ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 53 ในวังเว่ยยาง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

คืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดของเมืองจิงตูงดงามยิ่งนัก แสงโคมไฟบนถนนกับดวงดาวพร่างพราวบนท้องฟ้ายามราตรีส่งเสริมกันให้โดดเด่นน่าหลงใหล ดอกไม้ไฟที่ถูกยิงขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนของพระราชวังหลีที่อยู่ไกลออกไป ยากที่จะแยกแยะว่าคือโคมไฟบนโลกหรือว่าคือดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า ทุกหนทุกแห่งคือมหาสมุทรดวงดาว ไม่มีความมืดมิดแม้แต่น้อย

แม่น้ำในเมืองจิงตู ยิ่งทำให้สว่างอย่างสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเรือการค้าหรือว่าเรือที่ประดับอย่างวิจิตรงดงามล้วนแต่มีโคมไฟสว่างจ้า มีโคมไฟมากมายนับไม่ถ้วน ล่องลอยค่อยๆ กระเพื่อมไปตามแม่น้ำ แม่น้ำลั่วที่ขึ้นชื่อที่สุดแทบจะโดนโคมไฟลอยน้ำบดบังจนมองไม่เห็นผิวน้ำ บนสะพานหินที่อยู่ริมฝั่งมีบรรดาหนุ่มสาวยืนอออยู่มากมาย พวกเขามองโคมไฟลอยน้ำที่ปล่อยด้วยมือของตนเอง และอธิษฐานขอพรเงียบๆ ปรบมือด้วยความยินดี ใบหน้าอ่อนเยาว์กับเสื้อผ้าที่สวยงามถูกแสงไฟส่องสว่าง มีสีสันงดงามอย่างยิ่ง

นี่คือคืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ด เฉินฉางเซิงยืนอยู่บนสะพานหิน จ้องมองหนุ่มสาวที่รักใคร่สนิทสนมกัน จ้องมองน้ำในแม่น้ำและโคมไฟลอยน้ำอันเป็นความรักวัยหนุ่มสาวที่ไหลลอยอย่างไร้เสียง เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด เดิมทีลั่วลั่วดีใจอย่างยิ่ง แต่เพราะว่าเขานิ่งเงียบจึงต้องสงบลงตาม

การชุมนุมไม้เลื้อยถูกเลื่อนไปหลายวันเพราะว่าคณะเจรจาจากทิศใต้ส่งคนมาเข้าร่วม จนมาถึงค่ำคืนนี้ หลายวันก่อนเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วอ่านตำราฝึกบำเพ็ญเพียรที่สำนักฝึกหลวง ไม่สนใจสิ่งภายนอกเหมือนเช่นเคย สิ่งที่ทำให้เฉินฉางเซิงจนปัญญาก็คือ เขายังคงชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ แต่สิ่งที่ตรงกันข้ามกับเขาก็คือ จากการที่ชี้แนะและสั่งสอนของเขา ลั่วลั่วพัฒนาจนเรียกได้ว่ารวดเร็วอย่างน่าทึ่ง

ราวไม้ไผ่ยาวร้อยฟุต อยากจะเข้าใกล้อีกสักก้าวก็ลำบากอย่างยิ่ง แล้วยังจะต้องบินไปไกลสุดขอบฟ้าหรือ ถ้าหากผู้คนเหล่านั้นล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงกับระดับความสามารถ พบว่านางสามารถพัฒนาได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ จะต้องตื่นตกใจคิดว่าเฉินฉางเซิงเป็นเทพเซียนแน่

ลั่วลั่วคิดว่าอาจารย์ก็คือเทพเซียน เพราะระดับความเร็วที่พัฒนาขึ้นของตน และก็เพราะอาการบาดเจ็บของเซวียนหยวนผ้อ กล้ามเนื้อที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแปรเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาก เฉินฉางเซิงทำสิ่งที่คนจำนวนมากไม่สามารถทำได้ ดังนั้นนางไม่ได้เป็นเพราะว่าคบค้าสมาคมกับเขามากเกินไป ยิ่งนานยิ่งสนิทสนม ความเคารพยำเกรงในจิตใจสลายไป แต่กลับเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มมากขึ้น

