บทที่ 282 แกมันโง่

คนชุดดำเข้าปราสาทจตุรเทพนานถึง 2 ชั่วโมงก่อนจะออกมา ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

หลายวันหลังจากนั้นก็มีคนชุดดำหลายสิบคนแยกย้ายกันเข้าไปในถิ่นของปราสาทจตุรเทพ ณ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือและตั้งฐานกันที่นั่น

หลายวันมานี้ทุก ๆ คนต่างก็เฝ้าติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด

แต่ฉู่ชวิ๋นกลับหายสาบสูญไปไม่เห็นแม้เงา

“คิดไม่ถึงว่าปราสาทจตุรเทพจะร่วมมือกับประตูวิญญาณสลาย คงตัดสินใจแน่แล้วว่าจะฆ่าจอมมารฉู่ให้ได้”

“ครั้งนี้ปราสาทจตุรเทพทำตัวแย่ไปหน่อยนะ ประตูวิญญาณสลายชื่อเสียงฉาวโฉ่ ร่วมมือกับพวกเขาถือเป็นการเดินหมากที่แย่มาก”

“ถึงแม้จอมมารฉู่จะโหดเหี้ยม แต่ก็ไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์ การที่ปราสาทจตุรเทพร่วมมือกับประตูวิญญาณสลายนับว่าเป็นการก้าวสู่การตกต่ำเป็นก้าวแรก”

เว็บบอร์ดยุทธพเกิดความคิดเห็นขึ้นมากมาย

ทุกคนกำลังเฝ้าดู บางคนอธิษฐานให้ฉู่ชวิ๋นอย่าปรากฏตัวออก บางคนก็หัวเราะหึ ๆ หวังว่าปราสาทจตุรเทพจะรีบฆ่าฉู่ชวิ๋นทิ้งซะ

แต่สุดท้ายฉู่ชวิ๋นก็ปรากฏตัว คราวนี้ลงมือได้ยิ่งใหญ่อลังการ เขาต่อสู้หลายครั้งในปราสาทจตุรเทพ คนของปราสาทจตุรเทพบาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน

แต่น่าเสียดายที่ฉู่ชวิ๋นเองก็ไม่อาจหนีรอดไปได้ ถูกจับทางได้

ฉู่ชวิ๋นมุ่งไปทางทิศตะวันตก จนสุดท้ายจนตรอกที่หุบเขาแคบแห่งหนึ่ง

“เฮอะ หนีมาที่นี่ รนหาที่ตายซะจริง” เยวี่ยหงโป๋หัวเราะอย่างเย็นชา

ทางออกหุบเขาถูกปิดไว้หมดแล้ว ต่อให้ฉู่ชวิ๋นมีปีกก็ยากที่จะหนีไปได้

ครั้งนี้ปราสาทจตุรเทพแทบจะขนมาทั้งหมด ปิดกั้นทางออกหุบเขาไว้แน่นหนาจนแม้ลมยังไม่อาจพัดผ่านไปได้

“ฉู่ชวิ๋น ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงของเยวี่ยเหวินหนานดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า สะท้อนก้องอยู่ในหุบเขา

แต่ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่เห็นฉู่ชวิ๋นจะตอบ

“จอมมารฉู่ แกไม่มีทางไปหนีแล้ว แกล้งตายไปก็ไร้ประโยชน์” เยวี่ยเหวินหนานตะโกนเข้าไปในหุบเขา

แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากฉู่ชวิ๋น

“จอมมารฉู่ ไอ้เต่าหดหัว ไม่คู่ควรกับฉายาจอมมารเลยสักนิด” เยวี่ยเหวินหนานด่ากราด แต่ไม่ว่าเขาจะสบถก่นด่าอย่างไรภายในภูเขาก็ไม่มีวี่แววตอบกลับ

“พี่ใหญ่ น้องสาม พวกนายว่าในหุบเขานี้จะมีทางลัดหลบหนีอะไรแบบนี้หรือเปล่า หรือจอมมารฉู่มันหนีไปแล้ว” เยวี่ยฉางเล่อเอ่ย

เยวี่ยหงโป๋และยั่วเหวินหนันมีสีหน้าเปลี่ยนไป เพราะใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ท่ามกลางป่าไกล ๆ มีคนชุดดำจำนวนหนึ่งที่พรางตัวรอจู่โจม กำลังมองอยู่เงียบ ๆ

