ตอนที่ 67 โอ๋เด็กน้อย

Perfect Superstar

ตอนที่ 67 โอ๋เด็กน้อย

ความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก

เมื่อวานลู่เฉินนอนดึก วันนี้เขาจึงขอนอนขี้เกียจอย่างสบายใจเสียหน่อย ถือว่าเป็นการให้รางวัลตัวเอง

ทว่าความเคยชินที่สะสมมานานทำให้เขาตื่นนอนตรงเวลา หลังจากลืมตาขึ้นมาก็นอนไม่หลับอีก

ถึงแม้ลู่เฉินจะบอกกับตัวเองว่า ลำบากมาก็นาน หาเงินได้ก็ไม่น้อย พักผ่อนสักครึ่งวันคงไม่ผิดอะไร

แต่หนี้ก้อนโตสูงเท่าภูเขาของครอบครัว กับความหวังในอนาคต ความทะเยอทะยานที่ซ่อนอยู่ในหัวใจ…มันเหมือนกับแส้ที่มีพลังแข็งแกร่งเส้นหนึ่งกำลังตีลู่เฉินไม่หยุด

และบอกเขาว่า เขายังไม่มีสิทธิ์ขี้เกียจ!

ลู่เฉินพลิกตัวลุกจากที่นอน แปรงฟันล้างหน้าให้สะอาด เปลี่ยนชุดกีฬาแล้วออกไปวิ่งนอกบ้าน

เขาวิ่งยาวมาจนถึงสวนสาธารณะเล็กๆ ริมสระน้ำ จึงเห็นชายชราที่ฝึกไทเก๊กคนนั้น

“คุณปู่ วันนี้คุณมาเช้าจังเลยนะครับ!”

ลู่เฉินทักทายอย่างมีมารยาท แต่ในใจกลับรู้สึกละอายใจ

อีกฝ่ายเป็นชายชราผมหงอกก็ยังยืนหยัดออกกำลังกายตอนเช้า แต่เขากลับแอบขี้เกียจ ความตั้งใจยังไม่แรงกล้าพอ!

ชายชราทำเสียง ‘เชอะ’ หนึ่งที เหลือบตามองลู่เฉินอย่างไม่สนใจ

ลู่เฉินลูบจมูกพูดไม่ออก สงสัยยังโกรธอยู่ ชายชราคนนี้ยังจำได้อยู่เลย!

เขาจึงไม่หาเรื่องใส่ตัวอีก วิ่งไปที่เดิมเพื่อเริ่มฝึกมวย

บริเวณวงแหวนรอบที่สามของปักกิ่งมีประชากรหนาแน่น มีชุมชนเล็กๆ โดยรอบมากมาย และมีคนจำนวนไม่น้อยมาออกกำลังกายที่สวนสาธารณะเล็กๆ แห่งนี้ทุกวัน

เนื่องจากฝึกมวย ลู่เฉินจึงถูกคนมุงดูหลายครั้ง เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนลิงเล่นกายกรรม ตอนนี้เขาจึงหลบมุมมาฝึกในที่ลับตาคนด้วยความเคยชิน

เขาชอบการออกกำลังกายแบบนี้ การเสริมสร้างสมรรถภาพของร่างกายก็สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วย

ร่างกายที่แข็งแรงกำยำนั้นสำคัญมาก ความทรงจำของโม่หรานบอกกับลู่เฉิน นักแสดงที่แท้จริงจะต้องมีร่างกายที่แข็งแรง เมื่อถึงเวลาแสดง ต่อให้อากาศหนาวมากแค่ไหน ถ้าให้กระโดดก็ต้องกระโดด!

