ตอนที่ 85 ศิษย์ในศิษย์นอก
เซี่ยงไฮ้มีขนาดใหญ่อย่างมาก
แน่นอนว่า ความเป็นจริงพื้นที่ภายใต้การควบคุมของเซี่ยงไฮ้ไม่นับว่าใหญ่อะไร ถึงกระทั่งยังเล็กกว่าพื้นที่ของเจียงเฉิงด้วยซ้ำ
เป็นเพราะความรู้สึกคลาดเคลื่อนจากสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โต ตึกอาคารสูงเด่นมากมาย จำนวนประชากรที่เดินกันเบียดเสียด นั่งรถแล้วยังต้องอ้อมแล้วอ้อมอีกจนคุณหัวหมุน
ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน แออัดในรถสาธารณะ อาจจะสิ้นเปลืองเวลาคุณไปหลายชั่วโมง
หากเป็นเมืองเล็กๆ อย่างหยางเฉิงคงไม่เกิดความรู้สึกคลาดเคลื่อนแบบนี้หรอก สรุปง่ายๆ คือ รถวิ่งเร็วทั้งระยะทางเท่ากัน แต่นั่งรถโดยสารในหยางเฉิงกลับสามารถประหยัดเวลาได้เกินกว่าครึ่ง
จากสถานีรถไฟถึงมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ฟางผิงเปลี่ยนรถไฟฟ้ามาแล้วสองสาย นั่งรถเมล์อีกหนึ่งเที่ยวจึงค่อยมาถึงที่หมาย
ระยะทางไม่ถึงสี่สิบกิโลเมตร ฟางผิงใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมงกว่า
ที่นี่ต่างจากเขตปกครองอื่นที่ฟางผิงรู้จักอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะมีผู้ฝึกยุทธ์คอยควบคุมจึงทำให้การบริหารจัดการค่อนข้างมีประสิทธิภาพ
เซี่ยงไฮ้ไม่ได้แบ่งเขตปกครองมากมาย ทั้งไม่ได้ซับซ้อน เซี่ยงไฮ้แบ่งเป็นหกเขตเท่านั้น
ทางเหนือคือเขตเป่ยติ้ง
ทางตะวันตกคือเขตซีเจียง
ทางใต้คือเขตหนานเฟิ่ง
ทางตะวันออกคือเขตตงผู่
นอกจากนี้ยังรวมมีพื้นที่เศรษฐกิจใจกลางเมือง…เขตว่านฮุ่ย รวมถึงพื้นที่ติดทะเลแถบตะวันออกเฉียงใต้ ที่ตั้งใจแบ่งออกมาเป็นเมืองมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ ทั้งถือเป็นเขตปกครองที่อิสระ
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่ในเขตเมืองมหาวิทยาลัย หรือจะพูดอีกอย่างว่า นอกจากมหาวิทยาลัยสายสังคมแห่งอื่นแล้ว มหาวิทยาลัยที่มีสาขาศิลปะการต่อสู้ในเซี่ยงไฮ้ต่างอยู่รวมกันในเขตเมืองมหาวิทยาลัยทั้งหมด
พื้นที่เมืองมหาวิทยาลัยนั้นกว้างขวางอย่างมาก แทบจะคลุมพื้นที่ทั้งหมดของเขตหนานฮุ่ยในความทรงจำฟางผิง
เมืองมหาวิทยาลัยครองพื้นที่เกือบแปดร้อยตารางกิโลเมตร
ส่วนมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ เป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงสุดของเมืองมหาวิทยาลัย ไม่มีที่ใดเทียบได้
ขึ้นชื่อว่าเป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงสุด เรื่องคะแนนคงไม่ต้องพูดถึง มหาวิทยาลัยนั้นครองพื้นที่จนเป็นที่น่าตกใจ
สามหมื่นหมู่[1]!