คนเหล่านี้ล้วนมีฝีมือเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

“เจ้าสำนัก พวกเราเอายังไงดี”

“รอดูนิ่ง ๆ ” คนชุดดำผู้เป็นหัวหน้าเสียงแหบแห้ง มีลมปราณที่แข็งกร้าวอย่างมาก

ณ หน้าหุบเขา เยวี่ยเหวินปั๋วตะโกนเสียงลั่น “พวกนายเฝ้าอยู่ตรงนี้ ถ้าเห็นจอมมารฉู่ ฆ่าโดยไม่ต้องลังเล”

“น้องสอง น้องสาม พวกเราเข้าไปดูหน่อย”

เยวี่ยหงโป๋พูดจบก็พุ่งนำเข้าไปคนแรกทันที

เยวี่ยฉางเล่อและเยวี่ยเหวินหนานตามหลังไปติด ๆ

ร่างของทั้ง 3 คนหายลับไปอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็มีเสียงระเบิดอันน่าตกใจดังออกมาจากในหุบเขา

ตู้ม ๆ

เสียงระเบิดดั่งฟ้าผ่าที่ขุนเขาทั้งหลายยังต้องสั่นสะเทือนไปทั้งหุบเขา

บนภูเขาไกล ๆ มีจอมยุทธ์กำลังเฝ้ามองอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน

“พวกเขาเจอจอมมารฉู่หรือยัง”

“น่าจะใช่ ไม่งั้นคงไม่เกิดเสียงดังขนาดนี้”

“จอมมารฉู่นี่ซวยจริง ๆ ถึงกับถูกบีบให้ติดอยู่ในหุบเขาแบบนี้ เรียกได้ว่าจะไปสวรรค์ก็ไม่มีทาง จะลงพสุธาก็ไร้ประตู”

ในขณะที่ผู้คนกำลังแสดงความเห็นอยู่นั้น เสียงในหุบเขาก็ดังไม่หยุด

ฟิ้ว

เสียงร้องของฟีนิกซ์ดังจนหินแตกออก นกฟีนิกซ์ตัวหนึ่งสยายปีกกว้าง 20 เมตร ตระหง่านอยู่บนฟ้า เพลิงสีม่วงลุกโชติช่วงเต็มท้องฟ้า

ต่อให้อยู่นอกหุบเขาทุกคนก็ยังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

“ดูเหมือนนี่จะเป็นฝีมือของจอมมารฉู่”

“ถูกต้อง ฉันเคยเห็นเขาใช้วิชานี้มาก่อน อานุภาพน่ากลัวมาก”

“ท่าทางพี่น้อง 3 คนตระกูลเยวี่ยจะเจอจอมมารฉู่เข้าแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่”

ตู้ม ๆ

เสียงระเบิดดังต่อเนื่องไม่ขาดหู ด้านในหุบเขาเกิดเสียงระเบิดดังลั่นสะท้านฟ้าดิน แม้แต่พื้นพสุธายังสั่นไหว

“เจ้าสำนัก พวกเราจะออกโรงเลยไหม?” หนึ่งในชายชุดดำถาม

“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน” เสียงแหบแห้งดังขึ้น

คนชุดดำจำนวนหนึ่งพรางตัวรอจู่โจมต่อไป

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เสียงในหุบเขาเริ่มเบาลง

“ดูเร็ว มีคนออกมาแล้ว” มีคนร้องขึ้นอย่างตกใจ

ทุกคนมองไปแล้วต่างอ้าปากค้างและเบิกตาโพลงด้วยความตะลึง

เห็นเพียงพี่น้องตระกูลเยวี่ยทั้ง 3 หนีกันอย่างน่าอนาถ ตามเนื้อตัวทั้ง 3 มีแต่รอยเลือด ลมปราณยุ่งเหยิง ดูแล้วบาดเจ็บกันหนัก

ทั้ง 3 คนหนีออกมาอย่างทุลักทุเล สภาพอนาถเกินจะเปรียบ แขนทั้ง 2 ข้างของเยวี่ยเหวินหนานห้อยอย่างหมดแรง ท่าทางกระดูกและข้อเอ็นจะหัก อีก 2 คนก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่เลือด ที่มุมปากยังมีไหลออกเรื่อยๆ

“แจ้งท่านพ่อ ฉู่ชวิ๋นอยู่ในหุบเขานี้แหละ บอกเขาว่าให้รีบมาปลิดชีพมันด่วนเลย”