ถึงแม้ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ ลู่เฉินยังไม่คิดพัฒนาไปสู่อาชีพนักแสดง แต่ร่างกายที่มีสุขภาพแข็งแรงไม่ได้ใช้เวลาฝึกแค่วันสองวันก็สำเร็จ ตอนนี้เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมด ก็เพื่อสร้างรากฐานของความสำเร็จในอนาคต

เมื่อฝึกจนครบกระบวนท่า ลู่เฉินก็มีเหงื่อท่วมตัว แต่รู้สึกผ่อนคลายมาก

“พ่อหนุ่ม เธอฝึกมวยหย่งชุนใช่ไหม”

และในเวลานี้ เสียงของชายชราคนนั้นดังมาจากข้างๆ

ลู่เฉินหมุนตัวไปด้วยความประหลาดใจ แล้วพูดว่า “คุณปู่ตาทิพย์จริงๆ นะครับ ผมก็ฝึกมั่วๆ เท่านั้น”

ชายชราที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามากะทันกันพูดอย่างดูแคลนว่า “มั่วได้ดีจริงๆ ฉันใช้โทรศัพท์ถ่ายวิดีโอช่วงหนึ่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญดูแล้ว เขาบอกว่านายไม่ได้ฝึกตามต้นฉบับ ท่าหมัดยังจับทิศทางไม่ดี…แค่กๆ!”

เมื่อครู่ลู่เฉินบอกว่าเขาตาทิพย์ ผลสรุปคือเขากลับแบไต๋ตัวเองออกมาหมดแล้ว

ถึงกับต้องแอบถ่ายเพื่อทำความเข้าใจท่าหมัดของลู่เฉิน!

ลู่เฉินกลั้นหัวเราะ พยักหน้าแล้วพูดว่า “ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นพูดถูกครับ”

นี่ก็เหมือนกับการโอ๋เด็กน้อย

ลู่เฉินฝึกมวยหย่งชุนถูกต้องแล้ว ทว่าท่าหมัดได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับการฝึกของผู้ชาย

ในภาพความฝันของเขา มีปรมาจารย์ในวงการบันเทิงมากมาย แม้กระทั่งซูเปอร์สตาร์ดังก็ใช้ท่าหมัดนี้อย่างคุ้นชิน และเพื่อความต้องการในการถ่ายภาพยนตร์โทรทัศน์ จึงต้องซึมซับแก่นแท้ของทักษะและการโจมตีของมันไม่น้อยแล้วนำมาผสมผสานให้ลงตัว เพราะฉะนั้นท่าหมัดจึงแตกต่างจากท่ามวยต้นตำรับเป็นอย่างมาก

แต่เขาไม่สามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้อีกฝ่ายได้ โดยเฉพาะชายชราจอมดื้อคนนี้

ชายชราทำเสียง ‘ฮึๆ’ แล้วพูดว่า “นายรู้ก็ดีแล้ว ฉันไปก่อนละ”

เหมือนเขาจะไม่บรรลุเป้าหมายจึงหยุดอยู่แค่นี้ แต่ท่วงท่าของลู่เฉินก็ดีไร้ที่ติ เขาจึงได้แต่หนีไปด้วยความโกรธและจนใจ

ลู่เฉินยิ้มหวาน ไม่เก็บมาใส่ใจ

พอกลับถึงบ้าน เขาก็ทำงานต่อ

เวลาบ่ายสองเพิ่งจะผ่านไป ลู่เฉินมาถึงโรงแรมฟู้รื่อที่ตั้งอยู่ตรงวงแหวนรอบที่สองตรงตามเวลา

โรงแรมใหญ่ห้าดาวแห่งนี้มีชื่อเสียงมากในปักกิ่ง ภายในร้านกาแฟชั้นสองของโรงแรม เขาเห็นแขกที่รีบเดินทางมาจากเมืองเซินไห่ทั้งสองคน อีกฝ่ายเป็นผู้ชายวัยกลางคนและชายหนุ่มสวมแว่นตา

“ต้องขอโทษจริงๆ ครับ ทำให้คุณทั้งสองคนต้องรอนานเลย”

ลู่เฉินรีบกล่าวขอโทษ และเป็นฝ่ายยื่นมือให้กับผู้ชายวัยกลางคนที่เพิ่งลุกขึ้นมาก่อน “ผมคือลู่เฟยครับ”

ผู้ชายวัยกลางคนคนนั้นจับมือกับเขา ยิ้มพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ พวกเราก็เพิ่งมาถึงที่นี่ ผมขอแนะนำตัวเองก่อน ผมจ้าวเต๋อผิงเป็นผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการของซิงกวงมีเดีย คนนี้คือเสี่ยวจ้าวผู้ช่วยของผม”