นี่เป็นข้อมูลที่ฟางผิงหาเจอจากอินเตอร์เน็ต สามหมื่นหมู่ยี่สิบตารางกิโลเมตรคือพื้นที่ทั้งหมดของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้
รวมกับนักศึกษา อาจารย์ ครอบครัว ทั้งคนงานต่างๆ ก็เกือบหมื่นคนแล้ว ครองพื้นที่เฉลี่ยสองพันตารางเมตรต่อคน
—
ตอนที่ฟางผิงลงจากรถโดยสาร สิ่งที่เขารู้สึกคือตกตะลึง
เขาเคยเห็นโรงเรียนมามาก
เคยไปมหาวิทยาลัยมาหลายที่
แต่สถานที่อย่างมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ แค่ประตูทางเข้าก็กว้างเกือบร้อยเมตร นี่ยังเรียกว่าประตูอีกหรือไง?
รถยนต์เรียงเข้าพร้อมกันห้าสิบคันยังได้
“จะมีนักศึกษาขับเรือบรรทุกเครื่องบินเข้ามาหรือไง?”
ฟางผิงยืนอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้
ความกว้างร้อยเมตร ขับเรือบรรทุกเครื่องบินเข้าไปได้ด้วยซ้ำ สร้างประตูใหญ่ขนาดนี้ ฟางผิงไม่อาจเข้าใจรสนิยมของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งนี้จริงๆ
แต่พื้นที่มหาวิทยาลัยกว้างขวาง มีประตูใหญ่อลังการเช่นนี้ ใช่ว่าจะรับไม่ได้เสียทีเดียว
ประตูใหญ่เป็นร้อยเมตร ความสูงคงไม่ใช่เล่นๆ อยู่แล้ว หอประตูด้านบนอย่างต่ำน่าจะสูงประมาณสิบเมตร ทั้งยังสลักตัวอักษรติดไว้อย่างงดงามตระการตา…มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้!
นี่ทำให้ฟางผิงรู้สึกเหมือนมาเยือนเมืองยักษ์ ส่วนเขาเป็นแค่คนกะจ้อยร่อย ยิ่งยืนอยู่หน้าประตูแบบนี้ ยิ่งอดคิดไม่ได้จริงๆ
ตอนที่ฟางผิงกำลังตกตะลึง ด้านหลังกลับมีเสียงดังขึ้น “อึ้งเลยใช่ไหมล่ะ?”
ก่อนหน้านี้ฟางผิงรับรู้ได้เหมือนกันว่ามีคนยืนข้างหลังเขา เขาไม่ได้สนใจนัก ตอนนี้หน้าประตูของมหาวิทยาลัยมีคนพลุกพล่านไม่น้อยเช่นกัน
หากมาเซี่ยงไฮ้ ไม่มาดูมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้สักหน่อย คงจะน่าเสียดาย
แม้จะไม่สามารถเข้าไปเรียนได้ แต่ทุกคนต้องไม่พลาดมาชื่นชมสถานศึกษาระดับสูงของประเทศอยู่แล้ว
มองแค่ประตูทางเข้า ก็ทำให้ใครหลายคนรู้สึกมาไม่เสียเที่ยวแล้ว
ฟางผิงหันไปมอง ก่อนจะพบว่าด้านหลังเขามีวัยรุ่นที่อายุพอๆ กับตัวเองยืนอยู่
หน้าตาหล่อเหลา ผมค่อนข้างยาว ใบหน้ายังเผยรอยยิ้ม
ไม่เหมือนรอยยิ้มอ่อนโยนของหวังจินหยาง วัยรุ่นคนนั้นยิ้มอย่างทระนงตน ทั้งแฝงความรู้สึกเย้ยหยันอยู่บ้าง
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของฟางผิงกลับไม่ใช่หน้าตาหรือรอยยิ้ม แต่เป็นดาบยาวไร้ฝักในมือวัยรุ่นคนนั้น
ใบมีดสีเข้มนั้นพาให้คนอดเสียววาบไม่ได้อยู่บ้าง
นี่ทำให้ฟางผิงรู้สึกแปลกๆ ไม่น้อย วัยรุ่นสมัยนี้สวมเสื้อยืดกางเกงกีฬา ในมือกลับถือดาบยาวเกือบเมตร
เห็นฟางผิงมองดาบในมือตัวเอง จู่ๆ วัยรุ่นคนนั้นก็แกว่งดาบเล่น พลางหัวเราะ “กลัวงั้นเหรอ?”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รับบทสนทนา
เขาไม่รู้จักคนตรงหน้า เขาแค่มาดูประตูมหาวิทยาลัยเท่านั้น พูดสุ่มสี่สุ่มห้าใครจะไปรู้ว่าอาจมีปัญหาอย่างอื่นตามมาหรือเปล่า
วัยรุ่นคนนั้นไม่สนใจเหมือนกัน เห็นฟางผิงเมินเฉยเลยวางดาบลง ปล่อยปลายมีดจิ้มพื้น ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เด็กใหม่?”
