บทที่ 29.3 เลือดตกยางออก (3)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 29 เลือดตกยางออก (3) Ink Stone_Romance

 

ฉู่สวินหยางขมวดคิ้ว สายตากวาดมองอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนไปหยุดที่ถาดในมือของเจี่ยงลิ่ว

เหยียนหลิงจวินลงมาจากรถ เดินเข้าไปด้วยความสงสัย “นี่คือสิ่งใด?”

“เจอบนรถน่ะ ก่อนจะเกิดเรื่องเหมือนว่าท่านแม่กำลังอ่านสิ่งนี้อยู่” ฉู่สวินหยางตอบ

นางกับฉู่ฉีเฟิงล้วนกระจ่างแจ้งแก่ใจ บนรถม้าไร้ซึ่งเบาะแสโดยสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่น่าจะเป็นปัญหาได้ก็มีแค่เทียบเชิญสองฉบับนี้

“ใต้เท้าเหยียนหลิง…” ฉู่ฉีเฟิงสูดหายใจลึก สายตากวาดมองบนเทียบเชิญทีหนึ่ง สีหน้าไม่น่ามองขึ้นหลายส่วน “รบกวนท่านมาดูหน่อยเถอะ!”

ฉู่สวินหยางรู้สึกถึงความผิดปกติได้ในทันที เพียงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

เหยียนหลิงจวินหยิบเทียบเชิญเปื้อนเลือดขึ้นมาอย่างใจเย็น หลังจากอ่านจบถึงได้หันไปมองฉู่สวินหยางอย่างแปลกใจทีหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยเปิดเทียบเชิญฉบับที่สองออกอ่าน สีหน้าพลันแข็งทื่อไปทันที

ไม่เพียงแค่สีหน้า แม้แต่บรรยากาศรอบตัวเขาก็เปลี่ยนขวับ นอกอาภรณ์คล้ายมีน้ำแข็งคลุมกายอยู่อีกชั้น หนาวเย็นเสียจนคนข้างๆ ต้องสะท้านสั่น

จูหยวนซานอดรนทนไม่ไหว เปิดปากออกมาเป็นคนแรก “อะไรหรือขอรับ? หรือว่าเทียบเชิญสองฉบับนั่นมีปัญหา?”

“อ้อ!” เหยียนหลิงจวินพลันได้สติ แต่สีหน้ายังเย็นเยียบสุดขีด เขาใช้นิ้วลูบเบาๆ ผ่านมุมเทียบเชิญซึ่งหุ้มด้วยกระดาษกันน้ำอีกชั้นหนึ่ง ปรากฏให้เห็นรอยน้ำมันเลือนรางจนแทบจะไร้สีขึ้นบนนิ้วมือของเขา

ทุกคนต่างกลั้นหายใจจ้องมองเขา

แต่เขาเพียงยกมุมปากขึ้น ถามเสียงเบาว่า “เทียบเชิญสองฉบับนี้มาจากไหน?”

“เทียบเชิญ?” จูหยวนซานชะงักไป จากนั้นก็เปิดปากตอบว่า “ข้าน้อยก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ตอนที่ชายารองออกมาจากวังก็ถือมันอยู่ในมือแล้วขอรับ”

หางตาของเหยียนหลิงจวินกระตุก หันไปมองฉู่ฉีเฟิงอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง “ท่านชาย ข้าคิดว่าเรื่องนี้ควรเข้าวังไปถามฝ่าบาทให้ชัดเจนต่อหน้าจะดีกว่า!”

ฉู่สวินหยางอยากก่อเรื่อง แต่เขาไม่ยอมเล่นด้วยสักนิด พอมาตอนนี้…

คล้ายว่าเขาเองอยากจะก่อเรื่องเสียยิ่งกว่าฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงเสียอีก

ฉู่ฉีเฟิงเห็นปฏิกิริยาของเขา สายตาก็กวาดมองเนื้อหาบนเทียบเชิญทันที ในใจพลันสับสนมึนงง จากนั้นก็ย้ายสายตาหนีด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ไปเตรียมรถม้า ข้ากับสวินหยางจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”

“ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วรับคำ หายตัวไปเตรียมรถม้าทันที

ฉู่สวินหยางสัมผัสได้ลางๆ ว่าบรรยากาศของสองคนนี้ไม่ถูกต้อง ลางสังหรณ์บอกว่าเทียบเชิญสองฉบับนั่นมีปัญหา ตอนนั้นนางกวาดตาดูอย่างรีบร้อนจึงเห็นเพียงฉบับที่มีชื่อของตนเอง แต่กลับลืมพลิกดูอีกฉบับที่อยู่ด้านล่างด้วย

เหยียนหลิงจวินกับฉู่ฉีเฟิงคล้ายว่าจะเข้าใจบางอย่างตรงกัน แต่ต่างทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“เทียบเชิญนั่นมีปัญหาจริงๆ รึ?” ฉู่สวินหยางเดินเข้าไปหาอย่างสงสัย ยื่นมือจะไปหยิบเทียบเชิญที่อยู่ในมือเหยียนหลิงจวิน

“อย่าจับ!” เหยียนหลิงจวินเบี่ยงหลบอย่างว่องไว เอาของซ่อนไว้ที่ด้านหลัง “มันมีพิษ!”

ฉู่สวินหยางรู้สึกว่าท่าทีของเขาแปลกไป แต่ในเมื่อเขาพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ดึงดันอีก

เจี่ยงลิ่วเตรียมรถม้าให้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับองครักษ์กลุ่มของจูหยวนซาน ทั้งหมดพากันเคลื่อนขบวนเข้าวังทันที

หลัวฮองเฮาถูกฮ่องเต้เรียกตัวอย่างกะทันหันก็แปลกใจเป็นที่สุด ทั้งคนที่มาแจ้งยังเป็นหลี่รุ่ยเสียงอีกด้วย

“ยามนี้ฝ่าบาทไม่ควรอยู่ที่ห้องทรงอักษรหารือราชกิจกับเหล่าขุนนางรึ?” หลัวฮองเฮาตรัสถาม

“พอดีเกิดเรื่องขึ้นก่อน จึงให้พวกเขากลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงตอบ เขาภักดีต่อฮ่องเต้มาแต่ไหนแต่ไร ฉะนั้นแม้จะอยู่ต่อหน้าฮองเฮาก็ไม่เคยหลุดข่าวเล็กๆ น้อยๆ ออกมาสักครั้ง

และเพราะเหตุนี้เอง หลัวฮองเฮาถึงไม่ค่อยชอบหน้าเขานัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

“เจ้ากลับไปทูลพระองค์ก่อนเถอะ ข้าเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วจะตามไป” หลัวฮองเฮากดอารมณ์ว้าวุ่นภายใน ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ไม่รีบพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะรออยู่ที่นี่ เรียบร้อยแล้วจะช่วยนำเสด็จไปเอง!” หลี่รุ่ยเสียงตอบ ไม่หวาดกลัว ไม่ข่มเหง และไม่อ่อนข้อ

หลัวฮองเฮาพลันรู้สึกถึงความเกรี้ยวกราดที่พุ่งขึ้นมาจากกลางอก แต่ท่าทางของอีกฝ่ายทั้งเคารพจริงใจ นางไม่รู้จะโวยวายเรื่องใด จึงได้แต่เข้าไปเปลี่ยนชุดด้วยความอดกลั้น

“ไม่มีข่าวเลยรึ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” น้อยครั้งที่ฮ่องเต้จะทำเรื่องใหญ่โตสิ้นเปลืองแรงเช่นนี้ หลัวฮองเฮาถามขึ้นพลางปล่อยให้นางกำลังช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างใจลอย

“ไม่ทราบเพคะ!” ไฉ่เยว่ส่ายหน้าอย่างอับจน หันศีรษะกลับไปมอง ส่งสายตาลอดม่านมุกกับฉากกั้นลมยังพอเห็นเงาของหลี่รุ่ยเสียงที่ยืนหลังตรงแน่วได้อยู่ลางๆ นางพลันรู้สึกตึงเครียดไปด้วยอย่างไร้สาเหตุ

“ไปดูหน่อยสิ แม่นมเหลียงอยู่ที่ไหน!” หลัวฮองเฮาสั่ง ในใจรู้สึกโหวงเหวง อิดออดอยู่พักใหญ่ถึงเดินออกมาเมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จ

หลี่รุ่ยเสียงก้มศีรษะลงเล็กน้อย ถอยหลบไปด้านข้าง “เชิญพะย่ะค่ะ”

ฮองเฮาหลัวมุ่นคิ้วอย่างลังเล เท้าเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูก็เห็นแม่นมเหลียงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาจากด้านนอก

“ฮอง…” แม่นมเหลียงที่อยู่ไกลๆ ตะโกนลั่นเหมือนอดทนเก็บไว้ไม่ไหว แต่พอเห็นหลี่รุ่ยเสียงที่อยู่ข้างกายหลัวฮองเฮา ก็รีบกัดลิ้นหุบปากฉับทันที

หัวใจของหลัวฮองเฮาบีบรัดรุนแรง รีบส่งสายตาซักถามไปให้

“ฮองเฮา ฝ่าบาททรงรอแย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลี่รุ่ยเสียงร้องเตือนได้อย่างถูกจังหวะ

หลัวฮองเฮาอ้าปากพะงาบๆ เสียงติดอยู่ที่ลำคอ ในใจร้อนรนขึ้นเป็นลำดับ…

ท่าทางของหลี่รุ่ยเสียงในวันนี้แปลกไปจากทุกครั้ง

แม่นมเหลียงมีคำพูดอยู่เต็มท้อง แต่โอกาสจะเปิดปากกลับไม่มี ได้แต่มองตามไปด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่ม

หลัวฮองเฮาก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่เดินตามหลี่รุ่ยเสียงไปอย่างกล้ำกลืน

ตลอดทางนางไม่คิดจะแอบถามอะไรอีก เพราะหัวใจลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ สังหรณ์ใจว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น

ด้านนอกของห้องทรงอักษรยังเหมือนเดิม หากให้บอกว่ามีอะไรที่แตกต่างออกไป ก็คงเป็นองครักษ์แปลกหน้าสองสามคน

หลัวฮองเฮาชะงักเท้าเล็กน้อย หลี่รุ่ยเสียงเอ่ยเตือนทันที “ฮองเฮา เชิญเสด็จพะย่ะค่ะ!”

หลัวฮองเฮาจ้องเขาอย่างรำคาญใจ ก่อนจะกัดฟันยกขาข้ามผ่านประตู

ฮ่องเต้นั่งหน้าทะมึนตึงอยู่หลังโต๊ะทรงงาน อารมณ์คุกรุ่นคล้ายจวนจะระเบิดเต็มที เบื้องหน้ามีฉู่ฉีเฟิง ฉู่สวินหยางและเหยียนหลิงจวิน สามคนคุกเข่ารออยู่

นัยน์ตาของหลัวฮองเฮาสว่างวาบ ฉุกนึกได้ทันใจ แต่ไม่ทันให้นางได้ตั้งสติ ฮ่องเต้ก็เขวี้ยงของที่วางอยู่ข้างพระหัตถ์เข้าใส่ ตวาดกร้าวว่า “ดูเรื่องงามหน้าที่เจ้าทำสิ!”

นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้ลงมือกับนาง ฮองเฮาตกตะลึง แม้การถวายความเคารพก็ลืมไปสิ้น ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งสีหน้าแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ฝ่าบาท…”

“คุกเข่าลง!” ฮ่องเต้ตวาดอย่างพิโรธ

————————————–