โคมไฟลอยน้ำที่อยู่ในแม่น้ำใต้สะพานราวกับหิ่งห้อยที่ล่องลอยอยู่ ลำแสงที่สลัวเล็กน้อยกระทบเข้ากับใบหน้าของเฉินฉางเซิง คล้ายกับอารมณ์เขาที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวไม่ดี นางจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขา พลันเอ่ยถาม “อาจารย์ ภายภาคหน้าท่านเตรียมที่จะมีภรรยาเช่นไร”

คืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดเป็นค่ำคืนที่งดงาม ในเมืองจิงตูหรือแม้แต่มนุษย์บนโลกล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้คำว่าความรักสองคำนี้ หนุ่มสาวที่เป็นวัยแรกรุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนบางทีเขินอายบางทีกล้าหาญกระโจนเข้าไปในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย จ้องมองภาพที่ทำให้ผู้คนเหล่านั้นหน้าแดง ลั่วลั่วคิดว่าปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญ กล่าวว่า “ข้ายังไม่เคยคิดเรื่องนี้”

ลั่วลั่วคิดในใจ หากอาจารย์ไม่เคยคิดเรื่องนี้จริง เช่นนั้นก่อนตอบเพราะเหตุใดอาจารย์จะต้องหยุดคิดก่อนด้วยเล่า

วังเว่ยยางเป็นตำหนักที่สำคัญในบรรดาของตำหนักในพระราชวังต้าโจว ในเวลาปรกติหน้าที่สำคัญก็คือรับผิดชอบงานเลี้ยงของอาณาจักรและพิธีเซ่นไหว้ กฎระเบียบของตำหนักก็มีเยอะมากมาย ค่ำคืนนี้โคมไฟในเมืองจิงตูสว่างจ้า ตำหนักแห่งนี้เป็นสถานที่ประชุมหลักของการชุมนุมไม้เลื้อย ถูกประดับประดาตกแต่งราวกับว่าเป็นตำหนักผลึกแก้วเคลือบมันแวววาวมิปาน

เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วมาถึงด้านนอกของวังเว่ยยาง หยิบบัตรเชิญออกมา แล้วตรวจสอบฐานะ มีขันทีผู้หนึ่งนำเข้าไปด้านในของตำหนักที่ห่างไกลออกไป สามารถมองเห็นลำแสงนุ่มนวลของตำหนักแห่งนั้นแผ่กระจายไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน เขารู้ว่าคือลำแสงของไข่มุกราตรี

สามารถส่องสว่างทั่วทั้งตำหนัก เช่นนั้นจะต้องมีไข่มุกราตรีมากเท่าไหร่ เฉินฉางเซิงครุ่นคิดเงียบๆ สั่นสะท้านอย่างยิ่ง ใบหน้ากลับไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ เหมือนกับตอนนี้ในใจของเขาตื่นเต้น ใบหน้าก็ไม่ได้แสดงออกมาแม้แต่น้อย

อย่างมิต้องสงสัย พระราชวังต้าโจวเป็นศูนย์กลางของมนุษย์บนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิกายหลวงที่อยู่พระราชวังหลีหรือว่าเทือกเขาเทพธิดาทางทิศใต้ พรรคกระบี่หลีซานล้วนแต่ไม่สามารถนำมาเปรียบกับตำหนักแห่งนี้ได้ ถ้าหากจะต้องหาสถานที่ทัดเทียมกันได้ ก็คงจะมีเพียงตำหนักมารของเมืองเสวี่ยเหล่า

เดินเข้าไปในพระราชวังต้าโจว รับรู้ถึงพลังปราณที่น่าเกรงขามของก้อนหินทุกก้อนเครื่องแก้วทุกชิ้นแผ่กระจายออกมา ไม่เหมือนกับตอนมองมายังพระราชวังจากสำนักฝึกหลวงอย่างสิ้นเชิง เฉินฉางเซิงไม่ว่าจะสุขุมเป็นผู้ใหญ่อย่างไร ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยที่อายุยังไม่เต็มสิบห้า จึงยากยิ่งที่จะไม่ตื่นเต้น