ลู่เฉินยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “สวัสดีครับผู้จัดการจ้าว”

ทั้งสามคนนั่งลง พนักงานเดินเข้ามาถาม ลู่เฉินจึงสั่งกาแฟมาหนึ่งแก้ว

จ้าวเต๋อผิงพูดตรงเข้าประเด็นทันที “คุณลู่เฟยครับ คุณเป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์และความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานมากคนหนึ่ง ซิงกวงมีเดียของพวกเราก็ต้องการบุคคลที่มีความสามารถเช่นคุณ ไม่ทราบว่าคุณอยากจะร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทของพวกเราไหมครับ”

“ส่วนเงื่อนไข…”

เขาพูดด้วยความมั่นใจและมีมารยาท “ต้องมากกว่าจิงอวี๋ทีวี และคุณจะต้องพอใจมากๆ!”

เมื่อคืนจ้าวเต๋อผิงให้ผู้ช่วยติดต่อลู่เฉินแล้ว เขาจึงรีบนั่งเครื่องบินไฟลท์ตอนเช้ามาที่ปักกิ่งทันที พอลงจากเครื่องบินก็รีบมาที่โรงแรมฟู้รื่อ ต้องการเซ็นสัญญากับลู่เฉินให้จงได้

สัญญาฉบับนี้มีความเกี่ยวข้องถึงว่าเขาจะทำงานในบริษัทต่อไปได้หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงยื่นขออำนาจที่สูงมากมาได้

จ้าวเต๋อผิงไม่เชื่อว่าสัญญาที่ตัวเองเอามาจะไม่ทำให้ลู่เฉินหวั่นไหว

บางทีอาจจะเป็นเพราะความมั่นใจนี้ คำพูดของเขาจึงแฝงไปด้วยความโอหังเล็กน้อย

เคยชินแล้ว

ตัวจ้าวเต๋อผิงเองยังไม่รู้ตัว แต่ลู่เฉินกลับฟังเข้าใจเป็นอย่างดี!

เขาวางแก้วกาแฟลง เผยสีหน้าสนใจมากออกมา แล้วถามว่า “อย่างนั้นเชิญผู้จัดการจ้าวช่วยแนะนำหน่อยครับ”

ที่แท้ก็เป็นคนใหม่จริงๆ!

จ้าวเต๋อผิงเห็นสีหน้าของลู่เฉิน จึงรู้สึกมั่นใจทันที

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ขอเพียงเขาพูดได้โดนใจผู้ดำเนินรายการ เช่นนั้นก็ไม่อาจหนีรอดจากอุ้งมือของเขาไปได้!

ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการคนนั้นหยิบกระเป๋าเอกสาร หยิบสัญญาฉบับหนึ่งออกมายื่นให้ลู่เฉิน

“คุณลู่เฟยครับ สัญญาฉบับนี้ทำขึ้นมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ!”

ลู่เฉินรับสัญญามา แล้วเปิดอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ

สัญญาที่ซิงกวงมีเดียให้เขาดูผิวเผินแล้วไม่เลวเลยทีเดียว อย่างแรกคือให้เงินค่าเซ็นสัญญาห้าแสนบวกกับเงินค่าผิดสัญญาสามแสน อย่างหลังส่วนใหญ่ก็มีเงื่อนไขเหมือนสัญญาที่ลู่เฉินเซ็นกับ ‘จิงอวี๋ทีวี’

ถ้าหากลู่เฉินอยากจะเปลี่ยนจาก ‘จิงอวี๋ทีวี’ ไปทำงานกับ ‘ลานแสงดาว’ อย่างนั้นก็ต้องจ่ายเงินค่าผิดสัญญา

ซิงกวงมีเดียคิดเผื่อทุกด้านให้เขาเรียบร้อยแล้ว

โดยพื้นฐานจะเป็นเงินเดือนสามแสนบวกกับโบนัสสิบเปอร์เซ็นต์ ขณะเดียวกันซิงกวงมีเดียยังเตรียมทำการโปรโมทที่มีมูลค่านับล้านให้กับเขา เพื่อขยายไปยังพื้นที่ใหญ่ทั้งสองอย่างวงการบันเทิงและแพลตฟอร์มถ่ายทอดสด!