“อืม”
“ฉันแค่ลองเดา ลากกระเป๋าสัมภาระ ยืนตะลึงอยู่หน้าประตู ท่าทางราวกับไม่เคยผ่านโลก ต้องเป็นเด็กใหม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งยังเป็นเด็กใหม่ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ด้วย ถูกหรือเปล่า?”
วัยรุ่นคนนั้นคล้ายปลาบปลื้มกับการคาดการณ์ของตัวเอง
ฟางผิงไร้คำพูดอยู่บ้าง ดูจากน้ำเสียงและเนื้อหาที่พูดแล้ว อีกฝ่ายคงไม่ได้มาหาเรื่อง
ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนฟางผิงจะเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ปราณฉันเกินหนึ่งร้อยแปดสิบแคล เดาว่าเป็นเด็กใหม่ของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ น่าจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอกมั้ง?”
“ฮ่าๆ เหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
วัยรุ่นคนนั้นหัวเราะขึ้นมาทันที “พวกมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ข้างๆ นี้จะเทียบกับมหาวิทยาลัยของพวกเราได้ยังไง! เด็กใหม่ที่หลอมกระดูกครั้งที่สอง ต้องมามหาวิทยาลัยพวกเราเท่านั้น เชื่อฉันเถอะ นายเลือกไม่ผิดที่จริงๆ!”
แค่มองก็แยกได้แล้วว่าฟางผิงหลอมกระดูกครั้งที่สอง ทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง วัยรุ่นคนนี้ต้องมีพลังแข็งแกร่ง หูตาว่องไว
ปราณของคนที่ใกล้ทะลวงด่านและหลอมกระดูกครั้งที่สองแทบไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง
ปกติจะตรวจสอบพลังของคนอื่น ฟางผิงมักจะใช้ระดับปราณเป็นตัวตัดสิน ที่สถานีรถไฟเหมือนกัน
เห็นได้ชัดว่าวัยรุ่นด้านหน้าไม่ได้มองแค่ปราณ จุดนี้ทำให้ฟางผิงแปลกใจอยู่บ้าง แต่ยังคงไม่ถามออกมา
“ไม่ทราบว่ารุ่นพี่คือ?”
ฟางผิงเห็นว่า แม้น้ำเสียงเขาจะติดลำพองตัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนนึกชังอะไร รวมทั้งเขาแทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ เวลานี้เลยเริ่มผูกมิตรขึ้นมา
“ฉินเฟิ่งชิงปีสาม เอกยุทโธปกรณ์ มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้!”
ฉินเฟิ่งชิงแนะนำตัวเอง ก่อนจะถามกลับ “นายล่ะ?”
“ฟางผิง นักศึกษาปีหนึ่ง”
“มาเร็วขนาดนี้เลย?”
