ตอนที่ 282 อารมณ์ความรู้สึก

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เฉิงอี้เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีที่ยังอยู่ในวัยหน้าบางผู้หนึ่ง พอถูกเฉิงนั่วเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสบายๆ เช่นนี้ ดวงหน้าก็ขึ้นสีแดงเรื่อในทันที กล่าวว่า “เจ้าสนใจแต่เรื่องของเจ้าเองก็พอ จะสนใจเรื่องของข้าไปทำไม”

เฉิงนั่วหัวเราะฮ่าๆ ดวงหน้าปรากฏความพึงพอใจเล็กน้อย

ตอนแรกเขาไม่พอใจกับการแต่งงานนี้

อู๋เป่าจางเป็นผู้ที่ชอบยกย่องผู้สูงศักดิ์และเหยียบย่ำผู้ต่ำต้อยอยู่บ้าง ชื่อเสียงในแวดวงของพวกเขาก็ไม่ได้ดีเลิศเป็นพิเศษ แต่มารดาก็เคยกล่าวเช่นกันว่า มีใครบ้างที่ไม่ยกย่องผู้สูงศักดิ์และเหยียบย่ำผู้ต่ำต้อยเล่า ก็เหมือนกับจวนห้าของพวกเขา และจวนสี่ก็ด้วย มิใช่ว่าต้องใช้ชีวิตด้วยการยกยอจวนหลักกับจวนรองหรอกหรือ อย่างไรก็ตาม บางคนทำได้อย่างแนบเนียน บางคนทำไปอย่างโจ่งแจ้งจนผู้คนมองออกก็เท่านั้น แต่ถ้าหากว่าเขากลายเป็นบุตรเขยที่น่าภาคภูมิใจของเจ้าเมืองอู๋ และมีตระกูลอู๋หนุนหลังได้ล่ะก็ ต่อให้อนุที่อยู่ข้างนอกกับบุตรที่นางให้กำเนิดมาจะร้ายกาจเพียงใด ยามที่แบ่งมรดกก็ไม่มีส่วนแบ่งของพวกเขา ในบรรดาญาติพี่น้อง ก็ต้องมองเขาด้วยสายตายกย่อง

สำหรับคนอื่นเขาไม่รู้ แต่เฉิงจวี่จะต้องอิจฉาเขาอย่างแน่นอน

ทั้งยังขอให้เขาช่วยสอดส่อง ดูว่าจะช่วยหาตำแหน่งงานสักตำแหน่งหนึ่งในศาลว่าการให้เฉิงจวี่ได้หรือไม่

ฉะนั้นบัดนี้เฉิงนั่วคิดว่า แต่งงานกับคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ก็ไม่เลว ยิ่งกว่านั้นเขาได้พบคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋แล้ว นางมีรูปโฉมงดงาม ทั้งพูดจาฉะฉานและเข้าสังคมเก่ง พาออกไปที่ไหนก็ไม่รู้สึกขายหน้า

ทว่าเฉิงอี้กลับรู้สึกใจเสาะเล็กน้อย

มารดาเรียกเขาไปต่อว่ายกหนึ่ง สุดท้ายกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่เชื่อฟังเช่นนี้ ข้าก็คงช่วยเจ้าสู่ขอเสาจิ่นจากอาเขยของเจ้าไปนานแล้ว!”

ตอนนั้นเขารู้สึกเก้อกระดากยิ่ง รีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านคงยังไม่ได้กล่าวอะไรกับท่านอาเขยหรอกกระมัง”

มารดาโมโหยิ่งนัก ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตอบไปว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเสาจิ่นไม่ควรค่าที่จะแต่งงานกับเจ้าอย่างนั้นหรือ

“ไม่ใช่ขอรับๆ” เขาโบกมือรัวๆ “ขะ…ข้ามองนางเป็นน้องสาวมาตลอด…”

มารดากล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “นางหาใช่น้องสาวแท้ๆ ของเจ้า!”

