ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 213 เพียงร่ายรำก็คลั่งไคล้ใหลหลง

จอมศาสตราพลิกดารา

ฮวาเสี่ยงหรงเปลี่ยนเป็นคนใหม่เพราะฝึกวิชาก่อนกำเนิดฉบับง่าย พูดได้ว่างามล้ำเป็นที่หนึ่ง คิดอยากจะล่อลวงจิตใจคนก็ช่างง่ายแสนง่าย

ระหว่างสนทนานั้น ฮวาเสี่ยงหรงในชุดชาววังผ้าขาวโปร่งบางโบยบินขึ้นมาบนเวที ลอยล่องดุจนางเซียน เรือนผมงามปลิวพลิ้ว ข้างหลังมีปีกวายุสีเงินคู่หนึ่งสยายออก ประดุจเทพธิดาใต้แสงจันทร์ที่มีปีกจริงๆ วิธีขึ้นเวทีแบบนี้ประหนึ่งภาพฝันมายาเป็นที่สุด

มวลชนทุกหนทุกแห่งบนถนนรอบๆ ต่างส่งเสียงร้องฮือฮาอย่างยากจะควบคุมทันที

วิธีขึ้นเวทีโดยการโบยบินแบบนี้ช่างงดงามวิจิตรจริงๆ ราวกับเซียนวังจันทราลอยลงมา ทำให้หลายคนใจสั่นสะท้าน เอาชนะวิธีการขึ้นเวทีของนางคณิกามีชื่อคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ได้ในชั่วพริบตา

“หืม?” หลี่มู่แปลกใจเล็กน้อย

‘ปีกเงิน’ เป็นหนึ่งในวิชาเต๋าที่เขาสอนให้นาง สามารถบินไปในท้องฟ้าได้ เพียงแต่เขาไม่นึกว่าฮวาเสี่ยงหรงจะใช้เป็นวิธีขึ้นเวทีในการแข่งขัน เท่าที่เขารู้ ฮวาเสี่ยงหรงไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่ชอบโอ้อวด แต่กลับใช้วิธีแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะสู้ศึกครั้งนี้อย่างจริงจัง

เกิดอะไรขึ้น?

หรือนางจะถูกกระตุ้นอะไรจากในกระโจมหลังเวที?

ดวงตาของหลี่มู่หรี่ลง

“ไปสืบมา” เขาสั่งการ

เจิ้งฉุนเจี้ยนรับคำ ก่อนหมุนตัวจากไป

……

“นางก็คือฮวาเสี่ยงหรง?”

ในห้องส่วนตัวชั้นหนึ่งที่หอโอบจันทร์ ใบหน้างามสง่าเหลือล้นขององค์ชายสองฉายแววประหลาดใจ ส่วนลึกในดวงตามีความตะลึงฉายวาบแล้วหายวับไป

หัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรองหลิวเฉิงหลงก็ตะลึงไปเช่นกัน

เขาเคยเห็นฮวาเสี่ยงหรง รู้เรื่องแม่นางคนดังในแต่ละหอคณิกาของหน่วยเลี้ยงรับรอง ฮวาเสี่ยงหรงคือคนดังของหอสดับเซียน นับได้ว่าเป็นสาวงามดั่งหยก แต่ในความทรงจำของเขาไม่ได้สวยถึงระดับนี้แน่นอน สตรีชุดขาวบนเวทีหลักเบื้องหน้าคนนั้นลอยลมมาภายใต้ประกายสะท้อนของแสงจันทร์ ประหนึ่งเซียนวังจันทราผู้สูงส่งไร้มลทิน เฉิดฉายจนแทบจะไม่ใช่ของจริง

อีกทั้งนางยังบินตามลมมาได้ นั่นเป็นวิชาเวทชัดๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน?

