บทที่ 124 ป้ายเก่าร้านใหม่เตรียมเปิดฉาก โดย Ink Stone_Romance
ระหว่างที่ความคิดเขาย้อนซ้ำไปมา คุณหนูจวินก็หัวเราะส่ายศีรษะ
“ขอบคุณมาก ไม่ต้องหรอก ไม่มีอะไรต้องเตรียม” นางว่า
นี่ก็เป็นคำพูดตามมารยาทสินะ หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
มีคนวิ่งออกมาจากด้านในโรงเตี๊ยมร้องเรียกคุณหนู แล้วก็ร้องเอ๋ทีหนึ่ง
“คุณชายสิบหนิง ท่านมาอีกแล้ว?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“ข้าบังเอิญผ่านทางพบเข้า” เขายิ้มเอ่ยตรงไปตรงมา
หลิ่วเอ๋อร์เหล่ตามองเขา
“ถ้าอย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ” นางลากเสียงยาวเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว บังเอิญจริงๆ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น คุณหนูจวินยิ้มยกมือขึ้น “ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน”
คุณหนูจวินพยักหน้าคำนับคืน
“อ้อใช่แล้ว ข้าพักอยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยน[1]ทางใต้ของเมือง หากเจ้ามีธุระก็ไปหาข้าที่นั่นได้ บอกกับคนเฝ้าประตูว่ามาหาข้าก็พอ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้นอีก
ที่นั่นย่อมไม่อาจเข้าไปตามใจได้ แต่เขาจะกำชับยามเฝ้าประตูไว้ ขอเพียงคุณหนูแซ่จวินมาต้องบอกเขา
คุณหนูจวินคำนับอีกครั้ง
“ได้” นางว่า
นางไม่ลังเลสักนิด ฉับไวทั้งไม่คิดมากนัก
หนิงอวิ๋นเจายิ้มหมุนตัวก้าวยาวเข้าไปทางในเมือง เดินเด็ดขาดฉับไว ฝีเท้าเบาเร็ว พริบตาก็หายไปท่ามกลางผู้คน
“พวกเรามีธุระอะไรต้องไปหาเขาเล่า?” หลิ่วเอ๋อร์เบะปากเอ่ยขึ้น “เสแสร้งมีไมตรี”
“เจตนาดี ต่อให้ไม่ได้ใช้ ก็รับไว้ในใจได้ไหมเล่า” คุณหนูจวินยิ้มบอก
“เวลานี้เจตนาดีแล้ว? ก่อนหน้านี้พักหนึ่งทำอะไรอยู่ล่ะ?” หลิ่วเอ๋อร์ว่า มองบนถนน ทันใดนั้นก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “คุณหนู เขามารังควานท่านใช่หรือไม่?”
รังควาน?
เหมือนกับที่จวินเจินเจินไปรังควานตระกูลหนิงเช่นนั้นรึ?
คุณชายท่านนี้ท่าทางสง่างาม เข้าหาถอยออกเหมาะสมมีมารยาท คำพูดคำจาแม้บางครั้งประหลาดนัก แต่ก็นิ่งสงบเช่นกัน
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“เขาจะมารังควานข้าได้อย่างไร” นางยิ้ม “บังเอิญพบกันจริงๆ เขาบอกว่าเป็นทางผ่านกำลังจะไปบ้านท่านอาของเขา…”
นางพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไป สีหน้าไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“เป็นอะไรเจ้าคะคุณหนู?” หลิ่วเอ๋อร์รีบเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
นางเพียงแค่คิดว่าจากหอเต๋อเยว่ไปถึงบ้านของหนิงเหยียนจะบังเอิญผ่านที่นี่ได้อย่างไร
หอเต๋อเยว่อยู่ประตูทิศใต้ จวนของหนิงเหยียนอยู่ที่ตรอกฉงเหรินจวนขุนนางฝั่งนั้น ต่อให้นางไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวงขนาดนั้น ก็รู้ว่าสถานทั้งสองแห่งหนึ่งเป็นเส้นตรงเส้นเดียวกัน จะอ้อมมาประตูทิศเหนือด้านนี้ได้อย่างไร?
บางทีอาจมีธุระอื่นกระมัง
“บังเอิญจริงๆ” นางยิ้มให้หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยอีกครั้ง
นายบ่าวสองคนฝั่งนี้คุยกัน ก็มีคนสี่ห้าคนเดินมาอีก
“คุณหนูจวิน” พวกเขาคำนับอย่างนอบน้อม “ของของนายน้อยส่งมาแล้วขอรับ”
“นายน้อยส่งอะไรมาอีกแล้ว?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น “เมืองหลวงสิ่งใดไม่มี ตัดใจให้พวกเราซื้อไม่ลงหรือ?”
