บทที่ 297 เรียนเชิญ

คู่ชะตาบันดาลรัก

“มีบางเรื่องที่ถึงท่านจะไม่เผชิญหน้าก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิดขึ้น” มีเสียงหนึ่งดังแทรกการสนทนาของพวกเขา

หยางชูหันกลับไปก็เห็นเสวียนเฟยยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าดูอารมณ์ไม่ดี

เสวียนเฟยไม่สนใจท่าทางของเขาอีกฝ่ายเดินมาพูดกับหมิงเวยว่า “เรื่องนั้นท่านจะปล่อยผ่านไปงั้นหรือ”

หมิงเวยส่ายหน้า “ข้าเพิ่งพบเบาะแสบางอย่างก่อนหน้านี้จึงไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือไม่”

นางรู้ดีว่าเรื่องนั้นส่งผลกระทบกับหยางชูมากเพียงใด และหากพูดออกไป มันจะล้มล้างชีวิตของเขาได้เลย นางจึงไม่อยากพูดอย่างลวกๆ จนกว่าจะมีหลักฐานที่แน่ชัด

ทั้งสองถามตอบกันเองเห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความลับร่วมกัน หยางชูซึ่งถูกกีดกันก็ไม่พอใจเขาถามหมิงเวยว่า “ท่านมีเรื่องต้องบอกกับเขาแต่ไม่บอกกับข้างั้นหรือ”

คนที่ตอบคำถามนี้กลับไม่ใช่หมิงเวย แต่เป็นเสวียนเฟย “นางไม่ได้บอก แต่ข้าเดาได้ด้วยตนเอง”

หยางชูยิ่งไม่มีความสุข อีกฝ่ายเดาได้ แต่ตนกลับไม่รู้อะไรเลย…

“ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่”

เสวียนเฟยถามเขากลับทันที “ท่านไม่อยากฟังไม่ใช่หรือ”

“…” หยางชูกัดฟันแล้วถามหมิงเวย “ท่านอยากบอกอะไรกัน”

หมิงเวยไม่คิดว่าเสวียนเฟยพูดไปแค่สองสามประโยคจะยั่วยุเขาได้เพียงนี้ นางทั้งขำทั้งฉุน “ท่านอย่าไปสนใจที่เขาพูดเลยถ้าไม่อยากรู้ก็อย่าถาม”

พอหยางชูหันหน้าไปทางอื่น เขาก็เห็นเสวียนเฟยยกมุมปากเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นดูอ่อนโยน แต่เหตุใดถึงดูยั่วยุเช่นนั้น ราวกับว่าเขากำลังหัวเราะเยาะตนที่ไม่กล้าแม้แต่จะฟัง

หยางชูจึงถามอย่างไม่ลังเล “ท่านไม่ได้บอกให้ข้าเลือกงั้นหรือ ข้ารู้สึกว่าข้าอยากฟัง”

หมิงเวยถอนหายใจ “ท่านแน่ใจนะ”

เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ข้าแน่ใจ”

ไม่รอให้นางได้พูดอะไรเสวียนเฟยก็พูดขึ้นว่า “ท่านไม่ได้บอกว่าอยากให้ใต้หล้าสงบสุขหรอกหรือ ทำไม ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาความเป็นไปได้นี้พบ ท่านจะยอมแพ้เพียงเพราะความรักระหว่างชายหญิงงั้นหรือ” คำพูดนี้กระตุ้นนางได้ดี

หมิงเวยกลับไม่โกรธ แต่ถามไปว่า “สิ่งที่ข้าควรแบกรับข้าต้องแบกรับ ให้เขาเสียสละเพื่ออุดมการณ์ของข้ามันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ ไม่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของตนเองได้ เขาไม่สามารถสูญเสียสิทธิ์นี้เพราะความรักที่มีต่อข้าหรอกนะ”

เสวียนเฟย “….”