เขาได้แต่ยิ้มเจื่อน

หากว่าเขาเลือกได้ล่ะก็ เขาขอแต่งจี๋อิ๋งเป็นภรรยาเสียจะดีกว่า

เขามองแล้วก็รู้สึกวุ่นวายใจ

เสาจิ่นนั้น เขาเห็นนางเติบโตมาตั้งแต่ยังเล็ก…พอนางโตขึ้นแล้ว ยังว่ากล่าวสั่งสอนเขาประหนึ่งเป็นน้องชายอีก…จึงจินตนาการภาพทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากันไม่ออกจริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เขาเพิ่งถูกจี๋อิ๋งทุบตีไปครั้งหนึ่ง เสาจิ่นย่อมต้องผิดหวังในตัวเขาเป็นแน่ แล้วจะแต่งงานกับเขาได้อย่างไร

อารมณ์ของเฉิงอี้ซับซ้อนยุ่งเหยิงยิ่ง พูดไม่ออกว่าโมโหหงุดหงิดหรือเสียใจกันแน่

ในเรือนหลักของเรือนหานปี้ซาน งานเลี้ยงในศาลาทิงอวี่ยังไม่ทันเลิก ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ทราบข่าวแล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเงียบงันอยู่นาน กล่าวกับโจวเสาจิ่นที่กำลังเลือกผ้าที่จะใช้ตัดเย็บอย่างเริงร่าในห้องชั้นนอกว่า “เสาจิ่น ชุดสำหรับฤดูใบไม้ร่วงของข้า เจ้าช่วยตัดสินใจให้เลยก็แล้วกัน ข้ารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จะกลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อย”

โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ รับรู้ถึงความผิดปกติของฮูหยินผู้เฒ่ากัวในทันที แม้ทุกคนต่างขานรับยิ้มๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แต่พอฮูหยินผู้เฒ่ากัวเข้าไปในห้องแล้วต่างก็มารวมตัวกัน

“ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไรไปหรือ”

“เมื่อครู่ยังอารมณ์ดีอยู่เลย! ต้องเป็นเพราะสื่อมามาไปพูดอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่าแน่ๆ”

“คงมิใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ศาลาทิงอวี่หรอกกระมัง ครั้งนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวของพวกเราไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยง คงไม่ได้ทำให้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองขุ่นเคืองหรอกกระมัง”

“หา! จะทำให้ขุ่นเคืองได้อย่างไรเล่า มีนายท่านสี่อยู่ด้วย ท่านผู้นำตระกูลจวนรองยังจะกล้าตำหนิฮูหยินผู้เฒ่ากัวของพวกเราอีกหรือ”

“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น…ข้าเพียงรู้สึกไม่ค่อยดีเท่านั้น…”

โจวเสาจิ่นฟังปี้อวี้และคนอื่นๆ กระซิบกระซาบคุยกันเงียบๆ แง้มผ้าม่านของห้องชั้นในขึ้นเล็กน้อยอย่างเบามือเบาเท้า

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลับตานอนอิงหัวเตียง ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ห่มผ้านวมทอลายนกกระเรียนมงกุฎแดงสีน้ำเงินไพลิน หมุนลูกประคำไม้จันทร์สิบแปดเม็ดในมือไปด้วยอย่างรวดเร็ว

โจวเสาจิ่นกวักมือเรียกชุนหว่าน บอกให้นางไปที่ห้องครัวแล้วยกต้มถั่วแดงใส่เม็ดบัวถ้วยหนึ่งมา ห้องครัวเล็กของเรือนหานปี้ซานมักจะตระเตรียมของหวานหลากหลายชนิดเอาไว้เสมอ

ชุนหว่านรีบรุดออกไป ไม่นานนักก็ถือถาดเคลือบเงาสีแดงวาดลายดอกไห่ถังสีทองรองต้มถั่วแดงใส่เม็ดบัวเข้ามา

โจวเสาจิ่นรับถาดมา เอ่ยเบาๆ ที่ปากประตูว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ”

ตอนที่ชุนหว่านเดินเข้ามา เจินจูและคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องต่างเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของนางเอาไว้แล้ว กระทั่งตอนที่นางเอ่ยเรียก ต่างกลั้นหายใจมองโจวเสาจิ่นอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย ประหนึ่งกลัวว่าเสียงนี้จะรบกวนฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ปาน

ภายในห้องเงียบงันไร้สุ้มเสียง

โจวเสาจิ่นเอ่ยเรียกเบาๆ อีกครั้ง

ยังคงไม่มีเสียงตอบ

นางหมุนกายกลับมาอย่างผิดหวังยิ่ง ส่ายศีรษะให้เจินจูและคนอื่นๆ

สีหน้าของเจินจูและคนอื่นๆ ล้วนเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา

นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นหม่นหมองลง กำลังจะหมุนกายคืนถาดรองให้ชุนหว่าน ทว่าภายในห้องชั้นในกลับมีเสียงอันน่าเกรงขามแต่แฝงความอ่อนโยนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวดังขึ้นมาว่า “เสาจิ่นหรือ เข้ามาสิ”

นางรู้สึกร่าเริงขึ้นมาในทันใด ส่งสายตาให้เจินจูและคนอื่นๆ ไปด้วย ขานรับอย่างนุ่มนวลไปด้วย ว่า “เจ้าค่ะ” พลางกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นข้าจะเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ!”

เจินจูและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกยินดี ส่งสายตาให้โจวเสาจิ่น เป็นสัญญาณให้นางช่วยปลอบใจฮูหยินผู้เฒ่ากัวดีๆ

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า ยกของหวานเข้าไปในห้องชั้นใน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางลูกประคำในมือลง ดวงหน้าปรากฏความสงบส่วนหนึ่ง ยิ้มพลางถามนางว่า “เจ้ายกอะไรมาหรือ พวกเราเพิ่งจะรับประทานมื้อเที่ยงไป ข้ายังกินอะไรไม่ลง”

“เป็นต้มถั่วแดงใส่เม็ดบัวเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นยิ้มละไมพลางนั่งลงบนตั่งตัวเล็กปักลวดลายที่หัวเตียง “ให้พวกเขาตักมาเพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น บางครั้งเวลาที่ข้าอารมณ์ไม่ดี ได้รับประทานของหวานสักเล็กน้อย จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วเลยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวประหลาดใจยิ่ง ครุ่นคิดแล้วยกถ้วยของหวานขึ้นมากินสองสามคำ

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านอยากจะเอนกายนอนพักสักครู่หรือไม่เจ้าคะ ข้าช่วยนวดขาให้ท่านดีหรือไม่ หรือนวดไหล่ก็ได้ การนวดเช่นนี้จะทำให้ท่านนอนหลับได้เร็วยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องหรอก!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจับมือของนางพลางถอนหายใจ กล่าวว่า “เรื่องพวกนี้ให้พวกเจินจูทำก็ได้”

แต่พวกเจินจูไม่ได้ใจกล้าเหมือนกับนาง

ทั้งกลัวจะติดร่างแหไปด้วย

ทำอะไรก็กลัวจนหัวหดอย่างช่วยไม่ได้

“ข้ารู้ว่าพวกเจินจูต้องนวดเก่งกว่าข้า” โจวเสาจิ่นตั้งใจจะหันเหความสนใจของฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ข้าเพียงอยากอยู่เป็นเพื่อนท่านเจ้าค่ะ”

อยู่เป็นเพื่อนนาง!

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะลึงงัน

นานเท่าไรแล้วที่ไม่มีผู้ใดกล่าวถ้อยคำเช่นนี้กับนาง

นางรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ พยักหน้าช้าๆ ไม่หยุด

โจวเสาจิ่นดีใจยิ่งนัก วางถ้วยลง แล้วปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัวพักผ่อน ค่อยๆ นวดขาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างไม่หนักไม่เบา

ผ่านไปสักพัก ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็ผล็อยหลับไปจริงๆ

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งใจยิ่งนัก

ยามที่เพิ่งเกิดเรื่องในสวนดอกไม้ขึ้น ทุกคืนๆ นางล้วนนอนไม่หลับ ฝานหลิวซื่อก็ช่วยนวดให้นางเช่นนี้ นางถึงได้ข่มตานอนหลับได้หนึ่งถึงสองชั่วยาม

นางห่มผ้านวมคลุมไปจนถึงเท้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว แล้วลุกขึ้นมาอย่างเบามือเบาเท้า

ทว่าครั้นหมุนกายไปกลับเห็นเฉิงฉือ

เขายืนตัวตั้งตรงอยู่ที่ปากประตู มือข้างหนึ่งยังเลิกผ้าม่านค้างอยู่ สายตามองตรงเข้ามาในห้องชั้นใน ทว่าสีหน้ากลับดูเหม่อลอย

โจวเสาจิ่นตกใจสะดุ้งตัวโหยง

เป็นครั้งแรกที่นางเห็นท่านน้าฉือมีสีหน้าเช่นนี้

นางเอ่ยเรียกเบาๆ อย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านน้าฉือ”

เฉิงฉือคืนสติกลับมา ทันใดนั้นก็ฟื้นคืนท่าทางที่สุขุมและเก็บความรู้สึกนึกคิดพลางพยักหน้าให้นางอย่างยิ้มๆ