คุณหนูจวิบตบศีรษะนางเบาๆ
“ไปหยิบของแล้วพวกเราก็ไปเถอะ” นางว่า
ร้านแลกเงินเต๋อเซิ่งชางอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ผู้ดูแลพนักงานในร้านที่มองเห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามาคำนับอย่างนอบน้อม
“คุณหนูจวินเชิญด้านนี้ขอรับ ของที่นายน้อยส่งมาอยู่ที่เรือนด้านหลัง” ผู้ดูแลเอ่ยขึ้น พลางนำทางด้วยตนเอง
ในเรือนด้านหลังรถม้ายังไม่ทันขนของลง หีบไม้ยาวๆ ใบหนึ่งห่ออย่างแน่นหนา
“นี่คืออะไรอีกเล่า?” หลิ่วเอ๋อร์เดินวนรอบเอ่ยขึ้น พลางโบกมือ “เปิดสิเปิด”
เด็กรับใช้ไม่กี่คนมองคุณหนูจวิน คุณหนูจวินพยักหน้า พวกเขาก้าวไปข้างหน้าเปิดหีบไม้ออกอย่างระมัดระวัง เปิดผ้าหนาชั้นหนึ่งออกมา เผยให้เห็นป้ายชื่อสำนักแผ่นหนึ่ง
คำว่าโรงหมอจิ่วหลิงไม่กี่คำที่ผ่านการทาสีน้ำมันใหม่ส่องประกายใต้แสงตะวัน
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ๋อทีหนึ่ง
“โรงหมอจิ่วหลิง” นางอ่าน “นี่คือป้ายชื่อของโรงหมอจิ่วหลิวของพวกเราสินะเจ้าคะ เร็วขนาดนี้ก็ส่งมาแล้ว”
นี่เป็นป้ายชื่อแผ่นนั้นที่หรู่หนาน
“คุณหนู ป้ายชื่อวางไว้ที่นี่ก่อน รอเรือนด้านนั้นเก็บกวาดเรียบร้อยค่อยส่งไปเถอะขอรับ” ผู้ดูแลเอ่ยขึ้น
ใช่แล้ว โรงหมอจิ่วหลิงที่จะเปิดกิจการในอีกห้าวันยังเก็บกวาดไม่เรียบร้อย นี่เดิมทีก็เป็นความคิดกะทันหันหลังเข้าเมืองหลวง นางไม่ได้บอกกับคนตระกูลฟาง
ถึงกับส่งสิ่งนี้มาให้ เด็กคนนี้ก็ฉลาดเหลือเกิน หรืออาจบอกว่าความเร็วการส่งสารของร้านแลกเงินความเร็วน่าตะลึงเหลือเกิน
คุณหนูจวินก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน
“จดหมายของนายน้อย” พนักงานคนหนึ่งส่งแท่งไม้ไผ่อันหนึ่งออกมา
นี่ย่อมไม่ใช่จดหมายที่อาศัยม้าเร็วส่งมา
คุณหนูจวินรับไปเปิดออก
กระดาษสั้นๆ ถ้อยคำน้อย
“ป้ายสำนักล้ำค่า จิ่วหลิงพกติดตัวไม่ห่าง”
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้มทีหนึ่ง
ตอนนั้นอยู่ที่หรู่หนานบ้านถูกล้มไปแล้ว นางก็แบกป้ายสำนักไปมาทุกวัน ตอนนั้นเคยพูดหนึ่งประโยคว่า ป้ายสำนักล้ำค่า จิ่วหลิงพกติดตัวไม่ห่าง
ที่แท้ไม่ใช่ข่าวสารของร้านแลกเงินส่งต่อเร็วน่าตะลึง แต่เป็นฟางเฉิงอวี่คิดถึงความคิดในใจของนางที่ยังไม่ทันคิดได้ล่วงหน้า
การมาเยือนเมืองหลวงคิดคะนึงขนาดนั้นแต่ไม่อาจพูดออกจากปาก ในที่สุดมาถึงเมืองหลวงแล้ว กลับไม่อยากเห็นครั้งหนึ่งแล้วพอใจ แต่ตัดใจจากไปไม่ได้
ต่อให้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจะรั้งอยู่ก็ตาม
ไม่มีกำลังคน ไม่มีชื่อเสียง แต่ก็มีเงิน แต่เงินนี่ก็เป็นปัญหายากจะรักษา หายไปได้ตลอดเวลา
ทว่า… มือของคุณหนูจวินลูบอักษรโรงหมอจิ่วหลิงสามตัวบนป้าย
ไม่มีกำลังคนกับชื่อเสียง อย่างน้อยนางก็ยังมีตัวนางเอง มีความสามารถนี้ที่อาจารย์สอนให้นาง