“ทูลองค์ชาย นางคือฮวาเสี่ยงหรง คนดังของหอสดับเซียน” หลิวเฉิงหลงรีบรายงาน “เพียงแต่…เปลี่ยนไปมาก ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินว่านางเป็นวิชาเวท”

“จอมเวทเหนือกว่าหกดาว แต่กลับเป็นนางคณิกาคนดังของหน่วยเลี้ยงรับรองเสียได้ ฮึๆ น่าสนใจ” สายตาขององค์ชายสองจับจ้องอยู่บนเวทีหลัก สนอกสนใจเป็นอย่างมาก

หลิวเฉิงหลงเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก

จอมเวทเหนือหกดาว?

ฮวาเสี่ยงหรง?

เป็นไปไม่ได้

ตื้นลึกหนาบางของหญิงสาวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหน่วยเลี้ยงรับรองทุกคนล้วนแน่ชัดยิ่ง ในนั้นก็มีสตรีที่เชี่ยวชาญวรยุทธ์อยู่มากจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นกงซุนอู่แห่ง ‘หอชมโฉมงาม’ ก็เชี่ยวชาญการรำกระบี่ยาว ก่อนจะเข้ามาในหน่วยเลี้ยงรับรองเคยเป็นจอมยุทธ์ขั้นรวมจิต แต่ฮวาเสี่ยงหรงผู้นี้ภูมิหลังคือสตรีตระกูลมั่งคั่งที่ตกต่ำจริงแท้แน่นอน ไม่รู้เรื่องวิชายุทธ์ ไม่ใช่จอมเวทเป็นแน่

ทว่า คำพูดขององค์ชายสองไม่มีทางผิด

ต้องรู้ไว้ว่า เชื้อพระวงศ์จักรวรรดิฉินในปัจจุบันนี้ก็เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดวรยุทธ์ระดับต้นๆ องค์ชายสองคือมังกรในหมู่มนุษย์ พรสวรรค์เป็นเลิศ พลังฝึกวิถียุทธ์ลึกล้ำเกินหยั่ง เพียงแต่เพราะถือกำเนิดอยู่ในราชวงศ์ น้อยนักที่จะท่องยุทธภพ ดังนั้นชื่อเสียงจึงไม่โดดเด่น ตอนนั้นที่หลิวเฉิงหลงถูกเนรเทศออกจากเมืองฉิน ในเมืองหลวงก็มีข่าวลือว่าองค์ชายสองทะลวงถึงขั้นฟ้าประทานแล้ว ตอนนี้หกปีผ่านไป ถึงขอบเขตพลังใดไม่กล้าจะคิดเลย

มีเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ องค์ชายสองตอนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธ์แน่

ดังนั้นสายตาของเขาไม่มีทางพลาด

แต่คำถามคือ ฮวาเสี่ยงหรงเริ่มฝึกวิชาเวทตั้งแต่เมื่อใดกันแน่?

และฝึกเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?

หรือว่า…

ในหัวของหลิวเฉิงหลงมีร่างเงาหนึ่งผุดขึ้นมาทันที

หลี่มู่!

จะต้องเกี่ยวกับหลี่มู่แน่

แต่หลี่มู่ทำให้สตรีที่ไม่รู้วิชาเวทวิชายุทธ์เลยแม้แต่น้อยก้าวกระโดดขึ้นเป็นจอมเวทยอดฝีมือเหนือหกดาวภายในเวลาไม่ถึงเดือนได้อย่างไร?

นี่มันจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

ความคิดของหลิวเฉิงหลงหมุนเร็วจี๋ เพียงชั่วพริบตาก็มีความคิดผุดขึ้นมาไม่รู้ต่อเท่าไหร่

ในฐานะผู้ดูแลหลักของหน่วยเลี้ยงรับรอง เกิดเรื่องประหลาดแบบนี้ภายใต้การดูแลของตนแต่กลับไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย องค์ชายสองต้องไม่พอใจความสามารถของเขามากๆ แล้วกระมัง?