เยวี่ยเหวินหนานฝืนพูดประโยคนี้จบก่อนจะกระอักเลือดออกมา และสลบไปในที่สุด

“สมกับที่เป็นจอมมารฉู่ คิดไม่ถึงเลยว่าพี่น้องตระกูลเยวี่ย 3 คนร่วมมือกันยังเสียท่าให้กับเขา” มีคนกระซิบเสียงเบา

ทุกคนพากันพยักหน้า ต่างตะลึงอยู่ในใจ

พี่น้องตระกูลเยวี่ยทั้ง 3 คนมีชื่อเสียงมานาน คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกจอมมารฉู่เอาชนะได้ด้วยตัวคนเดียว ดูแล้วเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด

“ท่าทางคนที่จะฆ่าจอมมารฉู่ได้จะมีแต่เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยแล้วสินะ”

ทุกคนพากันพยักหน้าอีกครั้ง เมื่อ 10 กว่าวันก่อนก็เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยนี่แหละที่ทำร้าย

ฉู่ชวิ๋นได้ จนฉู่ชวิ๋นตกอยู่ในอันตรายเกือบจะเสียชีวิตไปหลายครั้งหลายครา”

ผ่านไปประมาณ 1 ก้านธูป มีร่างทรงพลังร่างหนึ่งแวบมาราวสายฟ้าฟาด เป็นเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยนั่นเอง

เมื่อเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเห็นลูกชาย 3 คนของตัวเองบาดเจ็บกันสาหัส ใบหน้าชราของเขาโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี บันดาลโทสะอย่างมาก

เขาพรวดพราดมองเข้าไปในป่า “ประตูวิญญาณสลาย ในเมื่อพวกแกเป็นพันธมิตรกับพวกเราปราสาทจตุรเทพ ทำไมเห็นลูกชาย 3 คนของฉันบาดเจ็บหนักแล้วยังเฉย อยากจะรอดูเฉย ๆ แล้วค่อยเอาประโยชน์หรือไง”

ในป่ามีร่างคนปรากฏขึ้นยิบยีบ คนชุดดำกลุ่มหนึ่งเดินออกมา คนที่เป็นหัวหน้าประสานมือและเอ่ยขึ้น “พี่เยวี่ยอย่าเพิ่งโมโหไป พวกเราก็เพิ่งจะมาถึง คุณชายทั้ง 3 ตระกูลเยวี่ยใจร้อนไปหน่อย พวกเราก็ไม่ได้อยากเห็นพวกเขาบาดเจ็บ โปรดให้อภัยด้วย”

“เหลวไหล” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยคำรามด้วยความโกรธ “ไอ้ความคิดทุเรศ ๆ ของพวกแกคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ ถ้าอยากจะฉวยผลประโยชน์ ฉันแนะนำให้พวกแกไสหัวกลับไปเลยดีกว่า”

เมื่อเจอกับการตำหนิอย่างไม่ไว้หน้าของเยวี่ยฟ๋านเตี๋ย บรรยากาศรอบตัวหัวหน้าคนชุดดำก็ดำมืดแต่ไม่นานนักก็หายไป พร้อมกับประสานมือขึ้น “พี่เยวี่ย ความตั้งใจที่พวกเราประตูวิญญาณสลายจะร่วมมือกับปราสาทจตุรเทพเพื่อปลิดชีพจอมมารฉู่นั้นฟ้าดินเป็นพยาน พี่เยวี่ยเข้าใจพวกเราผิดแล้ว”

“งั้นเหรอ” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหัวเราะเย็น ๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จอมมารฉู่อยู่ในหุบเขานี้แหละ ตอนนี้ตาพวกนายประตูวิญญาณสลายเข้าไปฆ่ามันแล้ว”

คนชุดดำหัวเราะเจือน ๆ “พี่เยวี่ย พี่ประเมินพวกเราสูงไป แม้แค่คุณชายทั้ง 3 แห่งตระกูลเยวี่ยยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจอมมารฉู่ พวกเราเข้าไปก็เหมือนรนหาที่ตายดี ๆ นี่เอง”

เยวี่ยเหวินเตี๋ยมีสายตาดูแคลน “เจ้าประตูวิญญาณสลาย หลี่คุน ถ่อมตัวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ วิทยายุทธของแกกับฉันก็น่าจะพอ ๆ กัน”