จากนั้นก็เลิกผ้าม่านสูงขึ้นอย่างคล่องแคล่ว

โจวเสาจิ่นหน้าแดงระเรื่อพลางกล่าว “ขอบคุณเจ้าค่ะ” แล้วเดินออกจากห้องชั้นใน

ข้างนอกมีเพียงเจินจูคนเดียวที่อยู่ปรนนิบัติ สาวใช้คนอื่นๆ ล้วนไม่เห็นแม้แต่เงา

“นั่งลงสิ!” เฉิงฉือชี้ตั่งหลัวฮั่นที่อยู่ข้างหน้าต่าง

โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณเสียงเบา แล้วนั่งลงไป

เฉิงฉือลังเลเล็กน้อย นั่งลงตรงข้ามกับนาง

เจินจูยกน้ำชาและของว่างมาขึ้นโต๊ะ แล้วถอยออกไป

เฉิงฉือถึงได้กล่าวว่า “ข้าได้ยินพวกเจินจูบอกว่า เจ้ากำลังปลอบประโลมท่านแม่ของข้าอยู่…ขอบคุณเจ้ามาก”

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะๆ” โจวเสาจิ่นรู้สึกได้ว่าดวงหน้าร้อนผะผ่าวเป็นอย่างมาก กล่าวอย่างขัดเขินว่า “ขะ…ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกพี่ใหญ่พี่รองล้วนไม่อยู่บ้าน มารดาของข้าอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ หากเจ้านั่งอยู่เป็นเพื่อนนางได้สักพัก ก็ถือว่าดีแล้ว”

โจวเสาจิ่นรู้สึกขวยเขิน

นางขบคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างไตร่ตรองว่า “ท่านน้าฉือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ศาลาทิงอวี่หรือเปล่าเจ้าคะ”

“ไม่มีอะไรหรอก!” เฉิงฉือปฏิเสธอย่างขอไปที ทว่าเมื่อนัยน์ตาดำตัดขาวแวววาวของโจวเสาจิ่นคู่นั้นกล้ำกลายเข้าสู่แนวสายตาของเขา เขาก็อดขบคิดด้วยจิตใจเลื่อนลอยไม่ได้ว่า ที่แท้ดวงตาของเกิงเกอเอ๋อร์ก็คล้ายคลึงกับของเสาจิ่นนี่เอง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก น้ำเสียงจึงหยุดชะงัก หยิบยกเพียงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในศาลาทิงอวี่บางส่วนเล่าให้โจวเสาจิ่นฟัง ส่วนเรื่องความรู้สึกของเฉิงสวี่ เขาคิดว่าโจวเสาจิ่นอาจจะไม่อยากรู้ก็เป็นได้ จึงไม่เล่าให้ฟัง เรื่องที่เขาให้คนจับตาดูเฉิงสวี่ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องบอกนาง

โจวเสาจิ่นโกรธขึ้งจนหน้าดำหน้าแดง กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดท่านผู้นำตระกูลจวนรองถึงได้ทำเช่นนี้เจ้าคะ ผู้เป็นบุตรชายหญิง ย่อมต้องกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดาและผู้อาวุโสเป็นธรรมดาอยู่แล้ว เขากดข่มท่านเช่นนี้ มิน่าท่านถึงได้…” นางอยากจะกล่าวว่ามิน่าท่านถึงได้หมายมั่นจะออกจากตระกูลเฉิง แต่กลัวว่ากำแพงมีหูจะถูกคนอื่นได้ยินเข้า จึงรีบกลืนประโยคท่อนหลังลงไป “ไม่ชอบอยู่ในจวน!” ขณะที่นางกล่าว คิ้วเข้มดั่งเม็ดสีสีดำก็ย่นเข้าหากัน กล่าวขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “ท่านคิดจะจัดการกับท่านผู้นำตระกูลจวนรองอย่างไรเจ้าคะ”

เฉิงฉือหลุดหัวเราะ พลางกล่าว “แล้วเจ้าคิดจะจัดการกับท่านผู้นำตระกูลจวนรองอย่างไร”

โจวเสาจิ่นรู้สึกขัดเขิน พลางกล่าว “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเจ้าค่ะ! ข้าหมายความว่า พอจะมีวิธีการอะไรทำให้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองไม่ยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องของท่านในภายภาคหน้าอีกได้หรือไม่…ท่านผู้นำตระกูลจวนรองต้องการทำอะไรกันแน่ ในอดีตจวนรองเรืองอำนาจ ทว่าปัจจุบันนี้กลับเสมือนอาทิตย์อัสดง ท่านผู้นำตระกูลจวนรองสับสนเลอะเลือนหมดแล้ว แต่มิใช่ว่าจวนรองยังมีท่านลุงใหญ่อี๋กับพี่ชายสืออยู่หรอกหรือ เริ่มลงมือจากพวกเขาได้หรือไม่…”

ท่าท่างวิตกกังวลเช่นนี้ของนางช่างน่าสนใจจริงๆ!