เขาใจร้อนรุ่มไม่เป็นสุข

“ฉางอันมีดรุณีงามโสภา เป็นเอกในหล้าไร้ใครเทียบเคียง เพียงแรกเหลียวมองล่มนครา ชายตาอีกคราจมเมือง…”

องค์ชายสองเอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชม “ตอนแรกที่ข้าได้ยินกลอนบทนี้ รู้สึกเพียงว่าคงจะกล่าวเกินจริง แต่วันนี้พอได้พบ ฮวาเสี่ยงหรงงามล้ำล่มบ้านล่มเมืองจริงๆ ต่อให้เป็นธิดาเทพที่ตั้งใจคัดเลือกมาอบรมของสำนักใหญ่บางแห่งหรือสตรีผู้ถูกเลือกที่ตระกูลขุนนางราชนิกุลอบรมเลี้ยงดู ยามอยู่ต่อหน้านางก็เกรงว่าจะเทียบไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าในหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอันจะมีสตรีงามหยาดเยิ้มถึงเพียงนี้อยู่ด้วย มิน่าเล่าหลี่มู่ที่ได้สมญาว่าพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ถึงได้อ้อยอิ่งอยู่กับหอสดับเซียน”

ด้วยฐานะและตำแหน่งของเขา หากทอดถอนใจและชมเชยแบบนี้ออกมา เห็นได้ว่าชื่นชมและตื่นตะลึงจริงๆ

หลิวเฉิงหลงหัวไว เอ่ยว่า “ทะเบียนพลเรือนของฮวาเสี่ยงหรงยังอยู่ในหน่วยเลี้ยงรับรอง ยังไม่ได้ไถ่ตัวออกไปพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายสองไม่พูดอะไร

หลิวเฉิงหลงพูดสำทับอีก “นางคณิกาชื่อดังที่เข้าร่วมประกวดจะต้องเป็นหญิงพรหมจรรย์ นี่เป็นกฎแต่ไหนแต่ไรมา สตรีชาววังที่มีประสบการณ์โชกโชนตรวจแล้วว่าฮวาเสี่ยงหรงยังบริสุทธิ์”

“อืม ไม่เลวเลย” องค์ชายสองพยักหน้า

ก็แค่พยักหน้าเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรอีก

แต่สำหรับหลิวเฉิงหลง ในใจเขามีแผนแล้ว

……

“เจ้ากล้าเถียงอย่างนั้นรึ?” หญิงชราหน้าตาเหี้ยมเกรียมคนหนึ่งยกมือตบฉาด

เพียะ

หน้าประตูกระโจม สาวใช้ซินเอ๋อร์กุมหน้า มุมปากมีเลือดไหลออกมา ดวงตาฉายประกายโกรธเกรี้ยวจับจ้องคนของหอชิดสิเน่หากลุ่มหนึ่งที่อยู่ตรงข้าม

“นังเด็กชั้นต่ำ ตบนี้เพื่อให้เจ้ารู้ อย่าได้ไร้กฎระเบียบ ทาสชั้นต่ำอย่างเจ้าก็กล้าเถียงท่านแม่ลู่เสวี่ย รนหาที่ตายชัดๆ” หญิงชราคนนั้นเอามือเท้าสะเอว พูดอย่างอำมหิต

พวกหญิงชราและคนงานชายรอบๆ ต่างหัวเราะ

คนของหอชิดสิเน่หาทำหน้าหยามหยัน โดยมีแม่เล้าลู่เสวี่ยเป็นหัวหน้า

“พวกเจ้าพูดจาหยาบคาย ทำตัวไร้มารยาทกับคุณหนูของข้าก่อน” ซินเอ๋อร์เช็ดเลือดที่มุมปาก เชิดหน้าอย่างดื้อดึง

“แค่ว่านางไม่กี่ประโยค ไม่ทำให้เนื้อหลุดออกมาเสียหน่อย จะทำไม?” หญิงชราคนนั้นพูดอย่างเย็นชาน่าขนลุก

คนรอบๆ ต่างคล้อยตาม “นั่นสิ คิดว่าตัวเองเป็นคณิกาอันดับหนึ่งจริงๆ แล้วรึ? แม่นางหงซิ่วได้ดอกไม้หนึ่งแสนสามหมื่นตะกร้ายังไม่พูดอะไรเลย ฮวาเสี่ยงหรงจะได้กี่ตะกร้า? วางโตเสียเหลือเกิน”

