บทที่ 153 วงแหวนวารี

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 153 วงแหวนวารี

“พวกเจ้าใช้เวลาทำภารกิจถึงสองเค่อ นานกว่าที่พวกเราประเมินไว้เล็กน้อย”

พานเว่ยหมินจ้องมองลูกศิษย์ทั้งสี่คนที่กลับมาหาในสภาพสะบักสะบอม แต่สีหน้าแววตาของเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ หัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 3 จึงกล่าวต่อว่า “แต่ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทันสังเกตว่ามันเป็นฝูงของราชันย์หนูอสูร ดังนั้น การที่พวกเจ้าทำภารกิจเสร็จช้ากว่าการประเมิน จึงไม่ถือเป็นเรื่องเสียหายแต่อย่างใด”

ฉู่เหินทำจมูกฟุดฟิดแล้วถามว่า “นี่กลิ่นเหม็นอะไรกัน?”

ฮันปู้ฟู่ยิ้มด้วยความขมขื่น ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

หลินเป่ยเฉินกับไป๋ชินหยุนประสานเสียงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายว่า “ไม่ต้องพูด”

“หืม?”

ไป๋ชินหยุนหันขวับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน นางหรี่ตามองเขาด้วยความสงสัยใคร่รู้ “หรือว่าท่าน…”

หลินเป่ยเฉินแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน “เปล่านะ ข้าไม่ได้ตกลงไปในบ่ออึของพวกมันสักหน่อย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

เยว่หงเซียงกับฮันปู้ฟู่รีบขยับหนีห่างจากหลินเป่ยเฉินทันที

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าทำไมพวกเขาอุตส่าห์ยืนห่างจากไป๋ชินหยุน แต่ก็ยังมีกลิ่นเหม็นติดจมูกอยู่อีก

ที่แท้หลินเป่ยเฉินก็พลัดตกลงไปในหลุมอุจจาระของพวกหนูอสูรเช่นกัน

“เอาเถอะ พวกเราไปทำภารกิจต่อไปกันดีกว่า”

ฉู่เหินเดินนำทางเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาชายแดนเหนือ

ไม่นานหลังจากที่กลุ่มศิษย์และอาจารย์เดินจากไป ราชันย์หนูอสูรก็โผล่ขึ้นมาบนพื้นดิน มันสูดจมูกดมกลิ่นในอากาศ จากนั้นจึงไล่ตามไปยังทิศทางของพวกหลินเป่ยเฉินอย่างไม่ย่อท้อ

เวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ราตรีกาลมาเยือน

กระโจมขนาดเล็กถูกกางขึ้นบริเวณริมแม่น้ำ

พานเว่ยหมินนำผงสมุนไพรมาโปรยไว้รอบกระโจมที่พัก เป็นการป้องกันงูและแมลงมีพิษ รวมถึงสัตว์ป่าจำนวนมาก ไม่ให้มายุ่มย่ามระหว่างที่พวกเขาพักผ่อน

หลินเป่ยเฉินขุดหลุมบริเวณริมน้ำ ปล่อยให้น้ำจากแม่น้ำไหลลงมาอยู่ในหลุม เรียบร้อยดีแล้วเขาก็ถอดเสื้อผ้ากระโดดลงไปนอนแช่น้ำสบายใจ

ไป๋ชินหยุน ฮันปู้ฟู่และเยว่หงเซียงเห็นว่าเข้าท่าดีก็ทำตามอย่างเขาบ้าง ทั้งสามคนขุดสระน้ำส่วนตัวขึ้นมาโดยเร็ว และกระโดดลงไปนอนแช่น้ำพักผ่อนหย่อนใจ ทำความสะอาดร่างกายหมดจด

“เจ้าเคยใช้ชีวิตอยู่ในป่ามาก่อนหรือ?”