อาจารย์มักจะชอบพูดประโยคหนึ่ง นั่นก็คือไร้หนทาง ถ้าเช่นนั้นก็ลองดูสักครั้งเถอะ
ตอนนี้ไม่มีหนทางอื่น ถ้าเช่นนั้นก็ลองดูสักตั้งเถอะ
“คุณหนูจวิน จะเปิดกิจการวันที่ยี่สิบแปดจริงหรือขอรับ?” ผู้ดูแลลังเลนิดหนึ่งอยู่ด้านข้างแล้วจึงเอ่ยถาม
คุณหนูจวินมองทางเขา
“ทำไม? ไม่ได้หรือ?” นางเอ่ยถาม
ผู้ดูแลรีบส่ายศีรษะ
“ไม่ขอรับ ข้าแค่กลัวว่ารีบร้อนเกินไป จะเตรียมพร้อมได้ไม่ครบถ้วน” เขาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว
“มีเงินสิ่งใดซื้อไม่ได้” นางยิ้มเอ่ยบอก
แม่นางน้อยคนนี้ออกจะเอาตัวเองเป็นใหญ่จริงๆ
ได้ยินว่าอาการป่วยของนายน้อยเป็นนางรักษาหายดี เพื่อนาง ราชโองการที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้ซึ่งซ่อนมายี่สิบปีนายหญิงผู้เฒ่าฟางยังหยิบออกมา
ผู้ดูแลยิ่งนอบน้อมขึ้นหลายส่วน
“เครื่องใช้เหล่านั้นย่อมล้วนจัดการได้ ความหมายของข้าคือ เปิดกิจการวันนั้นต้องเชิญสหายร่วมอาชีพในเมืองหลวงรวมถึงบุคคลผู้มีชื่อเสียง เวลากระชั้นชิดเกินไป” เขาเอ่ย ไม่ได้ขอไปทีเช่นกัน “คุณหนู ท่านก็รู้ สำหรับคนเหล่านี้แล้ว มีเงินไม่แน่ว่าจะมีประโยชน์”
คุณหนูจวินตบป้ายสำนัก ส่งสัญญาณให้คลุมไป
“ไม่ต้อง” นางว่า “ไม่ต้องพูดถึงคนเหล่านี้ ต่อให้ไม่มีตู้ยา ขอเพียงห้องเก็บกวาดสะอาด โต๊ะตรวจวางไว้ ป้ายโรงหมอของข้าแขวนขึ้นไปก็เปิดกิจการได้แล้ว”
เปิดกิจการเงียบๆ เช่นนี้จะได้อย่างไรเล่า?
แม้คุณหนูจวินอยู่ที่ตระกูลฟางมีชื่อเสียง อยู่ที่หรู่หนานมีชื่อเสียง แต่ตอนนี้นี่อยู่ที่เมืองหลวง ดินแดนที่ใต้หล้าอัจฉัจริยะมารวมตัวกัน หมอชื่อดังด้านต่างๆ เดินกันไปทั่ว
ไม่ตีฆ้องร้องป่าวให้คนรู้จัก น่ากลัวว่าแม้กระทั่งโอกาสจะส่งเสียงให้ตะลึงคนก็ไม่มี
อย่างไรก็ไม่อาจเอาราชโองการมาบีบผู้อื่นให้มาตรวจโรคได้กระมัง
“คุณหนูจวิน เมืองหลวงนี้ อยู่ในเมืองใหญ่ไม่ง่ายนะขอรับ” ผู้ดูแลเอ่ยอย่างจริงใจ
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ใช่แล้ว ทำสิ่งใดง่ายเล่า” นางท่าทางปลดปลงอยู่บ้าง มองป้ายโรงหมอที่ปิดไว้เรียบร้อยแล้ว ก้าวไปข้างนอกจากไป “ไปล่ะ”
หลิ่วเอ๋อร์ขานรับก้าวไวติดตามไป
ไปทั้งแบบนี้? ผู้ดูแลส่ายศีรษะยิ้มๆ คนหนุ่มสาวนี่นะ เขาก้าวไวไปส่งอย่างนอบน้อม
หลังกลางวันของฤดูร้อนอันร้อนระอุ ใบกล้วยเขียวเข้มริมหน้าต่างกระจ่างแวววาวอยู่บ้าง ชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มดวลหมากอยู่ริมหน้าต่างท่าทางผ่อนคลาย บรรดาสาวใช้สองด้านโบกพัดไปพลาง มองกระดานหมากไปพลาง
หนิวอวิ๋นเจาครุ่นคิดครู่หนึ่ง คีบเม็ดหมากวางลง
ชายวัยกลางคนฝั่งตรงข้ามสวมเสื้อคลุมยาว หน้าตาของเขาคล้ายคลึงกับเขาอยู่หลายส่วนยิ้มทันที