เมื่อถูกเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเปิดโปงฐานะและชื่อที่แท้จริง สายตาของคนชุดดำก็คมกริบขึ้น เขาจ้องเยวี่ยฟ๋านเตี๋ย

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยไม่หวาดกลัวเลยสักนิด เขามองกลับด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก

เนิ่นนาน ไอสังหารบนตัวหลี่คุนถึงได้หายไปพลางเอ่ยขึ้น “พี่เยวี่ย พี่กับผมทะเลาะกันไปแล้วจะได้อะไร มีแต่จะทำให้จอมมารฉู่มีเวลาโคจรลมปราณมากขึ้นเท่านั้น”

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยชะงักไปก่อนจะหัวเราะหึ ๆ ออกมาแววตาเป็นประกายบางอย่าง

เยวี่ยหงโป๋และเยวี่ยฉางเล่อจ้องมองหลี่คุนด้วยรอยยิ้มลึกลับ

หลี่คุนใช่ความคิดอยู่เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกนายรออยู่ที่นี่ ส่วนคนที่เหลือตามฉันเข้าไป”

ครั้งนี้หลี่คุนพาคนมา 25 คน เหลือไว้ 5 คน ที่เหลือลุยเข้าไปในหุบเขากับเขา

“จอมมารฉู่ ออกมาเดี๋ยวนี้”

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยที่พุ่งนำเข้ามาก่อนตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราด เสียงเขาดังสนั่นไปทั่วหุบเขา

“เยวี่ยฟ๋านเตี๋ย แกมารนหาที่ตายหรือไง” ฉู่ชวิ๋นปรากฏตัว สายตาเย็นยะเยือก

“แกยังกล้าปรากฏตัวอีกเหรอ ตาย !” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก พุ่งเข้าไปทันทีพร้อมยกฝ่ามือขึ้นพร้อมฟาดฟัน

“แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร มีค่าพอจะให้ฉันหลบหน้าไม่ออกมาหาหรือไง” ฉู่ชวิ๋นเหยียดหยามพร้อมยกกำปั้นขึ้นมา ลมปราณจากกำปั้นโบกสะบัดอย่างรุนแรง

ตู้ม ตู้ม !

เมื่อ 2 ร่างเข้าปะทะกัน กำปั้นทั้งคู่เข้าประจัญบานเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ก้อนหินดินทรายกระจายฟุ้งไปทั่ว

เสียงกระแทกกันดังตู้มก่อนที่ร่าง 2 ร่างจะแยกออกจากกัน

“ฆ่า !”

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยคำรามและพุ่งเข้าใส่ฉู่ชวิ๋น

ฉู่ชวิ๋นรัวกำปั้นออกไปเช่นกัน

ตู้ม ต้ม !

ทั้ง 2 คนสู้กันนัว เกิดการระเบิดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ขาด ภูเขาสั่นไหวแผ่นดินสะเทือน

ขณะนั้น หลี่คุนเพิ่งจะพาพวกประตูวิญญาณสลายมาถึง

เมื่อเห็นทั้ง 2 สู้กันพัวพันจนยากจะแยกออกจากกัน หลี่คุนจึงคำรามเสียงดัง “พี่เยวี่ย เดี๋ยวผมช่วยพี่เอง”

ชึบ

หลี่คุนเข้ามาร่วมวง ซัดฝ่ามือใส่ฉู่ชวิ๋นทันที ลมปราณจากฝ่ามือนี้น่ากลับจนถึงที่สุด

ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้น ลมปราณจำแลงม่วงพลุ่งพล่าน พร้อม ๆ กับปล่อยหมัดใส่หมัดของหลี่คุนให้แรงหมัดกระจาย และหันกลับไปปล่อยหมัดใส่เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยจนต้องถอยหลัง 1 ก้าว

“ประตูวิญญาณสลาย พวกแกนี่รนหาที่ตายจริง ๆ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

พูดจบไอลมปราณสีม่วงรอบตัวก็กระจายออก มือกำเป็นหมัดพร้อมบุกไปฆ่าหลี่คุน

อย่างแข็งกร้าว

หลี่คุนคำราม ลมปราณถล่มทลายออกมา แข็งกร้าวดุดันยิ่ง เข้ารับมือฉู่ชวิ๋นอย่างไม่กลัวเกรง

ขณะเดียวกัน เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยก็ปล่อยพลังเต็มที่ แรงกดดันอันน่าสยดสยองไหลออกมาดั่งสายน้ำ แม้แต่อากาศยังโดนแรงกดดันจนต้องส่งเสียงออกมา

ตู้มม

ฉู่ชวิ๋นและหลี่คุนปะทะกันโต้ง ๆ ไม่มีลูกเล่นอื่นใด ๆ ทั้งสั้น ลมปราณทำลายล้างทุกสิ่งโดยรอบ

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยคำรามและฟาดฝ่ามือออกไป ลมปราณอันน่ากลัวถาโถมและกระแทกเข้าใส่ไหล่ของหลี่คุนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างรุนแรง

ตู้มม

ฝนตกมาเป็นเลือดทั่วฟ้า หลี่คุนกรีดร้องโหยหวนก่อนจะกระเด็นออกไปกระแทกใส่หินก้อนใหญ่จนหินแตกกระจาย

“เยวี่ยฟ๋านเตี๋ย !” หลี่คุนตะโกนเดือดดาล

คนอื่น ๆ จากประตูวิญญาณสลายก็ช็อคกับภาพตรงหน้าจนนิ่งอึ้งไป

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยและฉู่ชวิ๋นมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

“หลี่คุน แกถูกหลอกแล้ว” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยได้ใจมาก

หลี่คุนครึ่งไหล่ระเบิดเป็นฝนเลือด สีหน้าซีดเผือด พลังลมปราณหายไปหลายส่วน คำพูดแฝงไว้ด้วยความเคียดแค้น

“ที่แท้นี่เป็นกับดักที่พวกแกรวมหัวกันสร้างขึ้นนี่เอง”

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยหัวเราะร่วน “ถูกต้อง พวกเราหมดแรงไปไม่น้อยเลยนะเพื่อจะล่อให้แกออกมา”

ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นฟาดฝ่ามือออกไปกลางอากาศ มีโซ่สีม่วงปรากฏและพุ่งเข้าใส่หลี่คุน

หลี่คุนคำราม ลมปราณรอบตัวสั่นไหว ลมปราณในตัวหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง กำปั้น 2 ข้างถูกลมปราณห่อหุ้มเอาไว้และปล่อยออกไปด้วยความรุนแรง

ตู้มม

กลิ่นไอสยดสยองซัดเข้ามาดั่งคลื่น หินรอบ ๆ ตัวหลี่คุนถูกบดเป็นผง !

หลี่คุนกรีดร้องโหยหวน แขนอีกข้างที่เหลืออยู่ระเบิดออก เลือดสาดกระจาย

จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดินั้นฆ่าได้ยากมาก ต่อให้แยกร่างเป็นชิ้นๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสคืนชีพอีก โดยเฉพาะฝีมือจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับสูงอย่าง หลี่คุน

“จอมมารฉู่ ที่แท้แกก็ซ่อนพลังเอาไว้” หลี่คุนตะโกนอย่างเจ็บใจ ครั้งก่อนที่เขามองเห็นฉู่ชวิ๋นจากที่ไกล เขารู้สึกว่าฝีมือของอีกฝ่ายกับตัวเองพอ ๆ กัน แต่การโจมตีของฉู่ชวิ๋นเมื่อกี้กลับทำให้เขาหวาดกลัว หารู้ไม่ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะฉู่ชวิ๋นพึ่งจะทะลวงระดับพลังสำเร็จ

“พูดมากเกินไปแล้ว !” ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นหมายจะปลิดชีพอีกฝ่าย

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยกลับรั้งฉู่ชวิ๋นไว้ “น้องชาย ไม่ต้องรีบฆ่าเขาขนาดนั้น ให้ฉันได้รู้สึกถึงความสำเร็จแบบคนฉลาด ๆ ก่อนสิ”

หืม.. ฉู่ชวิ๋นมีสายตาแปลกประหลาดใจขึ้นมาเมื่อได้ยินเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพูดแบบนี้

“หรือพี่ไม่รู้ว่ามีคนมากมายตายเพราะพูดเยอะเกินไปกับศัตรู”

เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยชะงักไปก่อนจะลูบจมูกเขิน ๆ พลางเอ่ยขึ้น “ขอแค่ 2 ประโยคพอ อย่างน้อย ๆ ก็ให้ไอ้หมูโง่ตัวนี้ได้ตายอย่างกระจ่างเถอะ”