“อยากล่วงหน้ามาดูมหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันสักหน่อย”
“ไม่แปลก แต่ล่วงหน้ามาตั้งหนึ่งเดือนนับว่าหายาก มามหาวิทยาลัยตอนนี้ การลงทะเบียนนักศึกษาใหม่ยังไม่เริ่ม อาจจะช่วยจัดการเรื่องหอพักให้นายไม่ได้”
ฉินเฟิ่งชิงพูดออกไปอย่างไม่คิดอะไร ก่อนจะวนเข้าประเด็นก่อนอีกครั้ง “เห็นประตูทางเข้าแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนกระจ้อยร่อยหรือเปล่า?”
“นิดหน่อย”
“นี่ก็ถูกแล้ว! แรกเริ่มมหาวิทยาลัยสร้างประตูขึ้นมาด้วยเหตุผลนี้แหละ อยากให้พวกนักศึกษารู้จักตัวเอง พวกเราเป็นคนกระจ้อยร่อย นี่แค่ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น ขนาดยืนอยู่หน้าประตูยังรู้สึกตัวเล็กแบบนี้ งั้นหลังจากเข้าไปล่ะจะเป็นยังไง? โลกในบานประตู กว้างขวางยิ่งกว่านี้ อันตรายยิ่งกว่านี้ ทั้งน่าสนใจมากกว่านี้!”
คำพูดนี้คล้ายกับแฝงอะไรอยู่ ฟางผิงจำไว้ในใจ กลับไม่ถามอะไรออกมา แต่เบี่ยงเข้าประเด็นที่เขาสนใจแทน “ปิดเทอมรุ่นพี่ไม่กลับบ้าน?”
“กลับบ้าน?”
ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะเสียงดัง “กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ นั่นหมายความว่าต้องเตรียมตัวห่างไกลจากครอบครัว เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า เวลาในมหาวิทยาลัยนั้นมีค่ายิ่งกว่า อยู่ที่นี่ จะปิดเทอมหรือไม่ปิดเทอม หากนายไม่อยากตามหลังคนอื่น ก็ต้องขยัน ขยันกว่าคนอื่นเท่านั้น อยู่ในมหาวิทยาลัย นายยังมีมหาวิทยาลัยคอยช่วยเหลือ สนับสนุนเรื่องทรัพยากร แต่พอนายเรียนจบแล้ว ล้วนต้องพึ่งตัวเองทั้งหมด ดังนั้นนายไม่อาจใช้เวลาเสียเปล่าในมหาวิทยาลัยได้ นี่เป็นบทเรียนแรกที่รุ่นพี่ชี้แนะให้นาย เวลาในมหาวิทยาลัยคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด อย่าสิ้นเปลืองเวลาสี่ปีต่อจากนี้ของนาย”
“ขอบคุณรุ่นพี่ที่ช่วยชี้แนะ”
ฟางผิงกล่าวขอบคุณ ถามอย่างสงสัยว่า “รุ่นพี่ฉินกลับมาจากข้างนอก?”
“อืม ออกไปข้างนอกเพิ่งกลับมา พอดีเห็นเด็กใหม่ใสซื่อ คิดว่าจะคุยเล่นสักหน่อย น่าเสียดายที่…ไม่ใช่ผู้หญิง”
ฉินเฟิ่นชิงพูดตรงไปตรงมา ยังแฝงความเสียดายอยู่บ้าง
นี่หากเป็นรุ่นน้องผู้หญิง เขาคงจะเท่มากกว่านี้ แน่นอนว่า รุ่นน้องคนนั้นต้องหน้าตาดีด้วย
มหาวิทยาลัยที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ถึงจะใหญ่แต่นักศึกษากลับมีน้อย แต่ละปีมีคนเพิ่มมาพันกว่าคนเท่านั้น นักศึกษาทั้งหมดน่าจะประมาณหกพันคน
ในนี้เป็นผู้ชายแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์
นักศึกษาผู้หญิงพันกว่าคน คนที่หน้าตาดูดีมีไม่ถึงหนึ่งในสามเท่านั้น
หนึ่งในสามนี้ มักมีรุ่นพี่ปีสี่ที่ไม่ค่อยอยู่ในมหาวิทยาลัย และส่วนหนึ่งมีเจ้าของแล้ว ยังมีบางคนที่มักจะรับภารกิจอยู่ข้างนอก ผู้หญิงที่หน้าตาสะสวยในมหาวิทยาลัยนั้นแทบนับคนได้!