ลั่วลั่วมิได้ตื่นเต้นแม้แต่น้อย ยังคงใจกว้างเหมือนเวลาปรกติ เท้าที่ก้าวเดินรวดเร็วว่องไว เดิมทีไม่ต้องการให้ขันทีผู้นั้นนำทาง นางจึงดึงแขนเสื้อของเฉินฉางเซิงก่อนจะมองสบตาเขาสองครั้งติดต่อกัน เพื่อจะบอกเขาว่าควรเดินอย่างไร ควรระมัดระวังสิ่งใด

หลังจากที่เฉินฉางเซิงให้ความสนใจ จึงเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้ามาที่นี่บ่อยอย่างนั้นหรือ”

ลั่วลั่วตอบ “เมื่อแรกเริ่มที่มาจิงตู ก็มาพักที่นี่”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าความเป็นมาของนางไม่ธรรมดา แต่ฟังประโยคนี้ ยังคงตื่นตะลึงเล็กน้อย

ทั้งสองเดินตามบันไดหินยาวเหยียดของวังเว่ยยาง

เดินเข้าไปประตูของตำหนัก เดินผ่านม่านเป็นอันดับแรก มีไข่มุกราตรีส่องแสงแวววาวละลานตา ถึงแม้จะไม่มีไข่มุกราตรีที่เทียบได้กับเม็ดที่ลั่วลั่วนำมามอบให้เฉินฉางเซิงแม้แต่เม็ดเดียว แต่ไข่มุกราตรีมากมายที่อยู่รวมกัน ยังคงทำให้ตื่นตะลึง

ไข่มุกราตรีมิใช่ตะเกียงน้ำมันและก็มิใช่เทียนไข ถึงแม้ลมยามค่ำคืนจะพัดแรงเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้ลำแสงเคลื่อนไหว ดังนั้นลำแสงของตำหนักจึงนุ่มนวลสว่างไสว ร่องและเสาระหว่างพื้นอิฐสีทองที่ทาสีไว้งดงามถูกส่องสว่างจนเห็นได้ชัดเจน

และยังไม่มีลมพัดแม้แต่นิดเดียว

วังเว่ยยางคงจะมีค่ายกลบางอย่างที่ลมฤดูใบไม้ร่วงไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้

ภายในตำหนักจัดเตรียมที่นั่งมากมาย อาจารย์และนักเรียนของสำนักเด็ดดารา หอจงซื่อ สำนักเทียนเต้า สำนักจวนราชวังหลี และกระทรวงสิบสามชิงเหย้า ยังคงครอบครองที่นั่งที่ดีที่สุด นักเรียนที่สอบผ่านการเตรียมสอบของการสอบใหญ่กระจายนั่งตามที่นั่งทั่วไป

มีคนจำนวนมากที่มาถึงแล้ว ยังมีมากที่ทยอยกันเข้ามา มีมุขนายกสำนักการศึกษากลางรวมทั้งขุนนางในแผนกพิธีการของราชสำนักอยู่ที่ประตูตำหนักคอยขานชื่อ นอกจากเสียงของพวกเขา ในตำหนักเงียบสงัด มีบางคนลุกขึ้นทักทายทำความเคารพสหาย คนส่วนใหญ่เงียบนิ่งอย่างยิ่ง

“สำนักฝึกหลวงมาถึง”

เสียงขานชื่อของมุขนายกสำนักการศึกษากลาง ภายในตำหนักพลันแปรเปลี่ยนเป็นสงบเงียบกว่าเดิม หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ความเงียบก็ถูกทำลายด้วยเสียงกระซิบกระซาบนับไม่ถ้วน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นมากมาย มีสายตาจ้องมองมายังประตูตำหนักนับไม่ถ้วนร่วงหล่นมายังร่างของคู่หนุ่มสาว

สำนักไม้เลื้อยทั้งหก สำนักฝึกหลวงไม่โดดเด่นที่สุด จนกระทั่งเกือบจะถูกลืมเลือน การประชุมไม้เลื้อยเมื่อหลายปีก่อน สำนักฝึกหลวงแม้แต่ที่นั่งก็ยังไม่มี แต่หลังจากการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนแรกผ่านพ้นไป สำนักแห่งนี้ถูกผู้คนจดจำขึ้นมาใหม่ ยากที่จะลืมเลือน

