บทที่ 200 เมาแล้ว

บัญชามังกรเดือด

บัญชามังกรเดือด บทที่ 200 เมาแล้ว
เจ้าแปดหน้าตาแดงก่ำไปหมด พูดเบาๆ ว่า “ดื่มก็ดื่ม กลัวซะที่ไหน!”

เขาดึงขวดมาจากมือของเถียหนิงซวง เปิดปากขวด เสียงฟูดังขึ้น เขาใช้ปากเปิดขวดโดยตรงเลย

เขาเงยหน้าขึ้น ยกขวดแก้วเหล้า เทลงปากไป เฮือกเฮือก

เถียหนิงซวงไม่ยอมแพ้ เปิดขวดใหม่ และยกซดลงคอไป

ฉินเทียนมองดูอย่างเงียบๆ

การดื่มแบบนี้ จะว่าไป มันเกินขอบเขตที่คนทั่วไปจะเข้าใจ

แต่ผู้คนที่อยู่ตรงหน้านี้ ก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น

พวกเขาเป็นผู้ชายที่มีชีวิตโลดโผนอันตราย

แม้แต่ผู้หญิงอย่างเถียหนิงซวงกับเหมยหงเซว่ ปกติแล้วตอนที่อยู่ในสวนสัตว์ ก็ต้องต่อสู้กับบรรดาสัตว์ร้ายหลากหลายชนิดเหมือนกัน

อย่าว่าแต่เหล้าแค่ขวดเดียวเลย ฆ่าคนดื่มเลือด จะต้องกลัวอะไรอีกหล่ะ?

ก็มีแต่ความกล้าหาญและเลือดอันเร่าร้อนเช่นนี้แหละ ถึงจะสร้างผู้มีฝีมือออกมาได้จริงๆ

แต่ เถียหนิงซวงอายุยังน้อย ก่อนที่จะมาอยู่คำสาปสวรรค์ เหมือนจะไม่เคยดื่มเหล้ามาก่อนด้วย

แม้จะเคยดื่ม ก็คงดื่มแค่ไวน์แดงครึ่งแก้วแค่นั้น

หล่อนเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่หลงเจียงให้การยอมรับ

ดังนั้น หลังจากดื่มเหล้าไปได้สักหนึ่งในสามขวด เขาก็ล้มฟุบลงไปแล้ว

ล้มลงมาในอ้อมแขนของฉินเทียน

“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” ฉินเทียนรีบถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร ฉันยังดื่มได้อีก” เถียหนิงซวงยิ้มและพูด คิดอยากจะยืนขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีแรงซะแล้ว

ฉานเจี้ยนพูดเบาๆ ว่า “นายน้อย ส่งเธอกลับไปก่อนเถอะ”

ฉินเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งและตอบว่า “พวกเธอก็ระวังหน่อย ดื่มอ่ะดื่มได้ แต่ถ้าพรุ่งนี้ใครเข้าฝึกสาย จะโดนทำโทษหนักเป็นสิบเท่า”

พูดจบ เขาก็ประคองเถียหนิงซวงเดินไปทางหอพัก

ในอดีตสวนสัตว์ร้าย เป็นสวนสนุกแห่งหนึ่ง มีพนักงานภายในอยู่ราวๆ หนึ่งร้อยกว่าคน

ดังนั้นที่นี่จึงมีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น หอพัก โรงอาหาร โกดัง ห้องทำงาน

หลังจากตกทอดมาอยู่ในมือของฉินเทียน นอกจากหอควบคุมกลางและหอพักแล้ว นอกนั้นก็ไม่เคยได้ใช้อีกเลย ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเป็นโกดัง

หอพักพนักงาน เป็นอาคารเล็กๆ สูงสามชั้น

ชั้นหนึ่งและชั้นสอง เป็นที่ที่ฉานเจี้ยนและคนอื่นๆ พักอาศัยอยู่ ส่วนชั้นสาม เป็นของเถียหนิงซวงและเหมยหงเซว่

ฉินเทียนอุ้มเถียหนิงซวงมาถึงหอพักของเธอ สิ่งที่เห็นคือ สไตล์การตกแต่งยังดูเหมือนเด็กผู้หญิงอยู่เลย

ม่านสีชมพู ผ้าปูเตียงสีชมพู มีตุ๊กตาหนึ่งตัววางอยู่ข้างๆ หมอน

เขาวางลง ในใจคิดว่า ตัวเองเป็นคนแนะนำหญิงคนนี้ให้มาที่คำสาปสวรรค์ เขาต้องอยู่กับกลุ่มผู้ชายและสัตว์ร้ายตลอดทั้งวัน มันก็ดูเป็นเรื่องน่าลำบากสำหรับเธอจริงๆ

