ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนเกือบจะร้องไห้ออกมา ก่อนจะรีบส่ายหน้า : “ท่านอ๋อง…”
หนานกงเย่กอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ : “ห้ามพูดจากมั่วซั่ว ให้คนอื่นขบขัน”
หนานกงเย่หายใจเหนื่อยหอบ ฉีเฟยอวิ๋นทำได้แค่ตัดใจ นางถูกคนบังคับ ทั้งยังร้องตะโกนไม่ได้ กลายเป็นคนโง่เขลาไปในทันที!
หนานกงเย่ที่อยู่ด้านบน ก้มหน้าลงมาจูบริมฝีปากเล็กอันนุ่มนิ่มดุจปุยเมฆของฉีเฟยอวิ๋นอย่างต่อเนื่อง เขาแค่อยากลิ้มลอง
แต่นางดิ้นไปมาเหมือนกับปลาตัวเล็ก ทำให้เขาจับไว้ไม่อยู่ เริ่มขุ่นเคืองหมองใจขึ้นไม่น้อย
“ห้ามขยับ” หลังจากที่ดิ้นอยู่ชั่วครู่ หนานกงเย่ก็จับมือทั้งสองข้างของฉีเฟยอวิ๋นไว้ ครั้นจับอยู่หมัดแล้วก็ก้มหน้ามองนางด้วยความขุ่นเคือง เป็นเช่นนั้นเนิ่นนานก็ยังไม่ได้จูบ นางก็เอาแต่ส่ายหน้าตลอด
ฉีเฟยอวิ๋นยิ้มอย่างขมขื่น : “ท่านอ๋อง ข้าไม่สนุกนะเจ้าคะ”
“ข้าอยากสนุก”
หนานกงเย่ก้มหน้าลงมามองหน้าอกของฉีเฟยอวิ๋น ซึ่งนั้นทำให้ลมหายใจของเขาถี่มากยิ่งขึ้น คิดอยากถ่วงเวลาในค่ำคืนนี้ หนานกงเย่เริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนาง ก่อนจะก้มหน้าลงไป
ในเวลานี้เองก็มีคนมาเคาะประตูถี่จากด้านนอก ฉีเฟยอวิ๋นตกใจจนส่งเสียงร้องออกไป กระทั่งผละออกจากการควบคุมของหนานกงเย่ แล้วแทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม คลุมตัวไว้ไม่ยอมออกมา
สีหน้าของหนานกงเย่เคร่งขรึมลง จากนั้นก็ลุกขึ้นและมองไปยังประตู จัดแจงเสื้อผ้าบนร่างกายให้เข้าที่เข้าทาง พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ : “มีเรื่องคอขาดบาดตายอะไร?”
อาอวี่ตื่นตกใจไปชั่วขณะ ท่านอ๋องเป็นอะไร?
“ท่านอ๋อง จวนอ๋องตวนมาขอเข้าพบขอรับ” อาอวี่ทูลรายงาน
หนานกงเย่หมุนตัวไปมองคนที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง : “ข้าจะรีบกลับมา ห้ามออกไปเด็ดขาด”
หลังจากที่หนานกงเย่ใส่เสื้อคลุมเรียบแล้ว ก็เดินไปถามตรงประตูว่า : “จวนอ๋องตวนส่งใครมา? ชื่อเสียงเรียงนามก็ไม่มี”
“กราบทูลท่านอ๋อง ท่านไปแล้วจะทราบเอง อาอวี่ไม่กล้าเอ่ยพ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่กล่าวเช่นนี้ทำให้หนานกงเย่ต้องหยุดชะงัก ฉีเฟยอวิ๋นเองก็แทรกตัวออกมาจากในผ้าห่ม
หนานกงเย่หมุนตัวไปมองคนที่อยู่บนเตียงด้านหลัง ผมยาวสยายของฉีเฟยอวิ๋นนั้นพันกันยุ่งเหยิงจนดูไม่ได้ เวลานี้ได้แทรกตัวออกมาจากผ้าห่ม : “จวินฉูฉู่หรือไม่เจ้าคะ?”
เวลานี้จวินฉูฉู่คือคนที่ไม่น่าออกมาที่สุด แต่นิสัยเนื้อแท้ของจวินฉูฉู่ ยิ่งในเวลานี้ยิ่งต้องปรากฏตัว เวลานี้นางไม่น่าจะถูกใครสงสัยได้โดยง่าย
สีหน้าของหนานกงเย่เคร่งขรึมลง : “ห้ามออกไป ข้าจะรีบกลับมา”
กล่าวจบหนานกงเย่ก็หมุนตัวเดินจากไป ฉีเฟยอวิ๋นยังคงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะลงจากเตียงมาใส่เสื้อผ้า แต่เสื้อผ้านั้นขาดหมดแล้วฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านทันที
พวกเขากลับมาไม่นาน เหตุใดจวินฉูฉู่ถึงมาในเวลานี้ ท่านอ๋องตวนละ?
แต่หากไม่ใช่จวินฉูฉู่ แล้วจะเป็นใคร?