ผู้คนทั้งหมดมองมายังเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วที่อยู่หน้าประตูตำหนัก ในสายตามิได้แฝงไปด้วยความแปลกประหลาดหรือความเห็นใจ แต่คือความระแวดระวังและสืบเสาะใคร่รู้ สายตาจำนวนมากจับจ้องมายังลั่วลั่ว สายตาเหล่านั้นชัดเจนว่าจริงจังหนักแน่น เต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้งและหวาดกลัว

หลังจากค่ำคืนนั้น มีคนจำนวนมากที่ตรวจสอบสำนักฝึกหลวง คงจะรู้ที่ไปที่มาของเฉินฉางเซิงคร่าวๆ จากสำนักการศึกษากลาง แต่ยังคงไม่มีผู้ใดสามารถตรวจสอบฐานะของลั่วลั่วพบ รู้เพียงแค่ว่าหญิงสาวผู้นี้เคยปรากฏที่สำนักเทียนเต้ากับสำนักเด็ดดารา เหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้ารู้ฐานะของหญิงสาวผู้นี้และยังมีคนตรวจสอบพบว่าราชสำนักเคยมอบสิ่งของให้หญิงสาวผู้นี้ ขุนพลเทพทัพอวี้เทียนเซวียสิ่งชวนกล่าวเตือนเรื่องของหญิงสาวผู้นี้กับคนรุ่นหลังของเขาสองสามประโยคที่จวนขุนพลเทพ

แต่พวกเขาจะสามารถบีบบังคับให้ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้เอ่ยได้อย่างไรเล่า

ฐานะของลั่วลั่วยังคงลึกลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่ดูจากผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ อย่างน้อยทุกคนก็มั่นใจว่าฐานะของนางไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่สามารถจัดการเด็กประหลาดเทียนไห่หยาเอ๋อร์ สำนักฝึกหลวงกับนางยังสามารถอยู่อย่างปลอดภัยไม่มีปัญหาใดๆ กลับเป็นอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียด้วยซ้ำไป

อย่างไม่ต้องสงสัยว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่กี่เดือนนี้ลั่วลั่วดึงดูดสายตาของผู้คนในเมืองจิงตูมากที่สุด นอกจากความเป็นมาที่ลึกลับรวมถึงความสัมพันธ์ที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวสูญหายกับพระราชวัง และยังมีจุดสำคัญก็คือค่ำคืนนั้นนางได้แสดงพละกำลังออกมา หญิงสาวที่อายุอ่อนวัยแต่แข็งแกร่งเช่นนี้ อาจจะมีเพียงแค่สวีโหย่วหรงที่จะสามารถชนะนางได้ แต่สวีโหย่วหรงมีสายเลือดของหงส์มาตั้งแต่กำเนิด หญิงสาวผู้นี้เป็นผู้มีพรสวรรค์มาจากแห่งใดกัน

หากเปรียบเทียบกับลั่วลั่ว เฉินฉางเซิงก็คงไม่มีผู้ใดสนใจ เพราะทุกคนล้วนแต่มองออก หนุ่มน้อยผู้นี้แม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ไม่สำเร็จ เป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้นเอง ถึงแม้ผู้คนไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดลั่วลั่วถึงเคารพเขาเช่นนี้ แต่ไม่ถึงขนาดจะลุ่มหลงมองคนไม่ดีแปรเปลี่ยนเป็นดีเพราะความเคารพของนาง

มุขนายกสำนักการศึกษากลางเดินออกจากทิศทางด้านข้างมาถึงด้านหน้าบัลลังก์ เอ่ยกับอาจารย์และนักเรียนของสำนักไม้เลื้อยรวมถึงบรรดานักเรียนที่สอบผ่านการเตรียมสอบของการสอบใหญ่ วันนี้คณะเจรจาของทิศใต้มาถึงจิงตู จะเข้าพักที่สำนักจวนราชวังหลี หลังจากได้รับการอวยพรจากใต้เท้าสังฆราชก็จะเข้าพระราชวัง ดังนั้นจึงล่าช้าเล็กน้อย

เมื่อฟังข่าวสาร กลุ่มผู้คนในตำหนักรู้สึกไม่ยินดี แต่ที่แปลกก็คือ บรรยากาศรอบๆ ตำหนักผ่อนคลาย ชัดเจนยิ่งนักว่าคณะเจรจาทิศใต้นำโดยโก่วหานสือและบรรดาผู้มีพรสวรรค์ ทำให้บรรดาหนุ่มสาวที่เย่อหยิ่งของเมืองจิงตูมีความกดดันอย่างยิ่ง