ฮันปู้ฟู่สอบถาม

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เปล่า พอดีข้านึกได้โดยบังเอิญน่ะ”

ซะที่ไหนกันเล่า

เขาจำมาจากสารคดีที่ดูตอนอยู่โลกมนุษย์ต่างหาก

กองไฟถูกก่อขึ้นส่งเสียงปะทุเปรี๊ยะปร๊ะ

แสงสว่างจากกองไฟส่องต้องใบหน้าของกลุ่มศิษย์ทั้ง 4 คน

หลังทำภารกิจมาทั้งวัน พวกเขาล้วนมีสีหน้าเหนื่อยล้า

แต่ในขณะเดียวกัน ภารกิจที่ได้ทำในป่าลึก ก็ทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจและรู้สึกสนุกสนานอยู่ไม่น้อย

โดยเฉพาะการได้ล่าสัตว์ป่าหลายชนิด ยิ่งได้ลงมือสังหารมากเท่าไหร่ จิตใจก็ยิ่งสงบเยือกเย็นมากขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มสาวทั้งสี่เริ่มคุ้นเคยกับการฆ่าฟันมากกว่าเดิม

นี่คือประโยชน์ของการฝึกพิเศษ

การสังหารสัตว์ป่าไม่เหมือนการสังหารมนุษย์ แต่มันก็ช่วยทำให้เด็กๆ เหล่านี้เติบโตขึ้น

ทันใดนั้น ห่างออกจากกระโจมที่พักไม่ไกล ราชันย์หนูอสูรขุดดินโผล่ขึ้นมาสำรวจดูสภาพแวดล้อมด้วยความระมัดระวัง

เมื่อมันเห็นเป้าหมาย แววตาก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความเกลียดชัง

เพราะบัดนี้ มนุษย์กลุ่มนั้นถลกหนังหนูอสูรบริวารของมัน นำมาขึงไม้ผึ่งลมอย่างไร้ยางอายนัก

นี่มันอะไรกัน

โหดร้ายเกินไปแล้ว…

มันถึงกับจำหน้าตาของหนึ่งในบริวารได้ด้วยซ้ำ

มนุษย์กลุ่มนี้ ไม่มีทางให้อภัยได้เด็ดขาด

ราชันย์หนูอสูรสาบานกับตนเองว่า มันจะต้องล้างแค้นให้กับพวกพ้องที่ตกตายให้จงได้

แต่ทันใดนั้น

“เอ๊ะ? นี่กลิ่นอะไรกันเนี่ย? ทำไมหอมจังเลย…”

ราชันย์หนูอสูรทอดสายตามองไปยังซากของตัวอะไรบางอย่าง ที่เสียบไม้ย่างไฟอยู่ในบริเวณที่พักของพวกมนุษย์

เนื้อตัวอะไรกันนะ ทำไมถึงได้มีกลิ่นหอมหวนชวนหิวยิ่งกว่าบรรดาต้นหญ้าในหุบเขาเสียอีก?

เจ้าหนูรู้สึกเหมือนประตูแห่งโลกใบใหม่ได้เปิดกว้างสำหรับมันแล้ว

ตัดภาพมาที่พวกของหลินเป่ยเฉิน

“รับประทานได้แล้วล่ะ”

ฉู่เหินเลาะเนื้อหนูอสูรย่างแจกจ่ายให้แก่ทุกคนด้วยความชำนาญ

หลินเป่ยเฉินลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะถามกลับ น้ำเสียงอึกอักว่า “เนื้อหนูสกปรกเช่นนี้ จะไม่มีเชื้อโรคแฝงอยู่หรือขอรับ?”

ฉู่เหินทำหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “เนื้อหนูอสูรเป็นเนื้อที่มีค่าที่สุดในหุบเขาชายแดนเหนือแล้ว นอกจากให้คุณค่าทางอาหารเลิศล้ำ มันยังมีรสชาติอร่อยเหาะ นับเป็นอาหารตัวเลือกแรกๆ เวลาที่มือกระบี่หรือนักผจญภัยเข้าป่า คนเขากินกันมาหลายสิบปี ข้าก็ยังไม่เคยเห็นมีใครตายสักคน เพราะฉะนั้นเจ้าจงวางใจเถิด”

หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่อีกนาน สุดท้ายก็ปฏิเสธ

โลกนี้อันตรายจะตาย

เขายังไม่อยากพบจุดจบเพราะรับประทานอะไรส่งเดช

อีกอย่าง ในแอปพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ หลินเป่ยเฉินยังมีอาหารสำรองอยู่พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นผลไม้แห้งหรือเนื้อตากแห้ง ล้วนสั่งจากโรงเตี๊ยมชิงฝูมาก่อนแล้วทั้งนั้น ในเมื่อมีอาหารที่ทั้งสะอาดและปลอดภัยมากกว่า เขาจะต้องเสี่ยงอันตรายกับเนื้อหนูสกปรกพวกนี้ไปทำไม

เมื่อทุกคนรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ฝ่ายลูกศิษย์ก็เริ่มทำความสะอาดบาดแผลของตนเอง

การบุกเข้าอาณาเขตของพวกหนูอสูรวันนี้ นอกจากหลินเป่ยเฉินเพียงคนเดียว ศิษย์อีกสามคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า เมื่อแกะผ้าพันแผลออกมา พวกเขาก็ใบหน้าเหยเก ส่งเสียงครางในลำคอด้วยความเจ็บปวด

โชคดีที่ก่อนออกเดินทาง ทุกคนได้จัดเตรียมผงรักษามาเรียบร้อยแล้ว

เมื่อนำผงรักษาโรยลงไปบนบาดแผล ความเจ็บปวดก็บรรเทาขึ้นหลายเท่า น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 วัน บาดแผลเหล่านี้ก็จะหายดี ไม่มีเหลือแม้แต่รอยแผลเป็น

“แหะแหะ ศิษย์พี่ฮัน ให้ข้าช่วยรักษาท่านนะ”

หลินเป่ยเฉินรู้สึกคึกคักแจ่มใส เดินไปยืนอยู่ข้างกายฮันปู้ฟู่ แสดงความสามารถของผู้มีพลังปราณธาตุน้ำออกมา

เพียงพริบตาเดียว รอยแผลที่ปรากฏอยู่ตามเนื้อตัวของฮันปู้ฟู่ ก็จางหายไปอย่างน่ามหัศจรรย์

ดังนั้น ไม่เพียงแต่ไป๋ชินหยุนจะอ้าปากค้าง แม้แต่ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินก็ต้องเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อเช่นกัน

“พลังปราณธาตุน้ำของเจ้า สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้งั้นหรือ?”

ฉู่เหินถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เมื่อวานนี้หลังจากข้าน้อยกลับที่พัก ถึงได้รู้นี่แหละขอรับว่าพลังปราณธาตุตนเองทำอะไรได้”

พานเว่ยหมินพูด น้ำเสียงตะลึงลาน “ว่ากันว่าในหมู่พลังปราณธาตุทั้งห้า ผู้ที่มีพลังธาตุไม้กับธาตุน้ำจะมีความสามารถพิเศษในการรักษาบาดแผลอยู่แล้ว แต่การจะกระทำได้สำเร็จนั้น เจ้าต้องร่ำเรียนวิชาเฉพาะทาง และผู้ที่จะสามารถรักษาบาดแผลได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ นับว่าหายากนัก นี่คือครั้งแรกที่ข้าได้เห็นอะไรแบบนี้ เป่ยเฉิน พลังปราณธาตุน้ำของเจ้าไม่ธรรมดาแล้วล่ะ มันคงเป็นพลังปราณธาตุชนิดพิเศษ ที่มีธาตุน้ำเป็นรากฐานแน่ๆ”

หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาว

พลังปราณธาตุพิเศษอย่างนั้นหรือ?

หมายความว่าอย่างไรกันนะ

“เจ้าเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้แล้วหรือ? แล้วก็ไม่รีบบอกกันตั้งแต่แรก รีบรักษาข้าเดี๋ยวนี้เลย”

ไป๋ชินหยุนร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น

“เฮ้อ…ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา” หลินเป่ยเฉินพลันคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ข้ายังไม่เก่งพอที่จะปล่อยพลังปราณธาตุระยะไกล จำเป็นต้องใช้มือสัมผัสตัวผู้บาดเจ็บเท่านั้น ว่าแต่เจ้าบาดเจ็บตรงไหนเล่า? ขอข้าดูหน่อยสิ?”