ฉีเฟยอวิ๋นจัดระเบียบตัวเองเรียบร้อย เตรียมจะออกไปจับชู้
อาอวี่ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ตื่นตกใจ : “พระชายา ท่านอ๋องบอกให้ท่านอยู่ในห้องไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“อื้อ ข้าเพิ่งคิดได้ว่ามีเรื่องต้องทำ เจ้าต้องพาข้าไปหาเขาเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาอวี่ช่างหลอกง่าย เดินตามฉีเฟยอวิ๋นไปยังห้องโถงด้านหน้าตลอดทาง
ครั้นถึงห้องโถงด้านหน้ากลับไม่มีใคร อาอวี่จึงคาดว่าน่าจะอยู่ในห้องรับรอง ฉีเฟยอวิ๋นไม่สบายใจอย่างมาก เหตุใดต้องไปห้องรับรองด้วย มีเรื่องอะไรถึงเปิดเผยไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นมาถึงห้องรับรอง ในขณะที่อารมณ์กำลังขุ่นมัวนั้น ก็เห็นประตูของห้องรับรองเปิดอยู่ และเห็นคนสองคนยืนอยู่หน้าประตู ทังเหอก็อยู่ที่นั่นด้วย
ครั้นฉีเฟยอวิ๋นปรากฏตัว ทังเหอกำลังจะรุดหน้าเข้าไปกล่าวทักทาย ฉีเฟยอวิ๋นรีบโบกมือไปมา ส่งสัญญาณไม่ให้กล่าวอะไร
ทังเหอลังเลเล็กน้อย ดูท่าทางจะตั้งใจมาจับชู้โดยเฉพาะ
ทังเหอเมินหน้าไปทางอื่น และเฝ้ารักษาการณ์ต่อไป
ฉีเฟยอวิ๋นเดินมาแอบฟังอยู่ด้านนอกของประตู
จวินฉูฉู่ที่อยู่ด้านในแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดเดิม บนศีรษะถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว สีหน้าซีดเซียวจนน่าตกใจ
หนานกงเย่นั่งอยู่บนเก้าอี้ และเอ่ยถาม : “ท่านพี่สะใภ้รองมีธุระอะไรหรือ?”
จวินฉูฉู่หยุดชะงักทันที
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
ยังไม่ทันเอ่ยน้ำตาก็ไหลริน จวินฉูฉู่มีใบหน้าที่น่าดึงดูดใจ เวลาร้องไห้จึงมักน่าสงสาร
หนานกงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ : “หรือท่านพี่สะใภ้รองอยากให้ข้าเรียกท่านว่าพระชายาตวนละ?”
“ท่านพี่เย่ เจ้าเป็นอะไรไปรึ? เจ้าก็รู้ว่าข้ามาหาเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาเรียกข้าว่าท่านพี่สะใภ้รอง เจ้าก็รู้คำว่าท่านพี่สะใภ้รองคำนี้สร้างความเจ็บปวดมากเพียงใด เจ้ารู้ ว่าข้าเสียใจมากเพียงใด”
จวินฉูฉู่ร่ำไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้
หนานกงเย่กล่าว : “ที่ท่านพี่สะใภ้รองมาวันนี้ ข้าคิดว่ามากับพี่รองเสียอีก หากรู้ว่ามีแค่ท่านพี่สะใภ้รอง เช่นนั้นข้าคงไม่มาพบท่าน”
หนานกงเย่ลุกขึ้นยืน และกำลังจะจากไป
จวินฉูฉู่ยืนโง่อยู่ที่เดิม น้ำตาไหลริน : “ท่านพี่เย่ เหตุใดเจ้าถึงใจดำเช่นนี้ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”
จวินฉูฉู่ไม่เข้าใจ
หนานกงเย่เอามือไขว้หลัง และบีบมือไว้ : “พระชายาตวน ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ ขออภัยที่ไม่ได้ไปส่ง เชิญ”
หนานกงเย่ย่างก้าวออกจากประตูใหญ่ไป ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองคนที่เดินอยู่ใต้หิมะ แผ่นหลังตั้งตรงเด่นสง่าจนไม่อาจรุกล้ำได้
ในขณะที่เดินอยู่นั้น จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีใครเดินตามหลัง ครั้นหมุนตัวกลับไป ก็พบว่าเป็นฉีเฟยอวิ๋น สีหน้าจึงเคร่งขรึมลง
เขาไม่ได้ขุ่นเคืองฉีเฟยอวิ๋น แต่กลับมองไปยังทังเหอ ทังเหอจึงรีบกล่าวว่า : “พระชายามาตอนไหนข้าเองก็ไม่ทราบ ครั้นพบและกำลังจะทูลรายงานท่านอ๋องนั้น ท่านอ๋องก็เดินออกมาเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก ทังเหอ ความสามารถในการปัดความรับผิดชอบของเจ้าต้องทำให้ข้าต้องมองเจ้าใหม่ เหตุใดเมื่อก่อนข้าถึงมองไม่ออกกันนะ!”
