ตอนที่ 214 คืนดี

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 214 คืนดี

ทันใดนั้นริมฝีปากของมู่จวินฮานที่แดงราวกับสีเลือดก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยซึ่งมากพอที่จักทำให้คนหลงใหล

“ข้า ซื่อจื่อ ดูดีหรือไม่ ? ”

เขากล่าวเบา ๆ ข้างหูของอันหลิงเกอ เสียงทุ้มต่ำฟังมีเสน่ห์ราวกับมีความหมายอย่างอื่นที่มิชัดเจนแฝงมาด้วย

อันหลิงเกอคล้ายโดนทำให้ลุ่มหลงจึงพยักหน้ารับโดยมิรู้ตัว

ขณะนั้นเองมู่จวินฮานก็ยกมือขึ้นแล้วโยนนางทิ้งลงในทะเลสาบ

‘ตูม ! ’

เสียงตกน้ำในครั้งนี้ดังกว่าเมื่อครู่เสียอีก อันหลิงเกอถูกโยนลงน้ำแบบมิทันตั้งตัวจึงเผลอกลืนน้ำลงไปหลายอึก จากนั้นก็ถลึงกายขึ้นมาเหนือน้ำด้วยความอับอาย

นี่มันเรื่องอันใด ?

อันหลิงเกอรู้สึกโกรธยิ่งนัก กำลังจักระบายโทสะกับคนตรงหน้าก็เห็นใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย อันหลิงเกอเข้าใจเหตุการ์ณได้ทันที ดังนั้นจึงระงับโทสะเอาไว้แล้วทำใบหน้าเชื่อฟังพร้อมว่ายน้ำไปทางมู่จวินฮาน

ถึงตอนนี้จ้าวหลานหยู่ก็ขึ้นฝั่งพอดี “คุณหนูใหญ่อัน…” เขากล่าวกับอันหลิงเกอด้วยท่าทีเป็นห่วงเป็นใย

อันหลิงเกอแอบกลอกตา อย่าคิดว่านางมิเห็นตอนที่เขาส่งสายตาให้อันหลิงอี ในเมื่อเขาอยากแสดงละครหลอกนางก็ควรมีความสามารถในการเล่นละครเสียก่อน !

เรื่องในวันนี้เป็นแค่แผนการที่อันหลิงอีกับจ้าวหลานหยู่วางไว้ เป้าหมายคือต้องการให้นางตกหลุมรักจ้าวหลานหยู่บุรุษที่ชั่วช้าผู้นี้

เมื่อชาติที่แล้วนางโง่เขลาจึงถูกสองแม่ลูกหลอกลวง

ทว่าถูกหลอกเพียงครั้งเดียวก็มากพอแล้ว เป็นไปได้เยี่ยงไรที่นางจักตกหลุมพรางเดิมอีกครั้ง ?

อันหลิงเกอมิได้มองจ้าวหลานหยู่ แต่มองไปที่ร่างสมบูรณ์แบบของมู่จวินฮานด้วยแววตาซาบซึ้งและทำท่าทีเขินอายออกมา “ท่านมู่ซื่อจื่อช่วยชีวิตข้าไว้ ข้ามิรู้จักตอบแทนเยี่ยงไร คงได้แต่ใช้ทั้งชีวิตตอบแทนแล้วเจ้าค่ะ”

มู่จวินฮานเหลือบตามองอันหลิงเกอเล็กน้อย เห็นดวงตาของนางซ่อนแววขบขันเอาไว้ ในใจของเขาคิดว่านางที่เป็นเช่นนี้ช่างแตกต่างจากท่าทางสงบนิ่งในยามปกติ ทำให้นางดูมีเสน่ห์ขึ้นมา เขาคิดเยี่ยงนั้นแต่ใบหน้ายังนิ่งมิเปลี่ยน “หากคุณหนูใหญ่อันมิได้ใช้สายตาเช่นนั้นมองข้า ข้าคงเชื่อเจ้าไปแล้ว”

กล่าววาจาไร้สาระอันใด !