เขายั่วยุมากมายเพียงนั้นไปเพื่ออะไรกันไม่ใช่เพื่อให้เด็กนั่นยืนขึ้นมาด้วยตนเองหรอกหรือ นางก็ช่างดีเสียจริง ไม่เพียงไม่ช่วยเขาพูดแต่ยังพูดเพื่อเด็กนั่นอีก! ช่างเหนื่อยใจจริงๆ

เมื่อหยางชูได้ยินคำพูดนั้นหัวใจของเขาก็เบ่งบาน

ความรักเพื่อข้า ทำไมคำสี่คำนี้จึงฟังดูน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก

หยางชูสัมผัสกับรสชาติของความสุขอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าหดหู่ของเสวียนเฟยเขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น “ข้ารู้ว่าท่านอยากพูดอะไร เรื่องนี้ข้าเองก็สงสัยมานานแล้วแค่ยากที่จะยอมรับมัน ตอนนี้เขาไม่แม้แต่จะสนใจข้า คิดจะถลกหนังข้า ข้าคงไม่จำเป็นต้องโกหกตัวเองต่อไปอีก”

เมื่อเห็นว่าไม่มีความลังเลใจบนใบหน้าของเขาอีกทั้งยังดูอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย หมิงเวยจึงพยักหน้า “เอาล่ะ ในเมื่อท่านอยากฟังงั้นก็ฟังให้ดี” พูดจบนางก็หันไปมองเสวียนเฟย

เสวียนเฟยถูกนางจ้องมองก็ไม่เข้าใจ “เรื่องของท่าน เหตุใดต้องให้ข้าพูดด้วย”

หมิงเวยยักไหล่ “ท่านไม่ได้พูดด้วยความดีใจหรอกหรือ ข้าเลยไม่ได้แย่งท่านพูด”

“….”

“ไม่อยากพูดไม่เป็นไร ข้าจะค่อยๆ บอกเขาเป็นการส่วนตัว” เห็นท่าทางยิ้มแย้มของนางทำเอาเสวียนเฟยรู้สึกเหมือนตนเองตกอยู่ในวิกฤต

ให้นางพูดเป็นการส่วนตัวนางจะไม่พูดบิดเบือนความจริงหรอกหรือ ช่างเถอะ พูดก็พูด!

“เอาล่ะ เริ่มจากการดูดาวครั้งนั้น…”

…………

หน้าร้านเล็กๆ ใกล้ประตูทิศใต้ ฟู่จินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบ่นว่า “หัวหมูตุ๋นวังจี้ ยี่สิบปีแล้วในที่สุดก็ได้กลับมากินอีกครั้ง”

พูดแล้วเขาก็จัดเสื้อผ้า และก้าวเข้าไปในร้านด้วยท่าทางสดชื่น จากนั้นก็ตะโกนว่า “เถ้าแก่ หัวหมูหนึ่งจิน ขาหมูหนึ่งชิ้น ลิ้นหมูสอง หูหมูสอง ผักเคียงสองชาม เหล้าเหลาไป๋กานสอง!”

“ได้เลย! เชิญนั่งขอรับ!”

ลูกค้าโต๊ะข้างเคียงได้ยินเช่นนั้นก็ยกนิ้วให้เขา “ได้ยินอาหารที่ท่านสั่ง ท่านนี่เป็นนักกินผู้หนึ่งเลยนะ”

ต่อหน้าผู้อื่นฟู่จินดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป เขาคารวะอีกฝ่ายด้วยท่าทางสุภาพ “ข้าดูน่าหัวเราะเลย เพียงไม่ได้มาเมืองหลวงนานกว่ายี่สิบปีจึงอยากจดจำรสชาตินี้ไว้ก็เท่านั้น”

อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง “ท่านนี่เป็นคนสบายๆ จริงๆ”

ในบรรดาลูกค้าในร้านตราบใดที่มีเหล้าเป็นตัวกลาง การสนทนาก็เป็นเรื่องง่าย หากเป็นไปตามบทที่วางไว้ทั้งสองฝ่ายเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน พูดคุยกันทุกเรื่องด้วยความสามารถของอาจารย์ฟู่ เขามีวิธีการของตนเองในการตรวจจับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ภายในช่วงเวลาที่ดื่ม

เถ้าแก่หั่นหมูตุ๋น และนำขึ้นมาวางอย่างรวดเร็ว ฟู่จินดมกลิ่นด้วยท่าทางหลงใหล และคีบหัวหมูตุ๋นชิ้นบางๆ

“อาจารย์ฟู่” จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นทำให้ฟู่จินชะงักด้วยความตกใจจนหัวหมูที่คีบตกลงไปในชาม

