บทที่ 241-1 ความตระหนกของเว่ยเยวียน
ตั้งแต่โบราณมาประชาชนต่างเคารพและยำเกรงขุนนาง เมื่อเห็นที่ทำการปกครองที่ใหญ่โตโอ่อ่า ทหารยามที่พกดาบ และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสีหน้าขึงขัง เดินเข้าเดินออก อาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยต่างรู้สึกเกรงกลัวเล็กน้อย
อาสะใภ้มาที่ทำการปกครองเป็นครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นมาก จึงโอบสวี่หลิงอินไว้ในอ้อมแขน และลูบใบหน้าของเด็กน้อยอย่างแรง เพื่อผ่อนคลายอารมณ์
ใบหน้าของเสี่ยวโต้วติงที่อยู่ในมือของอาสะใภ้เปลี่ยนรูปไปต่างๆ นานา
สวี่หลิงเยวี่ยค่อยๆ เขยิบเข้าใกล้สวี่ชีอัน
“หนิงเยี่ยน…”
ฆ้องทองแดงคนหนึ่งที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าเดินเข้ามาทักทาย สายตาจับจ้องแต่อาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ย เห็นได้ชัดเจนว่าถูกความงามของอาสะใภ้และน้องสาวดึงดูดมา
“นี่น้องสาวของข้าเอง” สวี่ชีอันพยักหน้า แนะนำสวี่หลิงเยวี่ยให้เขารู้จัก
ฆ้องทองแดงคนนั้นยิ้มกรุ้มกริ่มส่อเจตนา จากนั้นก็มองไปทางอาสะใภ้ “แล้วนี่คือพี่สาวหรือ”
อาสะใภ้ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มร่า จนดวงตาโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยว
สวี่ชีอันกลอกตา “เจ้าเคยเห็นพี่สาวอายุสามสิบหกหรือไง”
“สวี่หนิงเยี่ยน!” อาสะใภ้โกรธจนตัวสั่น
นี่นางถูกแฉอายุหรือ อาสะใภ้สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ในใจก็พูดว่าอย่าโกรธอย่าโกรธ…ต่อหน้าคนนอก นางต้องรักษาภาพลักษณ์ จะกระโจนเข้าไปข่วนหน้าหลานชายไม่ได้
ฆ้องทองแดงเหลือบมองอาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยอีกครั้ง แล้วเดินจากไปอย่างอาวรณ์
สวี่ชีอันพาญาติหญิงสามคนไปยังห้องชุนเฟิง ระหว่างทางพวกเขาได้พบกับเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกันหลายคน ต่างทักทายสวี่ชีอันอย่างอบอุ่น หลายคนต่างเข้าใจผิดว่าอาสะใภ้เป็นพี่สาวของสวี่ชีอัน พากันชมว่านางยังสาวยังสวย
เมื่อมาถึงโถงด้านข้างห้องชุนเฟิง ก็ได้สั่งให้เจ้าพนักงานยกน้ำชามา ความรู้สึกประหม่าของอาสะใภ้ก็หายไป นางพูดยิ้มๆ ว่า “หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแต่ละคนหน้าตาดูดีมีสง่าราศี พูดจาก็น่าฟัง”
คำพูดอาสะใภ้ฟังดูแปลกๆ …สวี่ชีอันกล่าวว่า “ข้าจะไปรอหน้าประตูที่ทำการ”
เขารออยู่หน้าประตูที่ทำการปกครองเป็นเวลาหนึ่งเค่อ จนกระทั่งเจ้าพนักงานจับกุมของที่ว่าการเมืองสามคนและจ้าวเซินพร้อมทั้งภรรยาของเขามาถึง
“ใต้เท้า นำตัวผู้ต้องหามาแล้วขอรับ” เจ้าพนักงานจับกุมหนุ่มกุมหมัด พูดด้วยความเคารพ
“อืม!” สวี่ชีอันพยักหน้า ยื่นมือไปรับเชือกแล้วพูดว่า “พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ ข้าจะส่งตัวผู้ต้องหาเข้าคุก แล้วจะเอาเชือกมาคืนให้”
จ้าวเซินและภรรยาตกใจจนหน้าซีด คนเมืองหลวงมีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ดีอีกว่าคุกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นสถานที่ที่มีแต่ทางเข้า ไม่มีทางออก หากโชคดีออกมาได้ ก็ต้องถูกถลกหนัง และใช้ชีวิตที่เหลืออย่างทุกข์ทรมาน
ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของหนานกงเชี่ยนโหรวคนเดียว เขาเป็นคนสร้างชื่อเสียงด้านลบให้กับคุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
ภรรยาของจ้าวเซินนั่งลงกับพื้น ร้องไห้พร้อมอาละวาด “ข้าไม่เข้าที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฆ่าข้าให้ตายเสียเถิด ฆ่าข้าเลย”
ผู้หญิงคนนี้มองดูก็รู้ว่าอยู่บ้านคงอาละวาดจนเคยตัว สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก จนมาถึงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว นางก็ยังคงดื้อรั้นพาลรีพาลขวางไม่หยุดหย่อน
แววตาของสวี่ชีอันดุร้าย เขาแย่งฝักดาบของทหารยามมาได้ก็ตบไปหนึ่งที
‘ป้าบ…’ หญิงสาวคายฟันออกมาสามซี่ เลือดกบปาก นางปิดหน้า ดูเหมือนจะถูกตบจนมึนงง
“อยากตายง่ายนิดเดียว เดี๋ยวข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้เอง” สวี่ชีอันยิ้มเยาะ “ตอนรังแกคนอื่นทำไมจึงไม่คิดถึงตอนนี้” พูดจบ ก็กระตุกเชือกอย่างแรง แล้วลากสองสามีภรรยาเข้าไปในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
เจ้าพนักงานจับกุมสามคนยังอยู่ที่เดิม จู่ๆ ก็มีคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าท่านนั้น ดูคุ้นๆ ไหม”
“…ใต้เท้าสวี่หรือ ก่อนที่หัวหน้ามือปราบหลี่ว์จะได้เลื่อนยศเป็นหัวหน้ามือปราบ ข้าเคยทำงานเคียงข้างนาง และเคยพบกับใต้เท้าสวี่ครั้งหนึ่ง เปลี่ยนไปมากจนจำไม่ได้เลย”
“ข้าก็เคยพบเขามาก่อน มิน่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นตาขนาดนี้ เขาตายไปแล้วมิใช่หรือ ตอนนั้นหัวหน้ามือปราบหลี่ว์อารมณ์ไม่ดีเลย อะไรนิดอะไรหน่อยก็อารมณ์เสีย”
…
ระหว่างทางเหล่าฆ้องทองแดงก็จ้องมองเป็นระยะ ต่างพากันยิ้มเยาะ “ใต้เท้าสวี่กักขังผู้ต้องหาคดีอะไรหนอ เอาแต่ฟูมฟายไม่หยุดเชียว”
สวี่ชีอันตอบ “พวกใช้อิทธพลรังแกคนอื่นน่ะ วันนี้จะให้ลิ้มรสความทารุณโหดร้ายของสังคมเสียบ้าง ”
เมื่อมาถึงคุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ประตูคุกเปิดออกดัง ‘แอ๊ด…’ อากาศชื้นปะทะใบหน้า
ใบหน้าของจ้าวเซินซีดเผือด แววตาสิ้นหวังและหวาดกลัว นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาเสียใจที่สุดในชีวิต
คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องที่แสนเล็กน้อยนั้น จะพาตนเองมาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้
ในที่สุดฝ่ายหญิงก็สติแตก ร้องไห้ฟูมฟาย “กำไลนั่นข้าเอาไปจำนำแล้ว ข้าจะชดใช้เงินให้เจ้า ข้าจะชดใช้เงินให้เจ้า อย่าขังข้าไว้ในคุกใต้ดินเลย…”
จ้าวเซินเบิกตากว้าง มองหน้าภรรยา ในที่สุดเขาก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ใต้เท้าลึกลับผู้นี้โกรธเคืองสักที ที่แท้ลูกชายของตัวเองก็รังแกน้องสาวของเขาหลายหนจริงๆ ที่แท้การชิงกำไลไปนั้นก็เป็นเรื่องจริง ที่แท้ภรรยาก็รู้ทุกอย่าง แย่แล้ว ถูกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจับกุมเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นขุนนางที่มีชั้นยศก็ยังเกรงกลัว นับประสาอะไรกับเขา ท่านอาจะยอมผิดใจกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเพื่อเขาหรือไม่
อดไม่ได้ที่จะเสียใจในความผิดที่ได้กระทำลงไป เหตุใดจึงไม่ตรวจสอบเรื่องราวให้ชัดเจนเสียก่อน เหตุใดจึงไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี เหตุใดหัวจึงคิดแต่จะพึ่งพาอิทธิพลของท่านอา รังแกชาวบ้านและขุนนางชั้นผู้น้อยมันเก่งตรงไหน จ้าวเซินร้องไห้โฮ ปากก็พึมพำว่า ‘ซวยแล้ว ซวยแล้ว…’
จู่ๆ เขาก็บันดาลโทสะ ถีบภรรยาจนล้มคว่ำ ด่าทอด้วยความโกรธเคือง “เป็นเพราะเจ้า เป็นเพราะเจ้า…”
เขาเตะไป ด่าทอไป ชิงชังจนอยากจะแยกทางกับนางเสียให้ได้ แต่ก่อนอื่นต้องมีชีวิตรอดกลับไปก่อน
ฝ่ายหญิงร้องไห้โฮ
สวี่ชีอันเรียกผู้คุมมา จับทั้งสองคนเข้าคุก จากนั้นจึงเรียกหัวหน้าเรือนจำมาและสั่งการว่า “คู่สามีภรรยาที่เพิ่งเข้ามา ช่วยปรามพวกเขาหน่อย ระวังเรื่องความเหมาะสมด้วย”
“เหมาะสมของท่าน…คือไว้ชีวิต หรือเหลือไว้แต่ขาขอรับ” หัวหน้าเรือนจำพูดด้วยความลำบากใจ
“…” สวี่ชีอันกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ไว้ชีวิต แต่ต้องทุบตีพวกเขาทุกวัน เวลาทุบตีก็ระวังด้วย อย่าให้แขนขาขาด สองคนนี้มีประโยชน์กับข้า เข้าใจหรือไม่”
เมื่อพูดเช่นนี้ ทหารประจำคุกก็เข้าใจแล้ว ใต้เท้าสวี่แค่ต้องการสั่งสอนตามปกติ ให้ทั้งสองคนทนทุกข์ทรมานในคุก
‘แค่นี้เนี่ยนะ ที่นี่คือคุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเชียวนะ’ ผู้คุมคิดในใจ เรื่องแค่นี้ต้องจับขังคุกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเชียวหรือ
“แบบนี้เรียกว่าการดัดนิสัยด้วยการใช้แรงงาน ตัวข้าในฐานะหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทำหน้าที่คอยปกป้องความปลอดภัยของเขตพระราชฐาน ได้รับความเชื่อถือจากฝ่าบาทให้ทำงานในตำแหน่งสำคัญ จึงควรสั่งสอนประชาชนผู้โง่เขลา”
“ใต้เท้าช่างปรีชาสามารถ”
เมื่อออกจากคุก เขาก็คุยเล่นกับอาสะใภ้และน้องสาวในห้องชุนเฟิง จนกระทั่งเจ้าพนักงานชุดดำมารายงานว่า มีขุนนางที่อ้างว่าเป็นหลางจงของหน่วยคัดเลือกขุนนางมาขอเข้าพบ
นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดการณ์ของสวี่ชีอัน แนวความคิดเรื่องวงศ์ตระกูลในชาตินี้เข้มข้นกว่าชาติก่อนไม่รู้ตั้งกี่เท่า หากเป็นชาติก่อน หลานชายประสบกับเรื่องเช่นนี้ คนเป็นอาจะยอมทุ่มเทแรงกายมากเพียงใด เป็นเรื่องที่พูดยาก
เวลานี้สวี่ชีอันไม่ใช่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลธรรมดา แต่เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มีตราประทับทองคำอยู่ในมือ
“พาเขามาที่ห้องชุนเฟิง” สวี่ชีอันลุกขึ้นยืน ออกจากห้องโถงด้านข้าง เข้าไปใน ‘ห้องทำงาน’ ของหลี่อวี้ชุนและนั่งที่ตำแหน่งของเขา
‘อีกไม่นานข้าก็คงจะได้เป็นฆ้องเงินแล้ว ไอ้หยา มีตำแหน่งฆ้องทองแดงจำกัดอยู่สิบอัตรา ข้าควรแต่งตั้งใครดี… จำนวนจำกัดแค่สิบอัตราต้องมอบให้อารองก่อนหนึ่งอัตรา อาสะใภ้หนึ่งอัตรา เอ้อร์หลางหนึ่งอัตรา หลิงเยวี่ยหนึ่งอัตรา โอ้ และหลิงอินก็ต้องได้หนึ่งอัตราด้วย ฮ่าฮ่า ให้ทุกคนในครอบครัวกินเงินเดือนฟรีๆ ไปเลย’
เขาคิดอย่างมีความสุขอยู่คนเดียว ประตูเปิดออก เจ้าพนักงานนำขุนนางที่ไว้เคราแพะเข้ามา เขาอายุเกินห้าสิบปีแล้ว สวมชุดขุนนางสีดำ ลวดลายบนหน้าอกเป็นลายไก่ฟ้าหลังขาว ภายใต้หมวกขุนนางเผยให้เห็นจอนสีเทา
ทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูของห้องชุนเฟิง ใต้เท้าชราที่เงียบขรึมตลอดเวลาดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ก็ส่งยิ้มสบายๆ ออกมาราวกับอาบน้ำท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
“ใต้เท้าสวี่ เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน… ไอ้หยา ตำแหน่งของข้าต่ำต้อย ไม่มีโอกาสพบใต้เท้าสวี่เลย ได้ยินมาว่าท่านเป็นแขกประจำของห้องทรงพระอักษรด้วย”
สวี่ชีอันพูดเบาๆ ว่า “ต้องการพบข้า ไปที่สำนักสังคีตก็ได้”
จ้าวหลางจงตกตะลึง
สวี่ชีอันหัวเราะร่า “ใต้เท้าจ้าวหลอกง่ายกว่าสาวๆ ในสำนักสังคีตอีกนะ… ฮ่าๆๆ เชิญนั่ง เชิญนั่ง ใครก็ได้ยกน้ำชามาซิ”
จ้าวหลางจงปากปราศัยใจเชือดคอ ในใจคิดว่าสวี่ชีอันเป็นคนชอบหาเรื่อง สร้างศัตรูนับไม่ถ้วน
ส่วนสวี่ชีอันนั้นเปรียบเขาเป็นคณิกา
หลังจากการปะทะกันโดยไม่มีการต่อสู้อย่างดุเดือด เจ้าพนักงานก็ยกน้ำชาร้อนๆ เข้ามา ใต้เท้าจ้าวจิบชาอึกหนึ่ง แล้วก็พูดเข้าเรื่องทันที
“ใต้เท้าสวี่ ไม่ทราบว่าหลานชายที่ไม่ได้เรื่องของข้าคนนั้นทำผิดอะไรหรือ”
“ปัญหาใหญ่หลวงนัก!”
สวี่ชีอันหน้านิ่วคิ้วขมวด ราวกับกำลังสร้างความลำบากให้กับจ้าวหลางจง กล่าวว่า “บงการให้เด็กน้อยใช้กำลังแย่งชิงสิ่งของของผู้อื่น หลังจากเกิดเรื่องยังได้ระดมคนรับใช้ จงใจประทุษร้ายข้าและคนในครอบครัว”
“ใต้เท้าจ้าว พวกเราเป็นขุนนางราชสำนักเดียวกัน เดิมทีควรจะไว้หน้ากัน แต่…กฎหมายไม่ปรานีใครหรอกขอรับ!”
…………………………………………………