ไป๋ชินหยุนเงียบเสียงไม่ยอมตอบคำใด เพราะส่วนที่บาดเจ็บของนาง อยู่ตรงบริเวณสะโพกพอดิบพอดี

หลินเป่ยเฉินจึงหันหาเยว่หงเซียงเป็นรายต่อมา

เยว่หงเซียงยิ้มแย้มงดงาม รีบยกมือขึ้นปิดบังบาดแผลบริเวณหน้าอก ตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ข้าว่าจะให้แผลมันรักษาหายเองดีกว่าเจ้าค่ะ”

พลัน พานเว่ยหมินกล่าวแทรกขึ้นว่า “ข้าพอจะรู้วิธีรักษาบาดแผลที่เรียบง่ายอยู่วิธีหนึ่ง มันเรียกว่าเคล็ดวิชาวงแหวนวารี เป็นการใช้พลังลมปราณในรูปวงแหวน คอยรักษาและชำระล้างร่างกาย ในเมื่อเจ้ามีพลังปราณธาตุสามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บให้ผู้อื่นได้ เจ้าก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน ลองทำตามข้าดูนะ”

พูดจบแล้ว พานเว่ยหมินก็สาธิตวิธีการสร้างวงแหวนวารีให้ดู

เมื่อชายชราลองยกมือขึ้นมาอีกครั้ง วงแหวนสีฟ้าก็ถูกส่งออกจากฝ่ามือ เสมือนห่วงฮูล่าฮูปที่ครอบลงบนศีรษะก่อนเลื่อนลงมาจรดปลายเท้าของตนเอง

เมื่อวงแหวนสลายตัวไป เศษฝุ่นและคราบสกปรกเปรอะเปื้อนบนเสื้อคลุมของพานเว่ยหมินก็สลายหายเกลี้ยง ร่างกายของเขากลับมาสดชื่นเหมือนเพิ่งผ่านการพักผ่อนเต็มอิ่มอย่างไรอย่างนั้น

แล้วพานเว่ยหมินก็อธิบายใจความสำคัญในการใช้เคล็ดวิชาวงแหวนวารีให้หลินเป่ยเฉินฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน

ปรากฏว่าหัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 3 ท่านนี้ ก็เป็นผู้ที่มีพลังปราณธาตุน้ำเช่นกัน

เขากล่าวถูกต้องทุกประการ วงแหวนวารีเป็นเคล็ดวิชาที่เรียบง่าย

ระหว่างที่อาจารย์พานอธิบายหลักการใช้พลังเมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินได้กดอัดวีดีโอเอาไว้ตลอดเวลา ขณะนี้ มือถือของเขากำลังสร้างแอปวิชาวงแหวนวารีขึ้นมาแล้ว และมันใช้ข้อมูลในการดาวน์โหลดเพียง 200 MB เท่านั้นเอง

เมื่อติดตั้งเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินเปิดให้แอปทำงานชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย เขาก็สามารถใช้งานวงแหวนวารีได้อย่างชำนาญ

เด็กหนุ่มโคจรพลังลมปราณไปที่ฝ่ามือของตนเองด้วยความระมัดระวัง

แล้ววงแหวนสีฟ้าก็ลอยออกมาจากฝ่ามือ ครอบคลุมลงไปที่เรือนร่างของไป๋ชินหยุน

“อ๊า…”

เด็กสาวส่งเสียงครางด้วยความสบายตัว คราบสกปรกที่ติดตามร่างกายจางหายไป เช่นเดียวกับบาดแผลไม่ว่าจะขนาดเล็กขนาดใหญ่ ต่างก็เลือนหายไปราวปาฏิหาริย์

“เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยความอยากรู้

“สบายยิ่งกว่าตอนที่นักพรตจากวิหารใช้เวทมนตร์รักษาข้าอีก เร็วๆ เข้า เอาวงแหวนของเจ้ามาคลุมตัวข้าอีก” ไป๋ชินหยุนตอบรับกลับมาอย่างมีความสุข

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าลองสำรวจตัวเองดูดีๆ ก่อน มีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า?”