ในเมื่อจะต้องรออีกชั่วครู่ จึงไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ได้ เสียงขานชื่อยังคงดำเนินต่อไป อาจารย์นักเรียนของสำนักเทียนเต้าและสำนักอื่นๆ พากันลุกขึ้น ทักทายกับอาจารย์นักเรียนสำนักอื่นที่ใกล้กันและสนิทสนม ต่างคนต่างคารวะกัน พูดคุยเรื่องที่น่าสนใจในจิงตูระยะนี้ พูดคุยว่าอีกชั่วครู่โก่วหานสือจะปรากฏออกมาอย่างไร เป็นบรรยากาศที่คึกคักอย่างยิ่ง

ตำแหน่งของสำนักฝึกหลวงยังคงอยู่ในมุม ยังคงเงียบเหงา ยังคงไม่มีผู้ใดสอบถามข่าวคราว เพียงแต่ว่าครั้งก่อนสำนักฝึกหลวงจะถูกทั่วทั้งโลกลืมเลือนจริงๆ แต่ตอนนี้ทั่วทั้งโลกระมัดระวังอย่างยิ่งที่สำนักฝึกหลวงยังคงดำรงอยู่ ไม่เหมือนกับในเวลานั้นถึงแม้จะเล็กน้อยแต่ก็สำคัญอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าการพยายามลืมเลือนนี้ สิ่งสำคัญก็เพราะว่าการมาถึงของคณะเจรจา มีผู้คนจำนวนมากไม่อยากให้เกิดความยุ่งยากที่คาดคิดไม่ถึง อำนาจทั้งสองของราชวงศ์ต้าโจว คล้ายกับจะต้องอาศัยกำลังของสำนักฝึกหลวง ถ้าหากเป็นเวลาอื่น จะต้องมีผู้คนจำนวนมากหยั่งเชิงเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วเป็นแน่ แต่ตอนนี้ไม่มี เพราะว่าวังเว่ยยางค่ำคืนนี้จะเกิดเรื่องที่สำคัญมากกว่า สำคัญกว่านักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง จนกระทั่งอาจจะสำคัญกว่าอำนาจทั้งสองที่ต่อต้านกัน

การหมั้นหมายในค่ำคืนนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของเผ่ามนุษย์ในเวลานี้

สวีโหย่วหรงมีสายเลือดของหงส์แต่กำเนิด พันปีพบได้ยากยิ่ง ชิวซานจวินมีสายเลือดของมังกร เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทือกเขาเทพธิดากับเขาหลีซานยังเป็นสิ่งสำคัญของนิกายหนานฟาง คิดดูแล้วพวกเขาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกัน ไม่ว่าจะมองจากทางด้านไหน ล้วนแต่เป็นคู่ที่สวรรค์สร้างให้มาคู่กัน

ราชวงศ์ต้าโจวก็ปรารถนาที่จะเห็นการสมรสครั้งนี้ประสบผลสำเร็จเช่นกัน ผู้คนล้วนแต่ชื่นชอบมองสรรพสิ่งที่สวยงามสมบูรณ์หากแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสาเหตุของความสวยงามสมบูรณ์นี้ เป็นเพราะว่าในอนาคตสวีโหย่วหรงจะต้องกลายเป็นเทพธิดาของนิกายหนานฟาง เป็นหญิงสาวจากเมืองจิงตูที่ได้รับตำแหน่งเทพธิดาคนแรกประวัติศาสตร์ ชิวซานจวินในอนาคตก็จะเป็นผู้พิทักษ์ของนิกายหนานฟาง นิกายหลวงเหนือใต้ จิตใจผู้คนเหนือใต้ จะรวมกันเป็นหนึ่งเพราะการสมรสครั้งนี้ การต่อสู้กับเผ่ามารก็จะได้เปรียบในการชิงชัยชนะ

เผ่ามนุษย์ทั่วทั้งโลกล้วนแต่ปรารถนาจะเห็นการสมรสของสวีโหย่วหรงกับชิวซานจวิน

ผู้ใดต้องการต่อต้านการสมรสครั้งนี้ ก็เท่ากับว่าเป็นศัตรูต่อทั่วทั้งโลก