เล่ม 7 เล่มที่ 7 ตอนที่ 202 มีข้าอยู่ จะไม่ยอมให้นางตาย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ผู้ที่มาก็คือฉินเทียน

        “โยวเหยา เจ้าคิดจะให้แม่นางซูจิ่นซีอยู่ถึงเมื่อใดกันแน่? คำพูดที่พวกเจ้าสนทนากันบนรถมาในวันนี้ ข้าได้ยินทั้งหมดแล้ว! นางพบกับพิณหงส์แล้ว หากวันใดวันหนึ่งนางล่วงรู้ถึงชาติกำเนิดของตนเอง เจ้าคิดจะทำเช่นไร? ”

        เยี่ยโยวเหยาสนใจแต่เพียงดื่มชา แม้แต่สายตาก็ไม่เงยขึ้นไปสบมอง

        ฉินเทียนจับพัดในมือแน่น พลางพูดด้วยท่าทีร้อนใจ “หากรู้เสียแต่ต้น ข้าคงลงมือสังหารนางไปนานแล้ว! ”

        “มีข้าอยู่ทั้งคน ข้าจะไม่ยอมให้นางสืบพบเรื่องอันใดไปตลอดชีวิต” เยี่ยโยวเหยาพูดเสียงเบา

        ใบหน้าฉินเทียนแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย “โยวเหยา… ข้าคงฟังไม่ผิดใช่หรือไม่? เจ้าจะช่วยนางปิดบัง? หรือว่าเจ้าหลงรักนางเข้าแล้ว? เจ้าลืมไปแล้วหรือ ก่อนหน้านี้เจ้าพูดอันใด รอจนนางขจัดพิษในตัวเจ้าจนหมด เจ้าจะจัดการนางด้วยตนเองไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เจ้าทำใจกำจัดนางไม่ลงแล้วหรือ? ”

        “ข้าเคยพูดประโยคนี้ ทว่าข้าไม่เคยบอกว่าจะสังหารนาง”

        การจัดการนั้นมีหลายวิธี ทว่าแตกต่างกับการสังหารมากนัก

        “โยวเหยา เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ” ฉินเทียนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หลังจากนั้นเขาก็เหมือนคิดอันใดขึ้นมาได้จึงพูดว่า “ไม่ถูกต้อง เจ้าไม่ควรหลงรักนาง เจ้าไม่สามารถหลงรักนางได้ หากวันหนึ่งเกิดหลงรักขึ้นมา… ”

        ฉินเทียนรีบเข้ามายืนข้างกายเยี่ยโยวเหยา เขาดึงมือซ้ายของเยี่ยโยวเหยาขึ้นมา ขณะที่มองดูใจกลางฝ่ามือของเยี่ยโยวเหยา ใบหน้าของเขาก็แสดงท่าทีตกตะลึงขึ้นมาในทันที

        เขาชี้หน้าเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น “เหตุใด… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เจ้าผนึกเข็มสลายรักไว้จริงๆ เจ้ารู้หรือไม่ ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร? ”

        เป็นที่แน่ชัดว่าเยี่ยโยวเหยาย่อมรู้คำตอบแน่นอนอยู่แล้ว เยี่ยโยวเหยาย่อมรู้ดี ฉะนั้นเขาจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ

        “มิน่าเล่า หนานกงลั่วอวิ๋นถึงได้กลับไปเร็วนัก ที่แท้นางได้ช่วยเหลือเจ้า พวกเจ้าปิดบังมารดาของข้า มารดาข้าไม่มีทางให้อภัยเจ้า! ”

        เยี่ยโยวเหยายังคงดื่มชาอย่างสงบสบายอารมณ์ ดั่งคนไร้ซึ่งเรื่องราวกังวลใดๆ

        ยิ่งเยี่ยโยวเหยาเป็นเช่นนี้ ฉินเทียนก็ยิ่งร้อนใจ “โยวเหยา หากเจ้าสังหารนางไม่ลง ข้าจะจัดการกับหายนะครั้งนี้แทนเจ้าด้วยมือของข้าเอง”

        ขณะที่พูด ฉินเทียนก็หมุนตัวหมายจะวิ่งเข้าไปที่ห้องของซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซียังคงชำระร่างกายอยู่ในห้อง เสียงร้องเพลงของนางดังออกมาไม่ขาดสาย

        เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว เขาใช้วิชาตัวเบาลอยไปด้านหลังของฉินเทียนอย่างรวดเร็ว

        เยี่ยโยวเหยาบีบคอของฉินเทียนและพูดว่า “ข้าขอเตือนเจ้า อย่าคิดลงมือกับนาง หากผู้ใดกล้าทำร้ายนาง ข้าจะไม่ให้อภัยคนผู้นั้น”

        ฉินเทียนตกตะลึงงัน “รวมถึงข้าด้วยหรือ? ”

        “สิ่งที่ข้าพูดออกไปหมายถึงทุกคน! ”

        ดังนั้นแน่นอนว่าต้องรวมถึงฉินเทียนด้วย

        น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาหนาวเหน็บสุดขีด เขาสะบัดฉินเทียนให้ลอยออกไป

