บทที่ 301 เป็นเอกฉันท์

คู่ชะตาบันดาลรัก

ทุกคนต่างมีจุดยืนเป็นของตนเอง

สำหรับหนิงซิวแล้วเขามายังเมืองหลวงเพราะได้รับคำสั่งจากอาจารย์ เป้าหมายของเขาก็คือการทำให้หยางชูได้มีชีวิตที่ดีไม่สำคัญว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ในราชสำนักหรือในยุทธภพ

สิ่งที่ฟู่จินคิดซับซ้อนเล็กน้อยเขาได้รับมอบหมายจากซือฮว๋ายไท่จื่อให้ปกป้องสายเลือดของเขาเอาไว้ แต่หนิงซิวที่เป็นชาวยุทธภพไม่สนใจว่าหยางชูเป็นผู้สืบทอดแซ่เจียงหรือไม่ แต่ฟู่จินผู้นี้กลับหวังว่าจะทำให้เขากลับไปเป็นคนแซ่เจียง

ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้จึงไม่คิดทำอะไรให้เปลืองแรง ดังนั้นเขาจึงปล่อยผ่านไป แต่ตอนนี้ฮ่องเต้โกรธเคืองหยางชู เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้หยางชูเดินไปในทิศทางนั้น

หนิงซิวได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นก็เลิกคิ้ว “ศิษย์น้อง เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ตามข้าไปจากที่นี่ไปยังฟ้าที่สูงแล้วแต่นกจะบิน ไม่ว่าจะเป็นซือฮว๋ายไท่จื่อหรือองค์หญิงใหญ่ล้วนหวังให้เจ้ามีชีวิตที่ดีไม่บังคับให้เจ้าต้องทำอะไร”

ฟู่จินพูดแทรกอย่างเกียจคร้าน “ท่านคิดให้ดีหากเป็นจอมยุทธ์พเนจรก็ไม่มีโอกาสสืบหาสาเหตุการตายขององค์หญิงใหญ่นะ”

เมื่อได้ยินดังนั้นหนิงซิวก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความโกรธเล็กน้อย “อาจารย์ฟู่ อย่าใช้คำพูดดังกล่าวเพื่อโน้มน้าวเขา เหตุใดองค์หญิงใหญ่ต้องโกหกเขาด้วยก็เพราะต้องการปกป้องชีวิตเขาไง! ศิษย์น้องเจ้าต้องเข้าใจความพยายามของพวกเขานะ”

ฟู่จินแสดงท่าทางใจกว้างของผู้อาวุโส “หนุ่มน้อยจะอารมณ์ร้อนอะไรถึงเพียงนั้นเล่า ทุกอย่างสามารถเจรจากันได้! ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรก็พูดกับเขาดีๆ เขาโตเพียงนี้แล้วไม่ใช่ว่าตัดสินใจเองไม่ได้หากเขาไม่คิดที่จะแก้แค้นคนแก่อย่างข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก และจะโบกมือลาเดินทางไปทั่วหล้าต่อ ท่านคิดว่าข้าเต็มใจที่จะพัวพันกับเรื่องนี้หรือ ข้า…แค่กๆ ข้าอยู่ที่สถานศึกษาซานไถดีๆ มาตั้งยี่สิบปีจะไม่รู้สึกอัดอั้นบ้างหรือ หากไม่ใช่เพราะรับปากปู่ของเขาไว้ ข้าก็ไม่มีทางเลือก”

พูดจบเขาก็หันไปพูดกับหยางชูอย่างสุภาพ “ท่านวางใจเถอะ หากท่านคิดจะติดตามศิษย์พี่ของท่านไป ไม่คิดสืบหาเรื่องขององค์หญิงใหญ่ต่อ ไม่คิดสนใจเผยกุ้ยเฟย อย่าว่าแต่ปู่กับบิดาที่ท่านไม่เคยเห็นหน้าเลย ข้าล้วนไม่บังคับท่านแน่นอน”

หนิงซิวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ปากบอกไม่พูดบังคับหยางชู แต่กลับหยิบจุดอ่อนของเขามาพูด หากต้องใช้คารมคมคายตนจะไปสู้ฟู่จินได้อย่างไรจึงทำได้เพียงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างดุเดือด

แต่ฟู่จินไม่สะทกสะท้านอะไรเขาหยิบถ้วยน้ำชาของเขาขึ้นมาจิบอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกันก็มองไปที่หมิงเวย