อันหลิงเกอเกือบสำลักกับคำพูดของมู่จวินฮาน จึงเก็บสายตากลับด้วยรอยยิ้มแห้ง “ท่านมู่ซื่อจื่อเป็นที่รักและเอ็นดูของท่านอ๋องมู่และไทเฮามาตั้งแต่เด็ก ย่อมต้องเคยเห็นของล้ำค่ามากมาย แม้ว่าจวนโหวจักนำวัตถุโบราณ ภาพวาดหรือกระบี่ล้ำค่ามาตอบแทนก็เกรงจักมิเข้าตาซื่อจื่อ ฉะนั้นข้าจึง…”

อันหลิงเกอพลันสะอึกสะอื้นขึ้นมา ใบหน้างดงามดูอ่อนแอมากขึ้นราวกับว่านางกำลังได้รับความลำบากอันใดสักอย่าง “ในเมื่อท่านมู่ซื่อจื่อรังเกียจ, ข้า อันหลิงเกอ ก็คงต้องขอตัวก่อน”

พอกล่าวจบน้ำตาของอันหลิงเกอก็ไหลลงมา นางมีใบหน้าเล็กเรียวที่ละเอียดอ่อนและสวยงามอย่างยิ่งนัก แม้ตอนนี้กำลังหลั่งน้ำตาก็ยังดูงดงามจนน่าใจหาย

จ้าวหลานหยู่รีบร้อนขึ้นมา เขาย่อมทนเห็นสาวงามตรงหน้าร้องไห้มิไหว

ในยามนี้อันหลิงอีได้ลงจากเรือมาขึ้นฝั่งแล้ว พอเห็นแววตาเห็นอกเห็นใจของจ้าวหลานหยู่ นางจึงรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างช่วยมิได้

ทั้งที่จ้าวหลานหยู่เป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง แต่ปฏิบัติต่ออันหลิงเกออย่างอ่อนโยนนัก ทีกับนางชอบทำราวกับบ่าวคนหนึ่ง ต้องเป็นเพราะใบหน้าที่งดงามราวปิศาจจิ้งจอกของอันหลิงเกอเป็นแน่ !

มิช้าก็เร็วนางจักทำลายใบหน้านั้นเสีย ดูสิว่ายังสามารถยั่วยวนท่านพี่ ท่านมู่ซื่อจื่อและแม่ทัพน้อยลู่ได้เยี่ยงไรอีก !

ทว่ามู่จวินฮานสะบัดปลายแขนเสื้อ อันหลิงเกอก็ตกไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง

“ข้าจักส่งคุณหนูใหญ่อันกลับเรือนเอง”

น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชา อันหลิงเกอที่อยู่ในอ้อมกอดกลับยกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาเล็กน้อย หางตาและหว่างคิ้วปรากฏให้เห็นความเจ้าเล่ห์

นางรู้ดีว่ามู่จวินฮานต้องมิยอมปล่อยให้นางเดินกลับคนเดียวทั้งที่ตัวนางยังเปียกอยู่เยี่ยงนี้

เมื่อเดินทิ้งห่างจากสองคนนั้นไกลพอสมควรแล้ว ใบหน้าที่ทำเป็นเย็นชามิชอบใจของมู่จวินฮานจึงจางหายไป

เขากอดอันหลิงเกอไว้ราวกับกอดของล้ำค่าหายากชิ้นหนึ่ง แล้วค่อย ๆ เดินไปทีละก้าวอย่างมิรีบร้อน

หลังจากนั้นเสียงใสกระจ่างของอันหลิงเกอก็ดังขึ้นจากอ้อมอก “เรื่องโรคระบาดต้องขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”

วันนั้นมู่จวินฮานเดินจากไปด้วยความโกรธ นางยังคิดว่าระหว่างทั้งสองได้จบลงแล้วเสียอีก

คาดมิถึงว่ามู่จวินฮานที่บอกว่าจักมิสนใจนาง กลับไปขอร้องแทนท่านพ่อครั้งแล้วครั้งเล่า เอาตัวเข้ามาเสี่ยง แม้ว่าอาจทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว

จริงอยู่ที่ฮ่องเต้มิได้ตั้งใจสังหารพวกเขาในตอนนี้ แต่การอยู่ในคุกย่อมมิได้สุขสบายอันใด

หากไร้มู่จวินฮานก็มิรู้ว่าพวกนางจักถูกปล่อยตัวออกมาเมื่อไร

มู่จวินฮานมิตอบ เขาทำเหมือนมิได้ยินคำกล่าวของนาง

ร่างกายของอันหลิงเกอถูกปกคลุมด้วยแขนเสื้อของเขา ใบหน้าฝังอยู่ในอ้อมอกของอีกฝ่าย

“ข้ารู้ว่าครั้งนี้ข้าประมาทเกินไป ต่อไปจักมิเกิดขึ้นอีกเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอกล่าวขึ้นมาอีก ในใจรู้สึกประหม่าเล็กน้อย