        ฉินเทียนยืนนิ่งงันอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงส่งสายตาเจ็บปวดมองไปทางเยี่ยโยวเหยา “พี่ ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าไม่เคยแสดงอารมณ์ดุดันเยี่ยงนี้กับข้า คิดไม่ถึงว่าเพียงเพราะสตรีนางหนึ่ง เจ้าถึงกับแสดงอารมณ์ดุดันเช่นนี้กับข้า สตรีนางนั้นมีอันใดดีหรือ? หลังจากทำการใหญ่สำเร็จ พวกเราต้องการสตรีเช่นใด ล้วนมีมากมายก่ายกอง เหตุใดต้องเป็นนาง? สิ่งที่เจ้าทำเพื่อนางทั้งหมดนี้ นางรับรู้บ้างหรือไม่? เจ้าถูกมนตร์ดำอันใดครอบงำหรือ? ”

        “เรื่องของข้า ข้าเป็นคนตัดสินใจเอง”

        เมื่อฉินเทียนพูดคำว่า ‘พี่’ พลันทำให้จิตใจของเยี่ยโยวเหยาอ่อนไหวขึ้นบ้าง ทว่าน้ำเสียงของเขายังคงเย็นเยียบ

        ฉินเทียนยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “ตัดสินใจเองหรือ? เมื่ออยู่ต่อหน้ามารดาข้า เจ้าจะตัดสินใจเองอย่างไร? เจ้าคิดบ้างหรือไม่ ในเมื่อเจ้าผนึกหมุดกร่อนรัก ต้องมีสักวันที่มันจะย้อนกลับมาทำร้ายเจ้า เมื่อถึงเวลานั้น… ”

        ความจริงที่โหดร้ายเช่นนั้น ฉินเทียนไม่สามารถพูดออกมาได้ ท้ายที่สุดเขาจึงลดระดับน้ำเสียงลงและพูดว่า “แม้เจ้ากับหนานกงลั่วอวิ๋นจะร่วมกันปกปิดมารดาข้า ทว่ากระดาษย่อมห่อไฟไม่อยู่ฉันใด หากวันหนึ่งมารดาข้าล่วงรู้เข้า ซูจิ่นซี…แม่นางผู้นี้ก็ต้องตายอยู่ดี”

        แววตาของเยี่ยโยวเหยาเย็นชาขึ้นอีกครั้ง เขามองฉินเทียนด้วยท่าทีดุดัน “หากข้าไม่อนุญาต ผู้ใดจะกล้าสังหารนาง”

        บนใบหน้าของฉินเทียนปรากฏอารมณ์ตกตะลึงอีกครั้ง

        “ออกไป! ”  เยี่ยโยวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

        ฉินเทียนสะดุ้ง ใบหน้าแสดงออกอย่างเสียใจยิ่งนัก

        “ออกไป! ”

        เยี่ยโยวเหยาพูดย้ำอีกครั้ง

        ฉินเทียนกัดฟัน เขามองไปทางห้องของซูจิ่นซีด้วยสายตาไม่เต็มใจ จากนั้นก็ใช้วิชาตัวเบาเหินออกไปจากเรือน

        “ทูลท่านอ๋อง เมืองตี้จิงมีรายงานด่วน! ”

        องครักษ์เงาในชุดดำลอยลงมาทางด้านหลังของเยี่ยโยวเหยา

        “ใครให้เจ้าเข้ามา? ” ท่าทางที่เย็นชาของเยี่ยโยวเหยาทำให้คนผู้นั้นตกใจ

        องครักษ์เงาตกใจจนหน้าซีดเผือด เนื้อตัวสั่นเทา

        จากนั้นเยี่ยโยวเหยาก็จับเขาโยนกระแทกใส่กำแพงอย่างดุดัน

        “องครักษ์เงาที่อยู่รอบๆ ถอยออกไปให้หมด”

        เยี่ยโยวเหยาสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นชา

        ภายในความมืด หัวหน้าองครักษ์เงาโบกมือ เหล่าองครักษ์เงาที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดทั้งหมดต่างถอยออกไปในทันที

        ไม่ว่าผู้ใดหน้าไหนก็ไม่สามารถอยู่ด้านนอกห้องพักของซูจิ่นซีขณะที่นางอาบน้ำได้ ทว่าฉินเทียนเป็นข้อยกเว้น เพราะเขาคือน้องชายของเยี่ยโยวเหยา

        หากฉินเทียนมิได้มีสถานะพิเศษอันใด เยี่ยโยวเหยาไม่มีทางให้เขายืนอยู่ในเรือนและพล่ามมากเรื่องต่อหน้าเขา

        ในเวลานี้ซูจิ่นซียังคงอาบน้ำอยู่ภายในห้องที่ปกคลุมไปด้วยไอร้อน เสียงเพลงยังคงดังออกมาจากห้องไม่ขาดสาย เยี่ยโยวเหยายืนตระหง่านอยู่บนหลังคาห้องพักของซูจิ่นซีด้วยใบหน้าเย็นชามากกว่าปกติ

        จันทร์ส่องแสง ดาราเคลื่อนคล้อย ลมหนาวโบกสะบัดเสื้อคลุมกับเส้นผมยาวของเยี่ยโยวเหยาให้พลิ้วไหวไปในอากาศ

        ซูจิ่นซีไม่มีทางล่วงรู้เลยว่า ในโลกนี้ บุคคลที่สามารถทำให้เยี่ยโยวเหยาต้องออกมายืนอารักขาด้วยตนเอง มีนางเป็นคนแรก และเป็นผู้เดียวเท่านั้น

        ซูจิ่นซีชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้านอน เช้าวันต่อมา ขณะที่เปิดประตูออกไป นางก็พบกับเยี่ยโยวเหยาในชุดสีขาว นั่งดื่มน้ำชาอยู่ที่ศาลาภายในเรือนแล้ว

        เมื่อทั้งสองรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ

        สารถีจัดเตรียมรถม้าไว้พร้อมสรรพ

        เมื่อฉินเทียนพบกับซูจิ่นซี ใบหน้าพลันบูดบึ้งยิ่งขึ้น

        ซูจิ่นซีสงสัยว่า นางทำอันใดที่ผิดต่อฉินเทียนหรือ?

       ไม่มี?

       น่าแปลกจริงๆ !

        รถม้ามุ่งหน้าลงไปทางใต้ ระหว่างทางบางครั้งพวกเขาก็หาโรงเตี๊ยมพักผ่อนชั่วคราว บางครั้งทั้งสองก็นอนบนรถม้า พวกเขาต้องรีบเดินทางให้เร็วที่สุด เพราะผู้คนในเมืองตี้จิงอีกมากมายยังคงเฝ้ารอยารักษามาช่วยชีวิต

        เมื่อถึงวันที่สาม พวกเขาก็เดินทางมาถึงแคว้นหนานหลี

        พวกเขาต่างอ่อนล้าหมดแรง ไม่มีจิตใจเที่ยวชมทิวทัศน์ความงดงามของแคว้นต่างเมือง จึงมุ่งหน้าเดินทางไปหุบเขาร้อยบุปผาทันที

        หุบเขาร้อยบุปผาห่างจากชายแดนระหว่างแคว้นหนานหลีกับแคว้นจงหนิงไม่ไกลนัก สถานที่ตั้งอยู่ระหว่างช่องเขา

        เยี่ยโยวเหยาสั่งความให้จิ้นหนานเฟิงไปจัดการเรื่องหนึ่ง ฉินเทียนจำเป็นต้องกลับไปเมืองตี้จิงเพราะจดหมายด่วนหลายฉบับที่มาจากเมืองตี้จิง ดังนั้นจึงมีเพียงเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีสองคนเท่านั้นที่เข้าไปในหุบเขา

        แม้จะถูกขนานนามว่าหุบเขาร้อยบุปผา ทว่าซูจิ่นซีพบว่าตลอดเส้นทางที่เข้ามา นอกจากมีต้นไผ่สูงใหญ่ที่ขึ้นตามขอบหน้าผาแล้ว นางไม่เห็นดอกไม้อันใดเลย ตรงกันข้าม รอบบริเวณทั้งหมดล้วนเป็นภูเขาสูงชัน บรรยากาศโดยรอบแปลกประหลาดผิดปกติ

        “เยี่ยโยวเหยา พวกเรามาผิดทางหรือไม่? ” ซูจิ่นซีถามด้วยความสงสัย

        “กลัวหรือ? ”

        “ไม่กลัว! ” ซูจิ่นซีตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงมั่นใจมาก

        เยี่ยโยวเหยาหันไปมองนางครู่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้มือโอบเอวซูจิ่นซี “เข้ามาใกล้ข้า หุบเขาร้อยบุปผาคงจะอยู่ข้างหน้านี้ ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเป็นภรรยาหลวงของเจ้าสำนักถังเหมิน ที่นี่จะต้องวางกลไกไว้มากมายอย่างแน่นอน”

        สิ้นเสียงพูดของเยี่ยโยวเหยา ใบหน้าซูจิ่นซีพลันเปลี่ยนไปในทันที เพราะนางรู้สึกว่าขาของนางได้เหยียบเข้ากับสิ่งของประหลาดบางอย่าง

        “อย่าขยับ! ”

        ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

        ทว่า…

        สายไปแล้ว!

        ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังก้มลงมอง ในวินาทีนั้น จู่ๆ เท้าของนางก็เบาโหวง ขอบหน้าผาทั้งซ้ายขวามีเสียง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ดังตามมา จากนั้นก็มีช่องขนาดเท่าปากของเด็กเล็กจำนวนมากปรากฏขึ้น

        ทันใดนั้น ลูกศรไม้ไผ่เรียวแหลมจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากช่องเหล่านั้น

        พวกเขาถูกโจมตีขนาบทั้งสองข้าง ด้านหน้าและด้านหลังยังเป็นช่องแคบตลอดทาง เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีไม่มีเส้นทางให้หลบหนีอีกแล้ว คงต้องถูกยิงจนร่างพรุนเหมือนรังแตนเป็นแน่