ไป๋ชินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ “ไม่เห็นมีผลข้างเคียงอะไรเลย”

“อย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว”

หลินเป่ยเฉินพูดจบก็จัดการสร้างวงแหวนวารีขึ้นมาอีกครั้งและโยนออกไป

คราวนี้เขาโยนไปหาเยว่หงเซียง

เด็กสาวคงแก่เรียนสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แต่แล้วสองแก้มของนางก็แดงฝาด เยว่หงเซียงยืนเอามือกอดอก กัดฟันกรอด พยายามไม่ส่งเสียงครางออกมา ใบหน้าดูเคลิบเคลิ้มแปลกประหลาด แต่บาดแผลที่อยู่ทั่วร่างกายก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

“พะ พะ พอได้แล้ว…ขะ…ขะไม่เป็น…ไร…แล้ว”

เยว่หงเซียงพูดด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก

หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าขยับแว่นด้วยความเคยชิน กำลังคิดสงสัยอยู่ในใจว่า

ทำไมหว่า?

สีหน้าของนางเมื่อสักครู่นี้…ช่างดูคุ้นเคยเหลือเกิน

ตอนที่พานเว่ยหมินเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ ก็อดไม่ได้ต้องถอนหายใจด้วยความเหลือเชื่อ และรำพึงรำพันกับตนเองว่า “ก่อนหน้านี้ ถึงข้าพร่ำบอกทุกคนว่าเป่ยเฉินเป็นศิษย์อัจฉริยะของพวกเรา แต่ใจจริงแล้ว ข้าก็ยังไม่เชื่อความสามารถของเขาสักเท่าไหร่ แต่การจะใช้งานวงแหวนวารีได้อย่างชำนิชำนาญเช่นนี้ ตัวข้าเองต้องเสียเวลาร่ำเรียนอยู่ถึง 10 วันเต็มๆ ทว่า เด็กคนนี้ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวก็ใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว แบบนี้ถ้าไม่เรียกอัจฉริยะ แล้วจะเรียกอะไรได้อีก”

ขณะนั้น เป็นจังหวะที่หลินเป่ยเฉินหันไปคลี่ยิ้มให้กับเยว่หงเซียง “เจ้าว่าไงข้าก็ว่างั้น”

แต่เมื่อหันหน้ากลับมา เขาก็เห็นว่าไป๋ชินหยุนกำลังขึงตามองมาที่ตนเองด้วยแววตาอาฆาต

“หืม? มีอะไรหรือ? เจ้าจ้องข้าทำไม?”

“หลินเป่ยเฉิน เจ้ามันร้ายกาจนักนะ เมื่อสักครู่นี้ เจตนาใช้ข้าเป็นหนูทดลองใช่หรือไม่”

“อ้าว ก็เพราะเจ้าหนังหนามากที่สุดในกลุ่มพวกเราแล้วไม่ใช่หรือ ต่อให้เกิดความผิดพลาดระหว่างการรักษาขึ้นมา อย่างน้อยเจ้าก็คงไม่ตายแน่ๆ”

“ไม่รู้ไม่ชี้ รีบปล่อยวงแหวนของเจ้ามาให้ข้าอีกเดี๋ยวนี้เลย”

“ดีจังเลยนะ ดีจังเลย” เมื่อวงแหวนวารีถูกโยนลงมาครอบศีรษะอีกครั้ง ไป๋ชินหยุนพลันร้องครางออกมาโดยไม่รู้ตัว “อ๊า สบายตัวจังเลย ข้าไม่เจ็บแผลอีกแล้ว นอกจากนั้นยังรู้สึกร่างกายแข็งแรง แม้แต่พลังลมปราณก็กลับมาเติมเต็มอีกครั้ง เหมือนได้นอนหลับเต็มอิ่มทั้งวันทั้งคืนเลยล่ะ”

ท้องฟ้ามืดมิด

ลูกศิษย์ทั้งสี่กลับเข้าไปพักผ่อนในกระโจมที่พัก

ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินรับหน้าที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอก

ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เช้าวันต่อมา

หลินเป่ยเฉินสะดุ้งตื่นด้วยเสียงร้อง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” แสบแก้วหูของหนูที่กำลังโกรธแค้น

เมื่อเด็กหนุ่มลุกขึ้นเดินออกมานอกกระโจม เขาก็ได้พบกับภาพแห่งความประหลาดใจ