“แพ้แล้ว” เขาว่า “อวิ๋นเจา ฝีมือหมากของเจ้ายิ่งร้ายกาจขึ้นทุกที”
สตรีวัยกลงคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ด้านหลังสาวใช้สองคนยกถาดตามมาได้ยินก็หัวเราะ
“ฝีมือหมากของอวิ๋นเจาตั้งแต่เล็กก็ร้ายกาจ ท่านมักจะไม่ยอมรับ” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นเรียกท่านน้าสะใภ้
คนทั้งสองย่อมเป็นหนิงเหยียนนายท่านรองตระกูลหนิงกับนายหญิงรองหนิงแล้ว
“ดื่มยาบำรุงคลายร้อนเสียหน่อย” นายหญิงรองหนิงส่งสัญญาณให้เขานั่งลง ตนเองก็ยกชามใบหนึ่งส่งไปให้หนิงเหยียนด้วยตนเอง
หนิงอวิ๋นเจารับที่สาวใช้ส่งมา หยิบช้อนขึ้นมา ผ่อนคลายตามสบายไม่ขัดเขินสักนิด
ชีวิตของเขาเวลากว่าครึ่งล้วนติดตามท่านอาเติบใหญ่ อยู่ที่นี่ยังเป็นตัวของตัวเองยิ่งกว่าอยู่ที่บ้าน
“…ของขวัญแสดงความยินดีที่ต้องส่งไปวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกเตรียมพร้อมแล้ว ท่านจะดูอีกสักครั้งไหม?”
เสียงของนายหญิงรองหนิงดังเข้าในหู หนิงอวิ๋นเจากัดช้อนในปากทันที
วันที่ยี่สิบแปดเดือนหก ของขวัญแสดงความยินดี?
“ท่านอา ท่านน้า พวกท่านก็รู้เรื่องที่นางจะเปิดกิจการเหมือนกันหรือ?” เขาเงยหน้าเอ่ยถามด้วยความตกใจ
หนิงเหยียนกับนายหญิงรองหนิงก็ประหลาดใจมองเขาเช่นกัน
“นางเปิดกิจการอะไรกัน?” นายหญิงรองหนิงเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจาได้สติกลับมา วางช้อนลง
“ไม่ใช่ ข้าจะพูดว่าวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกต้องเตรียมของขวัญแสดงความยินดีอะไร?” เขาเอ่ยถาม
ไม่ใช่มั้ง ที่เขาพูดหมายถึงเรื่องนี้? นายหญิงรองหนิงคิดในใจ แต่ไม่จี้ถามสิ่งที่ผู้อื่นตั้งใจหลบเลี่ยงก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้
“งานแต่งงานขององค์หญิงจิ่วหลีกับหัวหน้ากองพันลู่ไงเล่า” นางยิ้มเอ่ยตอบตามน้ำ
งานแต่งงานขององค์หญิงจิ่วหลีกับหัวหน้ากองพันลู่?
“เป็นวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกหรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว” นายหญิงรองหนิงพยักหน้ายิ้มตอบ มองหนิงอวิ๋นเจาด้วยสีหน้าแปลกใจ “ทำไมหรือ?”
หนิงอวิ๋นเจาขานรับส่ายศีรษะ
“ไม่มีอะไรขอรับ” เขาก้มหน้า หยิบช้อนขึ้นมาต่อ
ถึงกับเป็นวันที่ยี่สิบแปดเดือนหกเหมือนกัน ช่างบังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ
โรงหมอจิ่วหลิง จิ่วหลิง
เขาฉุกคิดได้ในฉับพลัน มองขนที่ลุกพรึบอยู่บนแขนที่เผยออกมาจากเสื้อผ้าบางของหน้าร้อนที่ร่นลงไป
องค์หญิงจิ่วหลิง
นี่บังเอิญเกินไปจริงๆ แล้วกระมัง
……………………………………….
[1]กั๋วจื่อเจี้ยน (国子监) สำนักศึกษาหลวง สำนักศึกษาสูงสุดและองค์กรที่ควบคุมดูแลเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาในสมัยหยวน หมิง ชิง