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น หากได้เห็นเนื้อหาของสัญญาแบบนี้ เกรงว่าคงจะดีใจจนเนื้อเต้นแล้ว ได้เข้าไปอยู่ในวงการบันเทิงมีทั้งชื่อเสียงและความร่ำรวย ใครบ้างไม่อยากจะเข้าไป

แต่ลู่เฉินไม่ได้มองข้ามอย่างหนึ่งไป ภายใต้หน้าตาของสัญญาที่น่าดึงดูดนี้กลับแฝงไปด้วยกับดัก

นั่นก็คือลิขสิทธิ์!

ขอแค่ลู่เฉินเซ็นสัญญาฉบับนี้ ลิขสิทธิ์ผลงานเพลงทั้งหมดของเขาก็จะตกเป็นของซิงกวงมีเดีย โดยพื้นฐานแล้วก็เหมือนกับชิงอวี่มีเดียที่อยากให้เขาเซ็นสัญญาว่าจ้างศิลปินใหม่ในตอนแรก!

ระยะเวลาในการเซ็นสัญญาคือสิบปี อีกทั้งซิงกวงมีเดียยังมีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาได้ตลอดเวลา

ภายใต้สายตาที่เฝ้ารอคอยของจ้าวเต๋อผิง ลู่เฉินวางสัญญาแล้วถามว่า “ผู้จัดการจ้าว ผมได้ยินว่าคุณเคยชินในการเตรียมสัญญาสองฉบับ เวลาที่ดึงคนและเจรจาเงื่อนไข ผมขอดูสัญญาอีกฉบับได้ไหมครับ”

“อะไรนะ”

จ้าวเต๋อผิงตกใจเป็นอย่างมาก ถามว่า “คุณรู้ได้ยังไง”

นี่คือเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่จ้าวเต๋อผิงมักจะใช้เวลาเจรจาดึงตัวคน เวลาที่เจรจาต่อรองเขาจะให้ดูสัญญาที่ใช้งานทั่วไปก่อน ถ้าได้เซ็นเลยก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ เขาจะเอาสัญญาอีกฉบับออกมาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจครั้งสุดท้าย!

จ้าวเต๋อผิงคาดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะรู้วิธีตามความเคยชินของเขา

และความจริงแล้วสิ่งที่ลู่เฉินรู้ ยังมีมากกว่าที่จ้าวเต๋อผิงคิดมากนัก

เขายิ้มเห็นฟัน พูดว่า “ผู้จัดการจ้าวครับ ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคือผู้ดูแลระบบหมายเลข 002 ใช่ไหมครับ”

เลือดร้อนกลุ่มหนึ่งพุ่งขึ้นไปในหัวของจ้าวเต๋อผิงทันที หน้าแดงก่ำในชั่วพริบตา

เขามีจุดอ่อนที่อันตรายที่สุดในการดึงตัวลู่เฉินมา นั่นคือเคยใช้ฐานะของผู้ดูแลระบบบล็อกแอคเคาท์ของลู่เฉินในตอนแรก

ลู่เฉินอุตส่าห์ปักหมุดโพสต์ไว้บนสุดของฟอรัม ดังนั้นจึงยังตะขิดตะขวงใจแน่นอน

เดิมทีจ้าวเต๋อผิงเชื่อว่า สัญญาที่มีค่าตอบแทนเยอะมากขนาดนี้จะทำให้ลู่เฉินลืมเรื่องราวที่ไม่ลงรอยกันได้

ใครมันจะโกรธเงินเล่า?

แต่ตอนนี้เขาพลันพบว่า ความคิดทุกอย่างของตัวเองถูกลู่เฉินมองออกอย่างชัดเจน!

จ้าวเต๋อผิงแปลกใจมาก จึงถามโดยไม่รู้ตัว “ใครเป็นคนบอกคุณครับ”

ลู่เฉินยังคงยิ้มเหมือนเดิม ยื่นมือชี้นิ้วไปที่ประตูของร้านกาแฟ “คุณจะไปหาเขาเหรอครับ”

จ้าวเต๋อผิงอดหันหน้าไปมองไม่ได้ แล้วจึงงงเป็นไก่ตาแตก!

…………………………………………………………………………