“ฮิๆ ข้าว่านะ ครั้งนี้นางได้ตะกร้าดอกไม้ครึ่งหนึ่งของแม่นางหงซิ่ว นั่นก็นับว่าสุดยอดแล้ว”

“ก่อนแข่งโอ้อวดเกินจริง ไม่แน่นะ สุดท้ายจะล้มหน้าคะมำเอา”

“เล่นลูกไม้ลับหลัง แอบคบค้ากับสมาพันธ์การค้า ตกลงกันลับๆ นับว่าเป็นความสามารถอะไร? หากมีปัญญาจริงก็เลียนแบบเหมือนแม่นางลู่นู่น ร่ายรำเพลงหนึ่งจบ ตื่นตะลึงไปทั่วทุกทิศ ทำให้คนตบรางวัลอย่างยินยอมพร้อมใจ นี่ถึงจะเรียกว่ามีความสามารถจริง”

เสียงสะใจในความทุกข์ของผู้อื่นดังขึ้นรอบด้าน

หลายวันมานี้ฮวาเสี่ยงหรงโดดเด่นในเมืองฉางอันเกินไป หลี่มู่ที่เลิศล้ำทั้งบุ๋นและบู๊นางก็ครอบครองไปคนเดียว แม่นางคนอื่นแม้แต่น้ำแกงสักถ้วยก็ไม่ได้ดื่ม[1] สร้างความอิจฉาริษยาให้หลายๆ คน แล้วยังเป็นที่นิยมที่สุดในการประกวดคณิกาอันดับหนึ่งครั้งนี้อีก นางคณิกามีชื่อคนอื่นจะไม่มองนางเป็นปฏิปักษ์ได้อย่างไร?

ตอนนี้ฮวาเสี่ยงหรงขึ้นเวทีไปแสดง ไป๋เซวียนก็กลับที่นั่งแขกคนสำคัญ ในกระโจมนอกจากซินเอ๋อร์แล้วมีแค่คณิกาที่ยังเป็นสาวบริสุทธิ์ชื่อเสียงไม่เด่นดังอีกสี่คนอยู่เป็นเพื่อนอย่างขลาดกลัว เมื่อมีคนมาท้าทาย จงใจพูดนินทาสามสี่ประโยคอยู่ด้านนอก ด้วยนิสัยของซินเอ๋อร์ย่อมทนการยั่วยุไม่ได้ ดังนั้นจึงอ้าปากเถียง แต่กลับถูกกล่าวหาว่าไม่มีกฎระเบียบ ซ้ำยังโดนตบอีกสองที

“เจ้า พวกเจ้า…” ซินเอ๋อร์โมโหจนน้ำตาไหล

นางจะพุ่งไปสู้สุดใจกับพวกปากหอยปากปูเหล่านั้น แต่นางคณิกาพรหมจรรย์ทั้งสี่ตกใจ รีบดึงนางเอาไว้

ด้วยเหตุนี้ นางคณิกาคนดังไปจนกระทั่งคนข้างกายพวกนางจึงต่างแตกตื่น รีบล้อมวงมาดูเรื่องครึกครื้นกัน

……

“ใต้เท้า เรื่องเป็นเช่นนี้”

เจิ้งฉุนเจี้ยนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังเวทีทั้งหมด

เขามีแหล่งข่าวของตัวเอง สืบต้นสายปลายเหตุเรื่องที่ไป๋เซวียนถูกท้าทาย ฮวาเสี่ยงหรงถูกวิจารณ์ และซินเอ๋อร์ถูกเหยียดหยามมาได้อย่างชัดเจน แต่ว่าเขาไม่ได้ลงมือโดยพลการ กลับมารายงานหลี่มู่ก่อน

หลี่มู่ฟังแล้วไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

ที่ไหนมีคนที่นั่นก็คือยุทธจักรจริงๆ

เขานั่งอยู่ตรงหน้าต่างพลางดูฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำขับขานด้านล่าง

เพลงที่นางร้องคือ ‘กลอนสาวงาม’ การแสดงคือระบำที่ออกแบบเพื่อเพลงกลอนนี้โดยเฉพาะ

ภายใต้แสงจันทร์ ท่วงท่าร่ายรำพลิ้วไหว เรือนร่างงดงาม ดวงจันทร์ทั้งสองลอยเด่นกลางฟ้า แสงจันทร์กระจ่างเหมือนเกาะกลุ่มอยู่ที่ร่างของหญิงสาวผู้งามล่มเมืองคนนี้ แสงประกายดุจวงรัศมีจันทร์รวมตัวอยู่ที่กระโปรงยาวชาววังสีขาว เสียงขับขานกังวานก้องเสมือนอยู่ในวังกว่างหาน[2]

ความงดงามเช่นนี้ ท่วงท่าร่ายรำเช่นนี้ เสียงขับร้องเช่นนี้ ดับนางคณิกามีชื่อก่อนหน้านี้ภายในเสี้ยวขณะโดยสิ้นเชิง

ต่อให้เป็นลู่หงซิ่วหอชิดสิเน่หาที่แสดงได้รางวัลอย่างงดงามก็ยากจะเทียบได้

จันทร์คู่ลอยเด่น ประกายจันทร์ดุจน้ำค้างแข็ง

ทั้งตัวฮวาเสี่ยงหรงคล้ายเปล่งแสงจันทร์ออกมาก็ไม่ปาน

ละอองหมอกที่เห็นได้ด้วยตาเปล่ามุ่งหน้ารวมไปยังฮวาเสี่ยงหรง แสงจันทร์ระยิบระยับลอยไปหาสตรีที่งดงามจนเหมือนไม่ใช่คนของโลกมนุษย์ สุดท้ายเกาะไปบนผิวขาวผุดผ่องของนาง นี่ไม่ใช่ภาพบนโลกมนุษย์ชัดๆ

หน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจายที่แต่เดิมอึกทึก มีเสียงโห่ร้องฮือฮาดั่งคลื่น คนนับพันนับหมื่นไม่รู้ว่าเงียบกริบลงตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งถนนเงียบสงัด สายตาทุกคู่รวมไปยังร่างของหญิงที่ราวภูตแสงจันทร์บนเวทีคนนั้น

ทุกคนล้วนกลั้นหายใจ

ท่าทางระมัดระวังแบบนั้น เหมือนกับกลัวว่าหากเสียงหายใจของตัวเองดังเกินจะทำให้เซียนแสงจันทร์บนเวทีนางนั้นตกใจหนีไป

หลี่มู่ก็ดูจนเคลิบเคลิ้มเช่นกัน

ฮวาเสี่ยงหรงในคืนนี้ร่ายรำอย่างเข้าถึงอารมณ์ ท่วงทำนองแห่งเต๋าแผ่ระลอก ประดุจกำลังดูดซับแสงจันทร์ กายเต๋าฟ้าประทานแห่งแสงสำแดงการดูดซับแสงจันทร์ได้เต็มที่ สำหรับนางแล้วนี่ไม่ใช่การฝึกอย่างหนึ่งหรืออย่างไรกัน ก็เหมือนกับจอมเวททั่วไปฝึกฝนวิชาเต๋าผ่านการนึกนิมิต คุณสมบัติกายของฮวาเสี่ยงหรงเยี่ยมยอดมาก ต่อให้เป็นการร่ายรำก็เป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่งเช่นกัน

ทุกทิศเงียบสงัดไร้เสียง เห็นเพียงจันทราสะท้อนกลางวารี

……………………………………………………

[1] ร่วมแบ่งประโยชน์ ชาวจีนจะพูดกันว่าแบ่งน้ำแกง

[2] วังกว่างหานหรือวังจันทรา คือวังของฉางเอ๋อเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ในตำนานเทพเจ้าจีน