เขาเงยหน้าขึ้น และเห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าโต๊ะ ดูแล้วน่าจะมีอายุยี่สิบห้าปีขึ้นไปไม่ถึงสามสิบปี รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาสง่างาม สวมชุดตัวยาวทำให้ดูสุขุมเยือกเย็นสีหน้าของเขาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก

เขาแบกกู่ฉินไว้ด้านหลัง ส่วนหนึ่งของกู่ฉินโผล่ออกมาจากผ้าคลุม แค่เห็นไม้ก็รู้เลยว่าเป็นกู่ฉินที่ดี

อาจารย์สอนกู่ฉินงั้นหรือก็ไม่น่าใช่

แม้ฟู่จินจะเป็นนักวิชาการ เขาเดินทางไปทุกที่เมื่อตอนที่เขายังเยาว์วัย กราบไหว้อาจารย์มาหลายท่าน เรียนรู้วิชาป้องกันตัว แค่เห็นก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่เพียงรู้วรยุทธ์แต่ยังเป็นยอดฝีมืออีกด้วย

ยอดฝีมือผู้หนึ่งเหตุใดถึงมาตามหาเขาที่ร้านเล็กๆ ข้างถนนกัน เขาอยู่อย่างสงบสุขมาตลอดหลายปีนี้ไม่เคยสร้างศัตรูที่ไหน

ฟู่จินกำลังนึกถึงอดีตหรือตอนเด็กเขาไปสร้างศัตรูที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า พอลูกหลานเติบโตจึงมาแก้แค้น…

“ท่านใช่อาจารย์ฟู่ ฟู่จินหรือไม่” อีกฝ่ายถาม

ฟู่จินเรียกกำลังใจแล้วตอบว่า “ใช่ ไม่ทราบว่าท่านคือ…”

“ข้าน้อยนามหนิงซิว”

ฟู่จินร้อง ‘อ้อ’ ในบรรดาศัตรูของเขาไม่มีคนแซ่หนิง แต่ไม่แน่ว่าอาจไม่ใช่ลูกหลาน แต่เป็นศิษย์

“มีอะไรอย่างนั้นหรือ” เขายังคงถือตะเกียบอยู่ในมือในหัวกำลังคิดว่ากดจุดเลือดลมจุดไหนดี

ตายๆ! ยี่สิบปีนี้เขาเพลิดเพลินกับสุราอาหารชั้นดีในสถานศึกษาซานไถทุกวันจึงไม่ได้ฝึกฝนทักษะกระบี่มากนัก! หากต่อสู้กับอันธพาลยังพอได้ แต่กับยอดฝีมือ…ดูเหมือนยอมจำนนน่าจะเร็วกว่า

“มีเรื่องสำคัญอยากเชิญอาจารย์ไปด้วยกันสักครู่” หนิงซิวตอบเรียบๆ ดูไม่ออกเลยว่าเป็นมิตรหรือศัตรู

ฟู่จินไตร่ตรองและถาม “ข้าพักอยู่ที่จวนหลู่เซียง หากใช้เวลาพูดคุยนาน เกรงว่าจะไม่ได้ต้องขออภัยด้วย”

ใบหน้าของหนิงซิวยังคงไร้อารมณ์ “อาจารย์โปรดวางใจข้าจะให้คนส่งข้อความไปที่จวน”

ฟู่จินพูดอีกว่า “ข้ามีลูกศิษย์ผู้หนึ่งเขาคือใต้เท้าเจี่ยงผู้ดำรงตำแหน่งจิงจ้าวอิ๋น ข้ามีนัดกับเขาตอนเย็นเกรงว่าต้องแจ้งให้ทราบเสียก่อน”

“ไม่ต้องห่วง ใต้เท้าเจี่ยงทราบแล้วขอรับ” หนิงซิวพูดจบเขาก็ก้าวไปข้างหน้า และโอบไหล่ของฟู่จินไว้ “เวลามีไม่มาก เราต้องการความช่วยเหลือจากท่าน”

ฟู่จินเมื่อเห็นว่าตนเองถูกลากออกจากร้าน เขาคิดจะใช้ตะเกียบในมือกดจุดเลือดลมแต่ก็ถูกอีกฝ่ายปัดออกไปได้อย่างง่ายดาย

เขาหันกลับไปตะโกนว่า “เดี๋ยวก่อน! เถ้าแก่ ห่อกลับบ้าน!”