยดื้อรั้นของเด็ก การกักตัวไว้ในห้องเรียนทั้งวันไม่เป็นประโยชน์
ดังนั้นจึงมักจะสิ้นสุดตอนยามอู่ หนึ่งเค่อ [2](12: 15 น.)
“เหตุใดถึงไม่ให้ฉือจิ้วไป” สวี่ชีอันตอบปัด
“ช่วงบ่ายฉือจิ้วต้องอ่านตำราที่ห้องหนังสือ” อาสะใภ้พูดอย่างไม่พอใจ “ข้าแค่ขอให้เจ้าช่วยนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นหาข้ออ้างนะ”
สวี่ชีอันชำเลืองมองนาง “อาสะใภ้ คืนผ้าแพรไหมทั้งหมดมาให้ข้า”
อาสะใภ้ยิ้มหวาน “ไอ้หยา หนิงเยี่ยน ไม่ต้องเกรงใจ มา กินข้าวๆ อาสะใภ้คีบไก่ให้เจ้านะ”
ตั้งแต่สวี่ชีอันเลื่อนตำแหน่งร่ำรวยขึ้นและซื้อบ้านใหม่ได้ อาสะใภ้ก็ไม่อาจยืดตัวตรงต่อหน้าเขาและพูดจาไม่มีเหตุผลได้อีกเลย
หลังจากสวี่ชีอันถามที่อยู่ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “น้องหลิงเยวี่ยไปกับข้าสิ ข้าจะพาพวกเจ้าสองคนไปเดินเล่นที่เมืองชั้นในพอดี ซื้อเครื่องประดับหรืออะไรสักหน่อย”
เมื่ออาสะใภ้ได้ยินก็พูดว่า “หนิงเยี่ยน หรือว่าให้อาสะใภ้ไปด้วยดีไหม”
เจ้าแค่อยากปล้นเงินของข้าล่ะสิ…สวี่ชีอันมองใบหน้าอันงดงามของอาสะใภ้ด้วยสายตาสงสัย “ได้ แต่ข้าจะไม่ซื้อเครื่องประดับแล้ว”
‘เจ้าเด็กน่ารำคาญนี่’…อาสะใภ้ตีหน้าขรึม “ข้าไม่ไปแล้ว”
“อารองดูสิ อาสะใภ้เอาเปรียบข้า น่าสงสารตัวข้าคงจะไม่ได้แต่งภรรยาเสียแล้ว ข้าต้องเก็บเงินไปแต่งภรรยานะ” สวี่ชีอันรีบฟ้องทันที
อารองสวี่พูดอย่างจนปัญญา “ข้าเพิ่งให้เจ้าไปห้าสิบตำลึงไม่ใช่หรือ”
“เจ้ายังมีหน้าพูดถึงเงินห้าสิบตำลึงอีกหรือ” อาสะใภ้ตบโต๊ะด้วยความโกรธ “เจ้าเอาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน คงไม่ใช่เงินที่ใครบางคนให้มาหรอกนะ”
สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว ถึงว่าล่ะวันนี้อารองจะอารมณ์ไม่ดี ที่แท้ก็ถูกอาสะใภ้ริบเงินส่วนตัวไปนี่เอง…แต่เจ้าก็ไม่ควรมาลงกับข้าสิ
เขาบ่นในใจ
…
โถงชิงหยุน
ชื่อของโถงชิงหยุนมีสองความหมาย หนึ่งคือขึ้นสู่ตำแหน่งสูงโดยไม่เปลืองแรง สองคือตั้งชื่อให้ขัดกับความร้อนของภูเขาชิงหยุนนอกเมืองหลวง
ผู้ที่ก่อตั้งสำนักศึกษาคือซิ่วไฉคนหนึ่งชื่อหลี่ปิ่งอี้ อายุห้าสิบปี ดวงตาของเขาเริ่มฝ้าฟาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงลดเกียรติลงมาสอนเด็กเล็กๆ
ค่าเล่าเรียนนั้นแพงหูฉี่และต้องจ่ายทุกๆ สามเดือน
หลี่ปิ่งอี้มีกฎว่า หากในครอบครัวมีปัญญาชน ค่าเล่าเรียนจะลดลงครึ่งหนึ่ง และหากในครอบครัวมีคนที่มีตำแหน่งราชการอยู่ ค่าเล่าเรียนจะลดลงอีกครึ่งหนึ่ง
แน่นอนว่า ต้องเป็นขุนนางบุ๋น ขุนนางบู๊ไม่นับ
ด้วยกฎข้อนี้ หลี่ปิ่งอี้จึงสร้างโถงชิงหยุนให้เป็น ‘สำนักศึกษาปฐมวัยชั้นสูง’ ครอบครัวเศรษฐีที่เหลือกินเหลือใช้เหล่านั้นจึงคิดว่ากฎข้อนี้น่าสนใจและช่วยขับเน้นความเหนือชั้นของตนให้ชัดขึ้น ประกอบกับหลี่ปิ่งอี้ก็มีชั้นเชิงด้านการสอนจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ครอบครัวเศรษฐีที่ไม่มีเวลาสอนลูกของตัวเองจึงยอมส่งเด็กเล็กๆ มาที่โถงชิงหยุน
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน หลี่ปิ่งอี้ได้พบกับศัตรูในชีวิตของเขา เป็นนักเรียนที่สอนยากที่สุดในชีวิตของเขา
“สวี่หลิงอินยืนขึ้น!”
ตรงแท่นบรรยาย อาจารย์หลี่คว้าไม้ไผ่มาตีโต๊ะเสียงดังปัง
…………………………………………………
[1] 404 เป็นศัพท์อินเทอร์เน็ตของจีน แปลว่าหายตัวไป หรือเงียบหายไปเฉยๆ ไม่มีการตอบกลับ
[2] (12: 15 น. ตามต้นฉบับของผู้แต่ง) ยามอู่ คือเวลา 11.00-13.00 น. หนึ่งเค่อ เท่ากับ 15 นาที