ประหนึ่งเด็กสาวที่พยายามสร้างสรรค์ศัพท์ใหม่เพื่อระบายความทุกข์ใจผู้หนึ่งก็ไม่ปาน

เฉิงฉืออดไม่ได้ยื่นมือออกไปหมายจะลูบศีรษะของนาง ทว่าพอยื่นมือออกไป ถึงได้ค้นพบว่าระหว่างทั้งสองคนยังมีโต๊ะน้ำชาคั่นกลางอยู่ตัวหนึ่ง เขาได้แต่แสร้งทำเป็นดันจานขนมที่วางอยู่ใกล้มือโจวเสาจิ่นไปหานางอย่างหงุดหงิด พลางกล่าว “ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก ครั้งนี้ข้าได้ตอบโต้ท่านผู้นำตระกูลจวนรองไปแล้ว เขาต้องหาโอกาสเอาคืนข้าอย่างแน่นอน เรื่องอื่นข้าไม่กลัว กลัวแต่ว่าเขาจะยื่นมือมาแตะต้องเรือนหานปี้ซานเท่านั้น จะให้ดีที่สุดช่วงนี้เจ้าไม่ต้องออกไปที่ใด อยู่ข้างๆ ท่านแม่ของข้า หากท่านแม่ของข้าอยากจะไปที่ไหน ก็ต้องช่วยเกลี้ยกล่อมนางสักหน่อย รอให้ถึงช่วงเดือนเก้าก็จะดีขึ้น”

จอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าคนหนึ่งสามารถล้มจอมยุทธ์สิบคนได้

ต่อให้เฉิงเจียซ่านจะวางอุบายมากมายดั่งผืนทะเล ถ้าหากเสาจิ่นไม่ออกไปไหน เขาก็ไม่มีทางพบเสาจิ่นได้

โจวเสาจิ่นตกปากรับคำไม่หยุด “ข้าจะเชื่อฟังท่านน้าฉือ ไม่ออกไปไหนเลยเจ้าค่ะ”

“เด็กดี!” เฉิงฉือยกยิ้มบางเบาอย่างพึงพอใจ แล้วเอ่ยถามถึงเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของโจวเสาจิ่น “กินมื้อเที่ยงแล้วหรือยัง กินอะไรไปบ้าง ตอนที่ข้าเข้ามาเมื่อครู่เห็นกองผ้ามากมายในห้อง ผ้าเหล่านี้จะใช้ตัดเย็บเสื้อผ้าหรือ ตัดเย็บให้ใคร ของกำนัลจากเจียซิ่ง หูโจวและซงโจวคงจะมาถึงแล้ว อีกไม่กี่วันข้าจะให้พวกเขาส่งผ้าแต่ละชนิดมาให้สักสองสามพับ…”

โจวเสาจิ่นตอบทีละคำถาม

ทั้งสองคนจึงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระในชีวิตประจำวันกันแบบเอ่ยได้ประโยคหนึ่งก็หยุดไปประโยคหนึ่งสลับกันอยู่เช่นนี้

โจวเสาจิ่นรู้สึกวางใจและสงบนิ่งเป็นพิเศษ ทั้งยังรู้สึกดีใจอยู่รางๆ ด้วย

เฉิงฉือนั่งอยู่โดยไม่คิดจะขยับตัวไปไหน

ยามอยู่ที่ศาลาทิงอวี่เมื่อเห็นเฉิงซวี่ปั้นหน้าเสแสร้งอยู่ที่นั่น เขาแทบจะกินข้าวไม่ลงเลยทีเดียว

เนื่องจากรู้ดีว่ามารดาจะต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวที่ศาลาทิงอวี่อย่างแน่นอน หลังจากที่เขาส่งเฉิงสวี่กลับไปแล้วก็รีบรุดมาที่เรือนหานปี้ซานทันที

มารดานอนพักผ่อนอย่างสงบ โจวเสาจิ่นที่ที่มีสีหน้าผ่อนคลาย ทั้งยังมีท่าทางที่อ่อนโยน ล้วนทำให้จิตใจที่กระสับกระส่ายก่อนหน้านี้ของเขาพลันสงบลงในพริบตา