คนอื่นมักพูดว่ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้มีสาวงามเยอะ แค่ฉินเฟิ่งชิงรู้สึกว่าเขาใกล้จะหมดหวังกับหญิงสาวแล้ว
ดีที่กำลังรับนักศึกษาใหม่พอดี ไม่รู้ว่าปีนี้จะมีสาวงามให้ได้ชื่นชมหรือไม่
ฟางผิงหลุดขำอยู่บ้าง “จากความสามารถของรุ่นพี่ ผมว่าคงไม่ขาดสาวงามหรอก”
“แน่อยู่แล้ว!” ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่างนายพูดผิดแล้ว ฉันไม่ได้ใช้ความสามารถ อาศัยหน้าตาหากินต่างหาก”
“แค่ก…”
“อย่าสำลักสิ ฉันจริงจังนะ!” ฉินเฟิ่งชิงทำเสียงเคร่งขรึม
“พูดถึงความสามารถ นักศึกษาที่นี่ต่างแข็งแกร่งทั้งนั้น แต่คนส่วนมากหน้าตาดูแทบไม่ได้ ดังนั้นพวกเราจะไม่สู้กันเรื่องความสามารถ ใช้เรื่องหน้าตาแทน!”
“รุ่นพี่ฉินหน้าตาดีจริงๆ ครับ”
ฟางผิงกล่าวประจบเขาอย่างไม่กระดากอาย รุ่นพี่คนนี้แข็งแกร่งอย่างมาก ฟางผิงมองไม่ออก รู้สึกว่าน่าจะไม่ต่างจากหวังจินหยางนัก ไม่ขั้นสองก็ขั้นสาม
อีกอย่างเขายังถือดาบในมือ เพราะไม่มีฝัก ฟางผิงเลยมองออก นี่ไม่ใช่ดาบที่ประดับตกแต่ง แต่เป็นอาวุธที่เอามาใช้ต่อสู้จริงๆ
“ฉินเฟิ่งชิงฟังจบ พลันหัวเราะขึ้นมา “สายตากว้างไกลจริงๆ น่าสนใจไม่น้อย เด็กใหม่ปีก่อนๆ ไม่ค่อยมีสมองเท่าไหร่ คิดว่าตัวเองสอบได้ที่หนึ่งของเมือง คะแนนเยอะที่สุดในมณฑล ก็เข้าใจว่ายอดเยี่ยมเกินใคร รอจนเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ถึงค่อยได้รู้ว่า รุ่นพี่ผู้ชายมีไว้เพื่อเคารพ รุ่นพี่ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาแตะต้องได้ ส่วนพวกรุ่นน้องผู้หญิงนั้นเป็นของรุ่นพี่ผู้ชาย!”