อย่ามองว่าปกติแล้วเธอเป็นคนไม่แยแสอะไร ดูเหมือนเธอจะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่หยาบกร้านและเข้าร่วมกับทีมได้แล้ว

แต่อันที่จริง ในใจของเขาก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

เขาค่อยๆ วางเถียหนิงซวงลงบนเตียง เตรียมจะกลับออกไป แต่จู่จู่ก็เห็นว่า มือของเถียหนิงซวงกำลังดึงเสื้อของเขาไว้จนแน่น

ฉินเทียนตกใจ หันหน้าไปมอง เถียหนิงซวงที่นอนอยู่บนเตียงนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อไร ที่เขาลืมตาขึ้นมา

ในแววตาของสุกใสของหญิงสาวนั้น มีหยดน้ำสีขุ่นๆ สองหยด มองมาที่ตนเองด้วยความขอร้อง

“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ฉินเทียนรีบถาม

เห็นได้ชัดว่าเถียหนิงซวงเมาแล้ว เธอหัวเราะและพูดว่า “ฉันไม่เป็นอะไร ฉันแค่อยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อน”

“คุณกล้าไหม?”

ฉินเทียนเงียบไปชั่วครู่และตอบว่า “เธอเมาแล้ว รีบนอนเถอะ”

เถียหนิงซวงกัดฟันแล้วพูดต่อว่า “ฉันไม่ได้เมา”

“ทำไมหรือ คุณไม่กล้าใช่ไหม?ฉันสวยไม่พอ หรือว่าเพราะคุณขี้ขลาดเกินไป?”

พูดพลาง จู่จู่เถียหลงซวงก็โถมตัวเข้าหาร่างของฉินเทียน และกอดเขาไว้แน่น

“ฉันยอมรับ ว่าฉันชอบคุณ!”

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณปฏิเสธฉัน ฉันก็ชอบคุณแล้ว!”

“คุณหล่ะ?รังเกียจฉันหรือเปล่า?”

ฉินเทียนมองความบ้าระห่ำของหญิงสาวอย่างเงียบๆถอนหายใจและค่อยๆ โบกมือ ปลอมปประโลมให้เธอนอนลง

เถียหนิงซวงอยู่ในอ้อมกอดของฉินเทียน นิ่งไม่ขยับ

ฉินเทียนค่อยๆ วางเธอลงบนเตียง และห่มผ้าให้จนเรียบร้อย แสงจันทร์นอกหน้าต่างสาดส่องเข้ามา ในความดื้อรั้นนั้น ยิ่งทำให้เห็นถึงความไร้เดียงสา

เวลานี้ จู่ๆ เขาก็สงสัยว่า ที่ตัวเองเอาผู้หญิงคนนี้มาร่วมทีมคำสาปสวรรค์ จริงๆ แล้วมันถูกหรือผิดกันแน่?

ชีวิตในคำสาปสวรรค์ รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำ เธออยากทำเองจริงๆ หรือ?

นี้เป็นครั้งแรกที่เขาสงสัยในตัวเอง

“เธอเมาแล้ว”

“นอนเถอะ พรุ่งนี้ก็เป็นวันใหม่แล้ว”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆและหันหลังเดินออกไป

หลังจากออกประตูไปแล้ว ก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเดินนั้น มีคนคนหนึ่งยืนพิงราวบันไดและกำลังยิ้มให้เขา

นั้นก็คือเหมยหงเซว่

ในมือของเธอถือซี่โครงแพะอยู่ ส่วนมืออีกข้างก็ถือเหล้าครึ่งขวดไว้

“ทำไมไม่ตอบสนองความต้องการของหล่อนหล่ะ?”

“สาวน้อยคนนี้คิดกับคุณยังไง อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้” เธอมองมาที่ฉินเทียน หัวเราะอย่างบ้าบอ

ฉินเทียนเงียบอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เธอเองก็ดื่มไม่น้อยแล้วนะ”

“ส่งเหล้ามาให้ฉัน”

เหมยหงเซว่มองฉินเทียน และจู่จู่ก็เดินเข้ามา

หล่อนกัดฟันและพูดว่า “เป็นเพราะว่านางยังเด็กอยู่หล่ะสิ คุณเลยทำเธอไม่ลง?”

“งั้นฉันหล่ะ?”

หญิงสาวที่บรรลุนิติภาวะแล้ว

อารมณ์หลังการดื่ม ราวกับดอกกุหลาบในสายลมยามเย็น คนที่ได้ลิ้มลองแล้ว กระดูกก็จะอ่อนเปรี้ยไปหมด

ฉินเทียนก้าวออกไปหนึ่งก้าว แววตาสุกใส ปราศจากความคิดอันชั่วร้าย

“ส่งเหล้ามาให้ฉัน”

“ดูแลหนิงซวงดีดี พวกเธอพักผ่อนเถอะ”

เหมยหงเซว่รู้แล้วว่าตัวเองควบคุมสติไม่อยู่ ก็อายจนหน้าแดง รีบเอาเหล้าในมือยัดใส่ในมือของฉินเทียน

จากนั้นก็รีบเข้าห้องของเถียหนิงซวงไป

ฉินเทียนถอนใจ อยู่ดีดีก็อยากเมาบ้าง

เขาดื่มเหล้าอึกใหญ่ และเดินออกไปข้างนอก

เมื่อเขาเดินมาถึงบริเวณที่จัดปาร์ตี้ ก็เห็นว่ามีขวดเหล้าวางเกะกะเต็มไปหมด แกะย่างบนชั้นวางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว

มีเสียงคำรามดังมาไกลออกไปจากสวนสัตว์ร้ายนี้

เขารีบไปดู ปรากฏว่ากลุ่มคนเหล่านี้พอเมาแล้วก็ถอดเสื้อออกกันหมดและเดินเข้าไปในเขตสัตว์ดุร้ายเพื่อสร้างความเร้าใจ

เวลานี้ โดนกลุ่มสัตว์ร้ายล้อมไว้หมดแล้ว

ทุกคนแกล้งตายกัน ในมือยังถือซี่โครงแกะที่มีมันไหลย้อยอยู่เลย

พอได้กลิ่นของเนื้อย่าง บรรดาสัตว์ร้ายยิ่งตาแดงปั๊ด

ภายใต้การควบคุมของราชาหมาป่า หมาป่าสิบกว่าตัวก็กระโจนพุ่งไปที่พวกเขาทันที

เหลิ่งเฟิงตะโกนเสียงดังลั่น เขาล่อหมาป่าตัวหนึ่งให้ตะครุบไปที่แกะในมือของเขา

เขาแทะกระดูกและตะโกนขึ้นมาว่า “เจ้าลูกหมาป่า อยากกินเนื้อไหมหล่ะ!”

ฉินเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

ปศุสัตว์!

นี้มันกลุ่มปศุสัตว์ชัดๆ!

ในเวลาเดียวกัน ก็รู้สึกว่าเลือดในร่างกายตัวเองกำลังเดือดพล่าน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีแรงกระตุ้น ให้อยากถอดเสื้อ เปลือยท่อนบนและลงไปร่วมสมทบด้วย

เผชิญหน้ากับกลุ่มหมาป่าร่วมกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย

แต่โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

เป็นหลินเซวี่ยที่โทรมา

“คุณคะ ท่านประธานซูกลับบ้านแล้วค่ะ คุณอยู่ไหนเนี่ย?”

“และก็พวกเหลิ่งเฟิงด้วย ทำไมไม่เห็นใครแม้แต่เงา?”

ฉินเทียนตกใจและพูดว่า “ซวยล่ะ!”

“หลินเซวี่ย ประธานซูได้พาหลิวหรูยู่กลับไปด้วยไหม?เขาอยากกินซุปปลาหรือเปล่า?”

หลินเซวี่ยหัวเราะและพูดว่า “รอคุณกลับมาเดี๋ยวก็รู้เองแหละ”

ฉินเทียนถอนใจ มองดูท่าทีของเหลิ่งเฟิงและคนอื่นๆ ค่ำนี้ เกรงว่าคงจะกลับกันไม่ไหวแล้วหล่ะ

ยังดีที่ พรุ่งนี้เขามีภารกิจอื่นๆ มอบหมายให้เหลิ่งเฟิงและคนอื่นๆ จัดการ นั้นก็คือ สอนความรู้เรื่องอาวุธปืนให้กับกลุ่มคำสาปสวรรค์

ทั้งวันของทีมคำสาปสวรรค์ นอกจากฉานเจี้ยนแล้ว คนที่เหลือมีความรู้เกี่ยวกับอาวุธปืนน้อยมาก

แม้ว่าการทำงานหลายๆ อย่าง พวกเขาอาจจะไม่ได้ใช้อาวุธปืน ฉินเทียนเองพูดว่า เขาเองก็ไม่ชอบอาวุธร้อนมือแบบนี้

แต่ตอนนี้มันเป็นสงครามสมัยใหม่แล้ว ของพวกนี้ มันไม่รู้ไม่ได้หรอก

และอีกด้านหนึ่ง เหลิ่งเฟิงรวมถึงทีมหมาป่าสันโดษ ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฉินเทียนเลยไม่ได้เรียกเหลิ่งเฟิง แต่กลับขับรถออกไปคนเดียว