หมิงเวยอดไม่ได้ที่จะหันไปพูดว่า “ท่านไม่ต้องรีบร้อนในใจคิดอะไรก็พูดออกมาเลย ที่อาจารย์ฟู่กล่าวว่านั้นถูกแล้วเรามาเจรจากันดีๆ ท่านถามใจตัวเองก่อนว่าอยากเดินไปในเส้นทางไหน สุดท้ายจะเป็นไปได้หรือไม่พวกเราค่อยมาดูกันอีกที”

หยางชูมองคนเหล่านี้ที่อยู่ต่อหน้าเขา

ทันทีที่เขารู้ความจริงเขาก็รู้แล้วว่าตนเองต้องการอะไรเพียงแต่เขารู้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของใครหลายคน ตอนนี้คนเหล่านั้นได้มานั่งอยู่ที่โต๊ะและถูกดึงเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ไม่อาจหนีพ้นได้เช่นกัน

เมื่อกงล้อแห่งประวัติศาสตร์เปลี่ยนไปจะเป็นผู้เกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องก็ล้วนหนีไปไม่พ้น

ไม่ใช่ว่าเขาไม่สามารถตัดสินใจได้ แต่เขาไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถทำได้หรือไม่ จะสามารถนำอนาคตที่ดีกว่ามาได้หรือไม่จะทำให้แผ่นดินต้าฉีตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่ลงหรือไม่

เมื่อหมิงเวยพูดเช่นนี้เขาก็สงบลงและบอกไปว่า “ชีวิตของข้าแลกมาด้วยชีวิตและอิสรภาพของผู้คนจำนวนมาก แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง แต่หากเป็นไปได้ละก็ข้าอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อพวกเขา แม้ว่าสิ่งที่ทำได้จะมีน้อยมากก็ตาม”

ฟู่จินยิ้ม “ไม่เสียแรงที่ข้ารอมานานมากยี่สิบปีนี้ช่างคุ้มค่าจริงๆ!”

หนิงซิวยังคิดโน้มน้าวอีกฝ่าย “ศิษย์น้อง คนผู้นั้นเป็นฮ่องเต้มาหลายปีมีองค์ชายที่เติบใหญ่หลายคน มันไม่ง่ายเลยนะเจ้าลองคิดดูอีกทีเถอะ!”

หยางชูยิ้มบางๆ “ท่านคิดว่าข้าจะก่อกบฏงั้นหรือ”

หนิงซิวตะลึง “เจ้าไม่คิดก่อกบฏแล้วคิดจะทำอะไร”

“ท่านวางใจเถอะ” เขาพูดอย่างจริงใจ “ทั้งเรื่องตำแหน่ง และเรื่องที่จะต้องทำอะไรในอนาคต แม้ว่าตำแหน่งนั้นอาจเคยตกเป็นของบรรพบุรุษ แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ตราบใดที่เขาเป็นฮ่องเต้ที่ดีทำให้ต้าฉีสงบสุข ข้าก็ไม่คิดทำอะไรแน่นอน”

เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ข้าในตอนนี้เพียงแค่ต้องการคำตอบ และคำตอบนั้นต้องรอให้ข้ามีอำนาจมากพอที่จะถามได้”

เขาอยากรู้ว่าปีนั้นเกิดอะไรขึ้นอยากรู้ว่าท่านปู่ท่านย่าเสียชีวิตได้อย่างไร

แล้วยังคนที่อยู่ในวัง ใช่มารดาของเขาหรือไม่ นางเข้าวังไปด้วยความเต็มใจหรือไม่

เรื่องของอนาคตเขาไม่อยากคิดไปไกลเพียงนั้น หมิงเวยเคยบอกเขาว่าอาจเกิดเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนั้นในอนาคตเป็นการดีกว่าที่จะเตรียมตัวก่อนแล้วจึงพิจารณาว่าจะทำอย่างไรเมื่อถึงจุดนั้น

ฟู่จินหัวเราะเสียงดัง “ดี! ไล่ตามอุดมคติอันสูงส่งทำงานสอดคล้องกับความเป็นจริง เช่นนั้นท่านยินดีไปซีเป่ยหรือไม่ ชีวิตที่นั่นอาจลำบากหน่อยไม่มีเสื้อผ้าอาหารดีๆ ไม่มีสุราสาวงาม วันๆ ทานแต่ทราย แม้แต่อาบน้ำก็ไม่ได้อาบตลอดแล้วยังต้องเผชิญหน้ากับทหารม้าที่แข็งแกร่งของหูเหริน อีกไม่นานจากคุณชายผิวขาวเนียนนุ่มก็จะกลายเป็นชายชาตรีที่มีกลิ่นเหม็นสาบหืนทั้งตัว ท่านยอมรับได้หรือไม่”

หยางชูพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เหตุใดอาจารย์ถึงคิดว่าข้าเป็นคุณชายผู้ดีผิวขาว ข้าไม่เคยนอนตอนยามห้า[1] อีกเลยตั้งแต่หกขวบ ข้ามีทั้งอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ อาจารย์สอนวิชาทหาร ขี่ม้า กระบี่ มาสอนตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทักษะการยิงธนูก็ได้รับการสอนโดยท่านปู่ท่านย่า”

เขาเอื้อมมือออกไปหลังมือของเขาดูขาวเนียน แต่เมื่อพลิกกลับอีกฝั่งพบว่าผิวนั้นหยาบกร้าน “ข้าคิดว่าท่านย่าคงไม่อยากให้ข้าเสียเวลาเช่นนี้”

หนิงซิวรู้ว่าได้ข้อสรุปแล้ว แต่เขาก็ยังอยากดิ้นรนอีกสักนิด “ไปกับข้าต่างกันตรงไหน เจ้ามีความสามารถสูงส่งเพียงนี้วันหนึ่งทักษะกระบี่เจ้าสามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้แน่ เมื่อถึงเวลานั้นค่อยกลับมาถามเขาก็ได้เหมือนกัน”

“แล้วหลังจากนั้นล่ะให้ข้าฆ่าเขาแล้วปล่อยให้ลูกหลานไม่เอาไหนเหล่านั้นทำลายแผ่นดินนี้หรือ” หยางชูส่ายหน้า “นี่เป็นแผ่นดินของตระกูลเจียง และเป็นแผ่นดินของทุกคนในใต้หล้านี้ด้วย ท่านย่าคงไม่หวังว่าข้าจะเพิกเฉยต่อสถานการณ์เพื่อการแก้แค้นส่วนตัวหรอก”

เขาสามารถแก้แค้นได้ แต่เขาก็ต้องให้แผ่นดินต้าฉีมีอนาคตที่ดีกว่านี้ เขาที่เป็นเช่นนั้นถึงจะมีคุณสมบัติที่จะแก้แค้น

ฟู่จินพูดอย่างมีความสุขว่า “องค์หญิงใหญ่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลจริงๆ ที่แท้นางสอนท่านเช่นนี้ ข้าคิดว่าข่าวลือพวกนั้น…ฮ่าๆ ดีแล้วที่เป็นเรื่องเท็จ” ช่วยประหยัดเวลาที่ต้องคิดหาวิธีสั่งสอนบทเรียนให้อีกฝ่ายได้ดี

“พวกเราบรรลุข้อตกลงกันแล้วใช่หรือไม่” ฟู่จินมองทีละคน

หนิงซิวหันหน้าไปทางอื่น แม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจ แต่หยางชูยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น เขาจึงทำได้เพียงคอยให้ความช่วยเหลือ

เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “อาจารย์อนุญาตให้ข้าถอนตัวได้หรือ”

ฟู่จินตบไหล่เขาด้วยรอยยิ้มแน่นอนว่าไม่อนุญาต

เสวียนเฟยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หน้าที่ของเสวียนตูกวันคือปกป้องโชคชะตาของต้าฉี ข้าไม่สามารถช่วยท่านก่อกบฏได้ แต่หากวันหนึ่งชะตาของต้าฉีตกต่ำข้าจะเลือกอนาคตที่ดีกว่าแทน”

ฟู่จินพอใจกับคำตอบนี้มากสุดท้ายเขาจึงหันไปมองยังหมิงเวย

หมิงเวยโค้งคำนับให้เขา “รบกวนอาจารย์ฟู่แล้ว”

การปรากฏตัวของฟู่จินคือชิ้นส่วนสุดท้ายที่หายไปอย่างไรนางก็เป็นชาวยุทธภพ ไม่รอบรู้ในเรื่องราวของราชสำนักหากมีเขามาช่วยวางแผน ในที่สุดเรื่องนี้ก็มีทางเป็นไปได้

คนสุดท้ายคือหยางชู

เขาลุกขึ้นคำนับอีกฝ่ายด้วยท่าทีจริงจัง “ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร พระคุณของอาจารย์ข้าจะไม่มีวันลืม”

แล้วทั้งหกก็บรรลุข้อตกลง

ฟู่จินโบกมือ “ดี! พวกเรามาฉลองกันเถอะ เอาหัวหมูมา!”

………….

[1] ยามห้า : 03:01 – 05:00 น.