“แค่กๆ…”
ตอนนี้ฟางผิงสำลักอย่างจริงจัง ก่อนจะอดเอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่ได้
“รุ่นพี่ฉินตลกจริงๆ นึกไม่ถึงว่ามามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ครั้งแรกจะพบกับรุ่นพี่ เป็นเกียรติไม่น้อย”
“ไม่ได้ตลก ฉันพูดความจริง”
ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะ ควักมือถือมาดูเวลา เอ่ยว่า “ความจริงเจอเด็กใหม่อย่างนาย ฉันที่เป็นรุ่นพี่ควรจะพาชมรอบๆ ให้คุ้นเคยสถานที่สักหน่อย แต่ฉันยังต้องไปส่งมอบภารกิจ ไม่มีเวลาเดินเป็นเพื่อนนาย นายเดินไปจุดต้อนรับทางนั้นเองแล้วกัน ถึงจะล่วงหน้ามาก่อน มหาวิทยาลัยคงไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยนี้ ลองไปดูว่าพอจะให้นายเข้าพักในมหาวิทยาลัยก่อนได้หรือเปล่า! เอาล่ะ คงต้องขอตัวก่อน มีโอกาสค่อยคุยกันใหม่”
นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะเซี่ยงไฮ้มีไม่เยอะ ครั้งหน้าอาจมีโอกาสพบกันอีก
แน่นอนว่าถึงไม่เจอกันก็ไม่เป็นไร อีกฝ่ายไม่ใช่สาวงามสักหน่อย ฉินเฟิ่งชิงแทบไม่มีความคิดจะทิ้งเบอร์โทรให้สักนิด
ฟางผิงไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรเหมือนกัน คนอื่นไม่ใช่พ่อคุณสักหน่อย เขาจะทิ้งธุระมาช่วยคุณทำไม
อย่างน้อยฉินเฟิ่งชิงก็บอกข้อมูลที่มีประโยชน์กับเขาแล้ว ให้ลองไปที่จุดต้อนรับ
พักอยู่ในมหาวิทยาลัยได้หรือไม่ได้ ฟางผิงไม่เป็นไรอยู่แล้ว เข้ามาดูมหาวิทยาลัยเพราะอย่างล่วงหน้ามาคลี่คลายความสงสัยของตัวเองสักหน่อยเท่านั้น
อีกอย่างเพิ่งมามหาวิทยาลัย กลับได้พบกับรุ่นพี่ที่ความสามารถแข็งแกร่ง นี่ทำให้ฟางผิงเกิดความสนใจกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ขึ้นไปอีก
หวังจินหยางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม นับว่าเป็นอนาคตของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง
ส่วนฉินเฟิ่งชิง?
คนผู้นี้อาจจะอยู่ขั้นสองไม่ก็ขั้นสาม แต่ที่แน่ๆ คือแข็งแกร่งกว่าเขามาก ฟางผิงไม่อาจคาดเดาตำแหน่งของเขาในมหาวิทยาลัยได้
แต่บังเอิญเจอนักศึกษาคนหนึ่งในมหาวิทยาลัย ฟางผิงไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นบุคคลสำคัญอะไร บางทีเขาอาจจะเป็นพวกปลายแถวก็ได้
—
ฉินเฟิ่งชิงที่เข้ามาในมหาวิทยาลัยอยากจะจามอยู่บ้าง เขาถูกจมูกพลางพึมพำ “เจ้าเด็กเมื่อกี้สำเนียงคุ้นๆ?”
“เคยได้ยินสำเนียงนี้ที่ไหนมาก่อนนะ…”
ครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่ทันทำให้กระจ่าง ฉินเฟิ่งชิงกลับโยนความคิดทิ้งไปก่อน
ฟางผิงเป็นแค่คนที่บังเอิญเจอกันระหว่างทางกลับมหาวิทยาลัยเลยพูดคุยเล่นกันเท่านั้น ใครจะสนใจว่าอีกฝ่ายมาจากไหน
ฉินเฟิ่งชิงที่มือหนึ่งถือดาบ อีกมือแบกกระเป๋าหนักอึ้ง เอ่ยอย่างพอใจอยู่บ้าง “ครั้งนี้แลกเปลี่ยนยาเสริมสร้างกระดูกมา คงจะสามารถหลอมกระดูกลำตัวได้แล้ว รอฉันทำสำเร็จ…จะจัดการมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงของแกซะ!”
“หนานเจียง…”
ฉิงเฟิ่งชิงคล้ายกับคิดอะไรบางอย่างได้ แต่ความคิดแวบเข้ามาแค่ชั่วครู่ เขากลับคร้านจะสนใจต่อ
————————-
[1]หมู่ คือหน่วยวัดของจีน พื้นที่หนึ่งหมู่เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร