ตอนที่ 218 อุปสรรค

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 218 อุปสรรค

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของชาวฉู่โจวทำให้อันหลิงเกอและมู่จวินฮานสามารถคาดเดาถึงสถานการณ์ของฉู่โจวได้อย่างคร่าว ๆ แล้ว

อาจเพราะขุนนางที่ฮ่องเต้ส่งมารอบก่อนมิมีความน่าเชื่อถือจึงทำให้ราษฎรมิพอใจ กอปรกับโรคระบาดทำให้ผู้คนแตกตื่น ราษฎรหวาดกลัวจนเกิดความโกรธและความคิดอื่นไปแล้ว

คนเหล่านี้กล้าฝ่าฝืนคำสั่งหลบหนีการลาดตระเวนของทหาร ทั้งยังกล้าลงมือกับคนของราชสำนัก แค่นี้ก็เพียงพอให้เห็นว่าฉู่โจวในตอนนี้มิสงบอย่างแน่นอน

ที่พวกเขาเจอในตอนนี้เป็นแค่คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เกรงว่ายังมีผู้ก่อจลาจลอีกจำนวนมากในเมืองฉู่โจว

อันหลิงเกอหลุบตาลง ฟังคนเหล่านี้กล่าวอย่างตื่นเต้น “มิทราบว่าสูตรยาในมือท่านโหวสามารถนำออกมาตอนนี้ได้หรือไม่ขอรับ ? ”

ราวกับกลัวว่าอันอิงเฉิงจักปฏิเสธ ชายที่มีแผลเป็นบนหน้าจึงรีบกล่าวต่อ “โชคดีที่พวกเรามิเป็นโรคระบาด แต่ญาติของเราติดกันมิน้อยเลย…”

ด้านหลังของเขามีหญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่งกล่าวสะอึกสะอื้น ใบหน้าฉายแววกังวล “หากมิถูกโรคระบาดบังคับพวกเราจนต้องออกมา ผู้ใดจักยอมจากบ้านเกิดของตน ? ในเมื่อท่านโหวมีสูตรยาที่สามารถรักษาโรคได้ก็ได้โปรดบอกสูตรยากับเราเถิด จักได้ช่วยชาวฉู่โจวให้พ้นจากความยากลำบากนี้เสียที ! ”

ใบหน้าของอันอิงเฉิงเคร่งเครียด เขาหันไปมองมู่จวินฮานเมื่อเห็นว่ามู่จวินฮานพยักหน้าเบา ๆ จึงเอ่ยขึ้น “พวกเจ้ามิต้องกังวลใจ เดิมทีข้าก็มาเพื่อรักษาโรคระบาดอยู่แล้วถึงได้พามู่ซื่อจื่อและบุตรีมาด้วย รอไปถึงฉู่โจว ข้าจักให้ขุนนางเขียนใบสูตรยาประกาศออกมา”

ชาวฉู่โจวเหล่านั้นพากันกล่าวขอบคุณ ผ่านไปสักพักจึงทยอยล่าถอยออกไป มิรู้ว่ากลับไปที่ฉู่โจวหรือตามหาสถานที่อื่นเพื่อพักแรม

เช้าวันรุ่งขึ้น อันหลิงเกอ มู่จวินฮานและคนอื่น ๆ เตรียมตัวเสร็จแล้วก็พากันเข้าเมืองฉู่โจว

อันอิงเฉิงที่มีฐานะเป็นอาวุโสตำแหน่งยศสูงสุดจึงประกาศขั้นตอนที่ต้องทำทั้งหมดหลังจากเข้าเมือง

แม้ว่าหลายปีมานี้เขามิได้สร้างผลงานอันใดในราชสำนัก แต่เพราะคำสั่งของฮ่องเต้ จึงทำให้ทุกคนต้องฟังคำของเขาอยู่ดี

ทว่าสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือเมื่ออันอิงเฉิงไปถึงเมืองฉู่โจว ขุนนางครั้งก่อนที่ฮ่องเต้ส่งมาล้วนต้อนรับพวกเขาอย่างเป็นมิตร แต่มิมีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องการรักษาโรคแม้แต่คนเดียว

“ใต้เท้าเจียว” อันอิงเฉิงวางถ้วยชาในมือลง สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “มิทราบว่าสถานการณ์ในฉู่โจวตอนนี้เป็นเยี่ยงไร ? ”

ขุนนางที่ถูกเรียกว่าใต้เท้าเจียวหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยอย่างมิรีบร้อน “เรียนท่านโหวอัน โรคระบาดนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป ทั้งนายอำเภอยังปิดบังทำให้ราษฎรติดต้องโรคระบาดกันเป็นพันเพราะมิทันได้ป้องกัน เมื่อคืนเจ้าหน้าที่ได้สรุปจำนวนออกมาพบว่าตอนนี้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 1,970 รายขอรับ”

1,970 ราย !

อันอิงเฉิงเบิกตาโตเมื่อได้รับรู้ถึงความร้ายแรงของโรคระบาด คิดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคระบาดคงมากกว่าคนที่ป่วยตายตามปกติของฉู่โจวทั้งปีเสียอีก

แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น หากมิควบคุมให้ได้โดยเร็วคงมีราษฎรล้มตายมากกว่านี้ ถึงตอนนั้นจำนวนคนตายอาจถึงหลักหมื่นเลยก็ได้ !

“หมอหลวงที่ฝ่าบาทส่งมาก่อนหน้านี้ได้ไปรักษาราษฎรแล้วหรือยัง ? ”

มู่จวินฮานกวาดสายตาโดยรอบกลับมิเห็นหมอหลวงกลุ่มแรกที่ถูกส่งตัวมา

ใบหน้าใต้เท้าเจียวยังคงมีรอยยิ้มเช่นเดิม แต่แววตาเริ่มดูมิค่อยดีเท่าไร “มู่ซื่อจื่อคงมิรู้ว่าโรคระบาดครั้งนี้ร้ายแรงนัก หมอหลวงมิอาจทำงานอย่างประมาท ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังคิดค้นยารักษาโรคอยู่ รอได้ตัวยาออกมาแล้ว โรคระบาดก็จักถูกควบคุมไว้ได้ขอรับ”

กล่าวง่ายเหลือเกิน แต่ยารักษาโรคระบาด ไหนเลยจักสามารถคิดค้นขึ้นมาได้ง่ายดายปานนั้น

อันหลิงเกอฟังใต้เท้าเจียวกำลังบอกปัดความรับผิดชอบ แววตาจึงแข็งกร้าวขึ้นมา หากนางมิมีความทรงจำเมื่อชาติก่อนย่อมมิอาจคิดค้นยารักษาโรคระบาดได้แน่นอน

ในชาติก่อนต้องใช้เวลานานเป็นเดือนถึงคิดยารักษาโรคระบาดนี้ออกมาได้ หากคิดค้นยามิได้ หมอหลวงเหล่านั้นก็จักมิสนใจผู้ป่วยแล้วหรือ ?

ขณะที่นางครุ่นคิดเช่นนี้ รอยยิ้มตรงมุมปากก็ดูเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย “ความหมายของใต้เท้าเจียวก็คือตั้งแต่หมอหลวงเหล่านั้นมาถึงฉู่โจวก็ยังมิเคยไปดูราษฎรที่ป่วยเป็นโรคระบาดมาก่อน ปล่อยให้พวกเขาเอาตัวรอดเอง หรือจักบอกว่าปล่อยให้พวกเขารอความตายใช่หรือไม่ ? ”

คำกล่าวของอันหลิงเกอเฉียบคมและตรงไปตรงมาจนทำใบหน้าใต้เท้าเจียวเปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มบนใบหน้าดูจางลง “คุณหนูใหญ่อัน เจ้าเป็นเพียงหญิงสาวที่ยังมิออกเรือน เดิมทีก็มิควรยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ มิสู้เอาเวลาไปเย็บปักถักร้อยจักดีกว่า”

ใต้เท้าเจียวรู้สึกมิชอบใจอยู่แล้ว แม้ว่ายศของเขาจักเทียบเท่าอันอิงเฉิงและมู่จวินฮานมิได้ แต่เขาก็เป็นถึงขุนนางขั้นสาม เมื่อเทียบกับอันหลิงเกอที่เป็นเพียงคุณหนูของขุนนางผู้หนึ่ง ตนมีตำแหน่งสูงกว่ามิรู้ตั้งเท่าไร แม่นางน้อยคนหนึ่งยังกล้ามาชี้แนะขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก หากครั้งนี้เขายอมให้นาง อันหลิงเกอมิยิ่งเหิมเกริมหรอกหรือ

เมื่อได้ฟังคำเย้ยหยันของใต้เท้าเจียว มู่จวินฮานก็ยกยิ้มมุมปาก แววตาแฝงประกายเย็นชาอย่างที่น้อยครั้งจักได้เห็น “ใต้เท้าเจียวคงมิทราบว่าคุณหนูใหญ่อันถูกฮ่องเต้เลื่อนยศให้เป็นจวิ้นจู่แล้ว อีกทั้งเรื่องโรคระบาดนี้ก็มีนางพบเป็นคนแรก การชี้แนะท่านย่อมมิถือว่าทำเกินเหตุ”

อ้อ ที่แท้นางมีที่พึ่งพิงนี่เอง

ใต้เท้าเจียวหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจ แม่นางคนหนึ่งควรอยู่ที่เรือนดูแลสามีและเลี้ยงดูบุตร อันหลิงเกอกลับเสนอหน้ามาแทรกแซงเรื่องบ้านเมือง นี่นับเป็นเยี่ยงไร !

ในใจเขามิพอใจมาก แต่มิได้แสดงออกทางใบหน้า “ในเมื่อคุณหนูใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคระบาด เช่นนั้นข้าก็จักกล่าวตามตรงเลยแล้วกัน หมอหลวงย่อมกังวลต่อความเป็นความตายของราษฎรอยู่แล้ว เพื่อคิดค้นสูตรยาที่ใช้ได้ออกมา พวกเขาถึงกับมิได้นอนมาหลายคืน เยี่ยงนี้ยังเรียกว่าปล่อยราษฎรไปตามเวรตามกรรมได้หรือไร ? ”

คำกล่าวอ้อมไปอ้อมมาแต่สุดท้ายความหมายก็คือหมอหลวงเหล่านั้นมิเคยไปดูราษฎรที่ป่วยเป็นโรคระบาดมาก่อน

แม้กระทั่งคนที่ติดโรคยังมิเคยเจอมาก่อน แล้วจักคิดค้นยาที่ใช้ได้ผลออกมาได้หรือ ?

หรือมีคนกลับชาติมาเกิดเหมือนนางอีกทั้งยังสามารถนำสูตรยาออกมาจากความทรงจำได้ ?

อันหลิงเกอยังอยากพูดต่อ แต่อันอิงเฉิงเอ่ยขึ้นมาก่อน “ใต้เท้าเจียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิทราบว่าหมอหลวงค้นพบยาหรือยัง ? ”

แม้เขามิมีตัวตนเท่าไรในราชสำนัก แต่ก็ถือว่าแฝงตัวอยู่ในนั้นมาหลายปีแล้ว อันอิงเฉิงแค่ดูก็รู้ทันทีเกี่ยวกับความคิดของใต้เท้าเจียวว่าต้องการอยู่ให้ห่างจากเรื่องโรคระบาดนั่นเอง

ใต้เท้าเจียวพยายามปั้นหน้ายิ้ม แต่ใบหน้ายังคงดูย่ำแย่ “ท่านโหวมีฐานะสูงส่งย่อมมิรู้ว่าโรคระบาดรักษายากเพียงใด หมอหลวงเหล่านั้นคิดค้นตัวยาอย่างเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลานานถึงเพียงนี้ก็ยังมิมีความคืบหน้าอันใดเลยขอรับ ! ”

“เหล่าหมอหลวงมิมีความคืบหน้า แต่ข้าซื่อจื่อมี ใต้เท้าเจียวอยากดูหรือไม่ ? ” มู่จวินฮานกล่าวจบก็มิรอใต้เท้าเจียวเอ่ยปาก เขาสั่งเสียงดัง “นำตัวเข้ามา ! ”

ตามคำสั่งของเขา มิช้าก็มีนายทหารพาชายสองสามคนที่อยู่ในสภาพโทรมเดินเข้ามา

พอใต้เท้าเจียวเห็นคนเหล่านั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที “มู่ซื่อจื่อ นี่ท่านหมายความว่าเยี่ยงไรขอรับ ? ”