หนานกงเย่เลื่อนสายตาอันคมกริบและเยือกเย็นไปทางทังเหอแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินมาตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น : “ข้ายังไม่ได้ทำอะไร”
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางทังเหอและอาอวี่แวบหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิด เกิดความสับสนอยู่ในใจ
ช่วยกล่าวอะไรกันหน่อยได้หรือไม่ เงียบเช่นนี้ยิ่งรู้สึกผิด แต่หากกล่าว ไม่เป็นการยอมรับความสัมพันธ์ของทั้งสองคนหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นแสดงสีหน้าเคร่งขรึมและอึดอัดใจ ครั้งนี้ไม่ควรมาเลยจริง ๆ!
“ท่านอ๋อง ข้าแค่ผ่านมา”
กล่าวจบฉีเฟยอวิ๋นก็หมุนตัวเตรียมเดินจากไป หนานกงเย่เร่งฝีเท้าตามมาด้านหลัง : “เหลวไหล เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าตั้งใจมาจับชู้อยู่หน้าประตู”
อาอวี่อึ้งไปในทันที จากนั้นก็มองไปยังหนานกงเย่ที่อยู่ข้างกาย แต่ใบหน้าของเขายังคงไร้สีหน้าใด อาอวี่จึงเมินหน้าไปทางอื่นและแสดงสีหน้าที่แตกต่างออกไป
จวินฉูฉู่เดินออกมาจากตำหนัก เห็นทั้งสองคนจากที่ไกล ๆ ท่าทางเกี้ยวพาราสีนั้นตำตาของจวินฉูฉู่อย่างมาก
จวินฉูฉู่ค่อย ๆ ออกจากจวนอ๋องเย่ หลังจากออกมาแล้วก็จับแขนคนรับใช้ขึ้นรถม้าไป
ท่อนอ๋องตวนหนานกงเหยี่ยนยังคงเอนกายนอนอยู่บนรถม้า จวินฉูฉู่ยกมือขึ้นมาตบหน้าของเขา : “ไร้ประโยชน์!”
นางกำนัลที่เห็นเหตุการณ์จากด้านนอก ก็ตกใจจนเกือบกรีดร้องออกมา นั้นท่านอ๋องเชียวนะ!
จวินฉูฉู่มองออกไป แม้ว่านัยน์ตาจะนิ่งสงบ แต่กลับเต็มไปด้วยความอาฆาต
นางกำนัลรีบคุกเข่าลง : “พระชายาอย่าได้ทรงกริ้วไปเลยเจ้าค่ะ พระชายาได้โปรดไว้ชีวิตด้วย แม้ว่าบ่าวจะมีความสนิทสนมเพียงใด แต่คงไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ออกไป บ่าวไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้นเจ้าค่ะ!”
จวินฉูฉู่มองไปทางนางกำนัลตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา : “ไม่พูดก็ดี ต่อให้พูดก็ไม่เป็นไร บนโลกใบนี้ คนตายจะพูดอะไรได้?”
“เจ้า เจ้าค่ะ…”
นางกำนัลรีบก้มหน้าโขกพื้นด้วยความตัวสั่นงันงก
“ไสหัวออกไป”
นางกำนัลรีบถอยออกจากรถม้า ลงจากรถยังไม่ทันจะยืนอย่างมั่นคง เหงื่อเย็นดันผุดออกมาจนเปียกชุ่มไปทั่งตัว
คนขับรถม้าได้เข้ามาประคองนางกำนัลไว้ และจากจวนอ๋องเย่ไปพร้อมกัน
ทังเหอยืนอยู่หน้าประตูก็อดแปลกใจไม่ได้ นี่คือรถม้าของท่านอ๋องตวน แต่กลับไม่เห็นท่านอ๋องตวน องครักษ์ของท่านอ๋องตวนกลับอยู่ด้านนอก
ท่าทางของนางกำนัลเมื่อครู่คงจะเผลอไปเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า จึงได้มีท่าทางตื่นตกใจเช่นนั้น
ฉีเฟยอวิ๋นกลับมาถึงจวนด้วยความกระอักกระอ่วนใจ จึงกลับไปยังห้องของตนเอง และยังเป็นห้องของหนานกงเย่ด้วย
ห้องของหนานกงเย่ถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบ แต่เมื่อเห็นท่าทางของหนานกงเย่คิดอยากอยู่ข้างกายของนาง
เพียงแต่…
“ท่านอ๋อง ส่งข้าแค่นี้เถอะ ไม่ต้องเข้าไปด้านใน ท่านอ๋องเองก็เหนื่อยมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้ายังต้องคิดอย่างละเอียดว่าจะเตรียมสิ่งใดไปถวายแด่เสด็จแม่ ไม่สะดวก…”
เอี๊ยด ประตูที่อยู่ด้านหลังของฉีเฟยอวิ๋นถูกเปิดออก หนานกงเย่เดินตรงเข้าไป เดิมทีไม่ให้โอกาสฉีเฟยอวิ๋นปฏิเสธด้วยซ้ำ
ฉีเฟยอวิ๋นตัวเกร็งขึ้นมาฉับพลัน กระทั่งรู้สึกกดดันมหาศาลขึ้นในใจ ครั้นนางหมุนตัวกลับไป กลับเห็นว่าหนานกงเย่กำลังเปลื้องเสื้อผ้า! เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?