บทที่ 14 ในที่สุดก็ได้เจอคุณ

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

แม้ท้องฟ้าจะมืดสนิทเสียจนยื่นมือออกไปแล้วไม่เห็นนิ้วตัวเอง แต่ฟางหนิงยังมองเห็นได้ชัดเจนผ่านมุมมองของระบบ คุณหนูตระกูลฉีท่าทางสับสนอยู่นานสองนาน ในที่สุดเธอก็หยุดเคลื่อนไหว

และจู่ๆ อีกฝ่ายก็กระโดดขึ้นที่กลางลานกว้าง ขยับขึ้นๆ ลงๆ เหมือนผีดิบกำลังออกเดิน และเหมือนหุ่นยนต์กำลังเต้นรำด้วย สาวสวยคนนี้ต้องกลายเป็นนักเต้นตลกไปแล้ว ฟางหนิงเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้

น่าเสียดายที่บันทึกภาพไว้ไม่ได้ด้วย จึงได้แต่มองเงียบๆ แบบนี้

ผ่านไปไม่นาน ฟางหนิงเพิ่งดูไปได้พักหนึ่งเท่านั้น ก็รู้สึกเสียดายเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใครบางคนเดินเข้ามา ด้านฉีเยียนเมื่อได้ยินก็หยุดการเคลื่อนไหวทันที

จากนั้น เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น

“เยียนเอ๋อร์ ลูกมาออกกำลังกายอะไรในสนามกัน ดูเหมือนว่าไฟในลานบ้านจะเสียแล้วล่ะ มืดขนาดนี้ระวังอุบัติเหตุนะ” เสียงอ่อนโยนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

“ไม่เป็นไรค่ะ พ่อ หนูแค่อ่านหนังสือแล้วเหนื่อย เลยมาเดินเล่นที่นี่ ก็เลยถือโอกาสออกกำลังนิดหน่อยค่ะ” เสียงของฉีเยียนฟังดูประหม่าและลนลานเล็กน้อย

“เอาล่ะ พรุ่งนี้พ่อจะเรียกป้าหวังให้หาคนมาซ่อม อย่าอ่านหนังสือหักโหมมากนักล่ะ”

“รู้แล้วค่ะ” ฉีเยียนปาดเหงื่อของเธอออก โชคดีที่ก่อนฝึก เธอฉลาดพอที่จะทำให้ไฟที่ลานบ้านเสีย ไม่อย่างนั้นภาพลักษณ์ของเธอต่อหน้าพ่อคงไม่เหลือแน่

“พรุ่งนี้ตระกูลเราจะจัดประชุม ได้ยินว่าฉีเย่ว์ ลูกชายของหัวหน้าตระกูลได้ร่วมมือกับผู้อาวุโสคนนั้นแล้ว และจะแนะนำยาชนิดหนึ่งในการประชุมพรุ่งนี้ มีคนบอกว่าคราวนี้เขาใช้ตัวยาหายากหลายอย่าง ผนึกกำลังภายในข้างในตัวยา ใช้รักษาโรคที่รักษาได้ยากได้ผลดีทีเดียว และยังผลิตออกมาแค่สิบเม็ดเท่านั้น ตอนนี้กำลังระดมทุนในตระกูล ด้านหนึ่งคือหาคนมาซื้อหุ้น และอีกด้านหนึ่งคือสรรหาสมาชิกในตระกูลที่ฝึกกำลังภายในได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ผลิตยาจำนวนมากและนำออกสู่ตลาด เมื่อถึงเวลาลูกก็ไปร่วมงานด้วยเถอะ ที่พ่อนี่ยังมีเงินก้อนหนึ่งให้ลงทุน มันเป็นเจตนาดีของหัวหน้าตระกูลกับคนในครอบครัว”

“ก็ได้ค่ะ พ่อ”

ฉีเยียนเชื่อฟัง รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธอรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนที่หัวไวที่สุดในตระกูล และเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากมาย เธอเคยแต่มองพวกเขาอยู่ห่างๆ เท่านั้น ไม่เคยสนใจคำเชื้อเชิญ แต่ตอนนี้ไม่พ่อไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว เพราะเธอจะใช้ความสามารถแท้จริงเข้าร่วมให้ได้ เมื่อคิดได้อย่างนี้การที่ต้องทำท่าทางประหลาดเพื่อฝึกฝนก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอีก

“อืม…โลกกำลังเปลี่ยนไปช้าๆ พวกเราอย่าวิตกมากเกินไปเลย บางครั้งช้าลงหน่อยก็ดีกว่า” คุณพ่อฉีเข้าใจความคิดของลูกสาวเป็นอย่างดีและค่อยๆ อธิบาย

ตอนนี้ฟางหนิงไม่มีอารมณ์จะฟังการสนทนาระหว่างสองพ่อลูกมากนัก เขารีบถามระบบ

“ระบบ เรื่องที่คนนั้นเพิ่งพูดจริงหรือ”

“ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า” ระบบตอบกลับ

“พูดให้เข้าใจหน่อยสิ”

“กำลังภายในที่แต่ละคนฝึกออกมาได้มีลักษณะเฉพาะส่วนบุคคล เว้นแต่จะควบคุมอย่างระมัดระวัง ถึงจะวิ่งเข้าไปในร่างกายของผู้อื่นได้โดยไม่ทำร้ายเนื้อเยื่อปกติของผู้อื่น ไม่อย่างนั้นมันจะวิ่งไปทั่วทำลายเส้นลมปราณของร่างกายทั้งหมด แต่สมองมนุษย์อย่างพวกคุณใหญ่เกินไป บางทีพวกเขาอาจใช้ตัวยาบางอย่างรวมกับคุณสมบัติส่วนบุคคลของพลังภายในแล้วทำให้เป็นกลาง แบบนั้นจะไม่เป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อปกติ แต่ว่าหากไม่มีใครชี้นำ ก็ยิ่งไม่แน่ชัดกำลังภายในที่ไม่มีเจ้าของในยาเม็ดนี้จะแยกแยะบริเวณที่เกิดโรคในร่างกายได้อย่างไร”

ฟางหนิงรู้ว่าไอคิวของระบบไม่สูงมาก แต่มันไม่มีทางโกหก หลังจากเขาได้ฟังแล้วก็คิดถึงเรื่องหนึ่ง ในใจเกิดไอเดียขึ้นมา

“เอ๊ะ ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนี้ล่ะ” อยู่ๆ ระบบก็ฉลาดขึ้นมา

“อ้าว เห็นว่าคุณระบบรอโอกาสมาหลายวัน ของดีขนาดนี้น่าจะดึงดูดเหยื่อดีๆ ได้นะ ก็แน่ล่ะ เรื่องนี้แกเป็นคนตัดสินใจ” ฟางหนิงหลอกเจ้างี่เง่านี่จนชำนาญ จึงพูดจาหลอกล่อมันได้สบายๆ

“ก็จริง ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้เราควรจะรอโอกาสที่นี่ต่อไป”

ทั้งสองพูดคุยกันได้ไม่นาน ระบบก็ควบคุมร่างของฟางหนิงให้วิ่งไปทางที่ไม่ไกลนัก

ฟางหนิงมองแผนที่ระบบก็เห็นจุดสีแดงเล็กๆ กะพริบรางๆ อยู่ไม่ไกล เมื่อมองแสงดีๆ ก็เห็นว่าเป็นเพียงปีศาจตัวเล็กเท่านั้น ไม่คุ้มแรงให้วิ่งไปเลยสักนิด ดูท่าระบบคงจะเบื่อจริงๆ

…………

วันรุ่งขึ้น ทันทีที่ดวงตะวันลับขอบฟ้า ระบบก็พาร่างของฟางหนิงมาดักซุ่มอยู่นอกบ้านตระกูลฉีแล้ว พวกเขาหลบซ่อนอย่างมิดชิด คนตระกูลฉีที่เข้าๆ ออกๆ ต่างไม่มีใครเห็นเขา คนพวกนั้นต่างทักทายกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทางตั้งตารอคอยเรื่องคืนนี้อย่างยิ่ง

ระบบเองก็ตั้งตารอคอยเช่นกัน ฟางหนิงก็ยิ่งตั้งตารอ ทว่า ทั้งสองกลับมีจุดประสงค์แตกต่างกัน

ระบบไม่สนใจว่าตระกูลฉีจะประชุมหรือโอ้อวดสมบัติอะไร มันสนใจแค่ว่าสมบัตินี้สามารถดึงดูดปีศาจตัวใหญ่ได้หรือไม่ ส่วนฟางหนิงไม่เหมือนกับระบบ เขาตั้งตารอของขวัญจากการต่อสู้ของระบบ…

สวรรค์ย่อมเห็นใจคนอุตสาหะ เวลาใกล้จะเที่ยงคืน ปีศาจตัวใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นสมการรอคอยจริงๆ แถมไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสามในคราวเดียว แต่ละตัวต่างส่องแสงสีแดงสว่างวาบบนแผนที่ระบบ แสดงให้เห็นถึงค่าประสบการณ์ในตัวพวกมันที่สูงมาก

เป็นอย่างที่ฟางหนิงคาดไว้ ระบบแย่งผลประโยชน์จากพวกนั้นทันที แต่ผลลัพธ์ครั้งนี้กลับไม่สวยงามเหมือนครั้งก่อนๆ

ฟางหนิงดูเวลาแล้วก็รู้สึกจนใจเหลือเกิน ตอนนี้ตีสองแล้วแต่ระบบยังจับปีศาจสามตัวนั้นไม่ได้สักตัว

มันควบคุมร่างกายของฟางหนิงและกำลังไล่ตามปีศาจตัวหนึ่ง ปีศาจตัวนั้นเป็นหัวขโมยที่วิ่งเร็วมาก สูสีกับวิชาตัวเบาขั้นเทพของระบบได้เลย

หมอนี่อาศัยช่วงเวลากลางคืนวิ่งออกจากบ้านเก่าของตระกูลฉีพร้อมกับอีกสองคน แต่พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองตกเป็นเป้าหมายของของระบบที่กำลังรอคอยโอกาสอยู่ใกล้ๆ

ทั้งสามคนเป็นผู้มีพลังพิเศษ อีกอย่างพวกเขาได้ปลุกพลังพิเศษมาพักใหญ่แล้ว และยังรู้จักชื่อเสียงอันน่าตกตะลึงของ ‘อัศวิน A’ ด้วย

ขณะที่หัวหน้าระบบดำเนินการตามขั้นตอนการปรากฏตัวตามมาตรฐานต่อไป (ในช่วงเวลานี้ ระบบละเลยคำแนะนำหลายครั้งที่ฟางหนิงคอยพร่ำบอก โดยคิดว่ามันจะลดทอนคุณลักษณะของอัศวินที่ซ่อนอยู่) ผลที่ได้ก็คือยังไม่ทันเอ่ย ‘สันติภาพจงเจริญ’ พวกโจรทั้งสามก็โกยแนบออกไปพร้อมกันแล้ว ทิ้งให้ระบบที่ยังพูดไม่จบยืนทื่ออยู่ด้านหลัง

วิ่งเร็วขนาดนี้หมายความว่าค่าประสบการณ์ของพวกนั้นสูงมาก และแผนที่ระบบก็ไม่ได้แสดงข้อผิดพลาดเลยสักนิด ดังนั้นระบบที่ถูกหลอกเป็นครั้งแรกจึงรีบไล่กวดตามพวกนั้นไปทันที

ฟางหนิงไม่คิดว่าจะมีความหวังหลงเหลืออีกแล้ว แต่คาดไม่ถึงจะมีคนหนึ่งในพวกนั้นแกล้งโง่ เดิมทีเขาวิ่งเร็วที่สุดและวิ่งนำไปไกลก่อนคนอื่น แต่เขากลับชะลอฝีเท้าและจงใจปล่อยให้คนอื่นๆ แยกย้ายหนีไปก่อน แล้วเหลือตัวเองไว้ดักอัศวิน A เพียงลำพัง …

ดูท่าผู้ชายคนนี้จะซวยแล้ว

คนหนึ่งวิ่งหนี คนหนึ่งวิ่งตาม วิ่งไม่หยุดตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีสอง…

“ไอ้ห่า แกยังจะไล่ตามมาอีก ฉันโยนของให้แกหมดแล้วไม่ใช่เหรอ” หัวขโมยคนที่อยู่ข้างหน้าวิ่งทะลุตรอกซอกซอยหันหน้ามาสาปแช่งเสียงดัง เสียงนั้นดังไกลออกไปท่ามกลางคืนมืดมิด

ระบบยังคงนิ่งเงียบแต่ยังออกแรงวิ่งต่อไป ขยับเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

หัวขโมยโกรธจนพูดไม่ออก เขารู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอัศวิน A และตนไม่มีทางชนะ จึงทำได้แต่ระเบิดพลังออกมาแล้วแล้วทิ้งห่างออกไปอีกครั้ง

เขาหันกลับมามอง อัศวิน A ที่อยู่ข้างหลังยังคงวิ่งต่อไปอย่างมั่นคง ติดตามมาด้านหลังโดยไม่มีท่าทีจะยอมแพ้แม้แต่น้อย

“บัดซบเอ้ย อัศวินอย่างแกมันดื้อด้านจริงๆ แกมาจากไหนกันแน่วะ! อยากไล่ตามไปถึงเช้าเลยหรือไง!” หัวขโมยหลี่ว์เอ้อร์สบถด้วยความเดือดดาล เขาช่างโชคร้ายเสียจริง คืนนี้เขากับเพื่อนสนิทอีกสองคนวางแผนมาเป็นดิบดีแล้วแท้ๆ กะจะขโมยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตระกูลฉีเปิดตัวในงานประชุมตระกูลให้ได้ หวังจะได้เงินมหาศาลจากการขายมันให้กับคู่แข่งของพวกเขา

คนหนึ่งแกล้งปล่อยข่าว คนหนึ่งลงมือ ส่วนอีกคนสนับสนุน

ตัวเขาเองก็คือคนที่ลงมือและเขาก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน เขาเพิ่งจะวิ่งออกมาอย่างราบรื่น ขณะที่มั่นอกมั่นใจว่าตนเองจะทำเงินได้เต็มกระเป๋าก็ตกเป็นเป้าหมายของอีกฝ่ายแล้ว

เขาคิดว่าในบรรดาสามคน ตนเองเป็นคนที่ปลุกพลังพิเศษได้ก่อนใครและพัฒนารวดเร็วที่สุด อีกทั้งพลังพิเศษประเภทการเพิ่มความเร็วจะต้องทำให้อัศวินผู้โด่งดังในเมืองฉีช่วงนี้ต้องตกตะลึงแน่นอน สุดท้ายก็จะทำได้แค่มองดูตัวเองจากไปอย่างสง่าผ่าเผย…

ด้วยวิธีนี้ เขาจึงโอ้อวดต่อหน้าเพื่อนตายทั้งสองเล็กน้อยด้วยการวิ่งหนีออกไปในระยะที่ปลอดภัยแล้วจึงจงใจชะลอฝีเท้า ให้อีกสองคนวิ่งไปก่อน ส่วนเขาจะช่วยดึงความสนใจของอัศวิน A…

แต่แล้วเขาก็พบว่าความเร็วของคู่ต่อสู้ไม่เร็วและไม่ช้ากว่าเขาเลย อีกอย่างยังมีความอดทนสูงเหลือเกิน โดยเฉพาะอัศวิน A ไม่เคยสับสนในเส้นทาง

ไม่ว่าเขาจะเลี้ยวอ้อมไปทางไหน อีกฝ่ายก็จะใช้ทางลัดได้โดยเร็วที่สุด ถ้าเขาไม่มีความสามารถระเบิดพลังกะทันหัน ป่านนี้คงถูกไล่ตามทันไปนานแล้ว

หลังจากถูกหมอนี่ตามล่าจนเหลือตัวคนเดียว เขาก็เข้าใจกระจ่างแล้วว่าเรื่องที่พวกผู้ถูกปลุกพลังพิเศษเล่านั้นเป็นยังไง ราวกับการฉายภาพกล้องวงจรปิด เขาถูกอัศวิน A ฟาดลงกองกับพื้น จากนั้นก็ถูกคนของหน่วยกิจการพิเศษที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาเก็บร่างและรายงานเหตุการณ์ มันกลายเป็นมาตรฐานกระบวนการรักษาความสงบของหน่วยกิจการพิเศษเมืองฉีในช่วงนี้

หลังจากยอมรับว่าไม่อาจสลัดอีกฝ่ายหลุดได้ หัวขโมยจึงคิดหาวิธีที่จะแกล้งโยนของที่ขโมยมาอย่างยากลำบากทิ้ง อันที่จริงแล้วของพวกนั้นมันเป็นของปลอม เขาคิดว่าบางทีนั่นอาจจะพอหลอกอีกฝ่ายเพื่อซื้อเวลาได้บ้าง…

ทว่า อัศวิน A ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง และอาศัยจังหวะที่เขาพยายามทิ้งของ ขยับใกล้เข้ามาอีกหลายก้าว…

สุดท้ายเขาจึงต้องควักของแท้ออกมา ในใจคิดว่าตอนนี้แกควรพอใจแล้ว ได้ของแท้แล้วไม่น่าจะยุ่งกับฉันอีก อย่างนี้มีประโยชน์อะไรกับแกบ้างล่ะ

ผลก็คืออัศวิน A เสียเวลาพักหนึ่งมองหาของแท้ที่เขาโยนทิ้งจริงๆ

แต่คาดไม่ถึงเขาเพิ่งจะหอบหายใจได้แค่ครู่เดียว ขณะกำลังคิดว่ากำลังจะหลบหนีได้สำเร็จ อีกฝ่ายก็ไล่ตามกระชั้นมาจากด้านหลังอีกแล้ว…

ไม่เพียงแค่นั้น ยังไล่ล่ากว่าสองชั่วโมงราวกับขาทั้งสองแข็งเหมือนตะกั่ว หัวขโมยยังคงวิ่งหนีต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่อัศวิน A ก็ยังวิ่งได้เหมือนเดิมเช่นเดียวกับตอนแรก ทำให้หัวขโมยจนปัญญา…

……………………………………………………..