วันนั้นนางตั้งใจตัดความสัมพันธ์กับมู่จวินฮานและคิดว่าตนจักมิเสียใจแน่

แต่พอเห็นมู่จวินฮานอีกครั้ง นางถึงรู้ว่าคิดถึงเขามากเพียงใด กลัวว่าจักมิมีโอกาสได้พบเขาอีกมากแค่ไหน

แต่แววตาที่เขามองมาตอนยืนอยู่ข้างกายอันอิงเฉิงในเวลานั้น ช่างดูเย็นชาราวกับคนมิเคยรู้จัก

อันหลิงเกออยากหาโอกาสอธิบายต่อเขา แต่ตอนนั้นมีอันอิงเฉิงอยู่ด้วย คำเหล่านี้จึงมิได้ถูกเอ่ยออกมา

กระทั่งตอนนี้ได้เอ่ยออกมาแล้ว ทว่ามู่จวินฮานก็ยังมิกล่าวอันใด

หัวใจของอันหลิงเกอยิ่งปั่นป่วนมากขึ้นไปอีก ตั้งแต่นางกลับชาติมาเกิดยังมิเคยกังวลถึงเพียงนี้มาก่อน นางกลัวยิ่งนักว่าจักสูญเสียคนสำคัญไป

นางเงยหน้าขึ้นจากอ้อมอกของมู่จวินฮานและมองสบดวงตาที่ล้ำลึกของเขาเข้าพอดี

“กลัวหรือไม่ ? ”

เขาเอ่ยถามขึ้นโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ แต่อันหลิงเกอเข้าใจความหมายได้ดี

กลัวหรือไม่ที่ถูกขังในคุก ?

อันหลิงเกอเม้มปาก ดวงตาดำขลับเป็นประกายงดงาม “กลัวและมิกลัวเจ้าค่ะ”

ราวกับว่านางได้ตัดสินใจแล้ว ใบหน้างดงามพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ

“ข้ามิกลัวถูกขังไว้ในคุก มิกลัวงู หนูหรือแมลงอันใดทั้งนั้น แต่ข้ากลัวโรคระบาด กลัวราษฎรได้รับความทุกข์ทรมานและกลัวว่าจักมิสามารถพบท่านได้อีก”

อันหลิงเกอมิเคยกล่าวคำที่ฟังแล้วหวานเลี่ยนเยี่ยงนี้มาก่อน เมื่อพูดมันออกไปแล้ว แม้กระทั่งใบหูที่ขาวราวหิมะก็ยังเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

อาจเพราะคนตรงหน้าเป็นบุรุษที่นางรัก อันหลิงเกอจึงกล่าวคำเหล่านี้ออกมาในที่สุด

ตอนอยู่ในคุก นางก็คิดไว้แล้วว่าหากสามารถพบมู่จวินฮานอีกครั้ง นางต้องเอ่ยความในใจออกมาให้ชัดเจน มิปล่อยให้ตนเสียใจและเสียดายไปชั่วชีวิต

เมื่อได้ฟัง ดวงตาล้ำลึกของมู่จวินฮานเป็นประกายราวกับดวงดาวนับพันนับหมื่นดวงบนท้องฟ้า

มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวโทษนางว่า “ดังนั้นเจ้าจึงตั้งใจให้อันหลิงอีผลักลงน้ำเพื่อหาโอกาสเอ่ยคำเหล่านี้กับข้าหรือ ? ”

นางโดนอันหลิงอีผลักตกน้ำโดยมิทันตั้งตัวต่างหาก!

ดวงตาของอันหลิงเกอจ้องมาที่เขา “เยี่ยงนั้นท่านมู่ซื่อจื่อก็จงใจรออยู่ตรงนั้นเพื่อเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงามใช่หรือเจ้าคะ ? ”

คำพูดของนางทำให้มู่จวินฮานหัวเราะเสียงต่ำในลำคอแล้วโน้มตัวลงประกบริมฝีปากเข้ากับนาง

“ช่างดีเหลือเกินที่เจ้าปลอดภัย”