บทที่ 862 เงาร่างในความทรงจำ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 862 เงาร่างในความทรงจำ Ink Stone_Fantasy

ที่หลิงม่อพาอวี๋ซือหรานมา ย่อมเป็นเพราะภารกิจต่อไปที่กำลังรออยู่…ถึงแม้การปรากฏตัวของเธอจะเหนือความคาดหมาย แต่หวังหลิ่นได้ผ่านพ้นช่วงที่ต้องถามทุกเรื่องมาแล้ว และสำหรับเธอ การที่หลิงม่อเล่นกลเสกคนเป็นๆ ต่อหน้าเธออย่างไม่เกรงกลัวอะไร อย่างน้อยมันก็เป็นการบ่งบอกว่าพี่เขยคนนี้เริ่มไว้ใจเธอในระดับหนึ่งแล้ว…

“ถึงมันจะไม่มีอะไรให้น่าดีใจก็เถอะ…” หวังหลิ่นย่นจมูกคิดในใจ

และในขณะที่ร่างจริงชองหลิงม่อมองไปที่เธออีกครั้ง ในสมองก็มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เพียงแต่ตลอดการเดินทาง และแม้แต่สถานการณ์ในตอนนี้ ล้วนไม่ใช่โอกาสดีที่จะซักถามเธอเลยจริงๆ…

“พวกเธออยู่ที่นี่ต่อไปนะ” หลิงม่อบอก

“แล้วพี่ล่ะ!” แน่นอนว่าคนที่ตั้งคำถาม มีแต่หวังหลิ่นคนเดียวเท่านั้น…

แต่เธอไม่ได้มีท่าทางหาเรื่องแต่อย่างใด ตรงกันข้าม สายตาที่มองมายังหลิงม่อ ยังแฝงแววตาน่าสงสารไว้ด้วย…

“คนเลว! อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียวในเวลาแบบนี้สิ! พวกซย่าน่าไม่เท่าไหร่ แต่ยังมียัยเด็กมาใหม่ที่เอาแต่จ้องฉันด้วยสายตาประหลาดนั่นอีกคนนะ! เมื่อกี้ตอนที่ถามว่าฉันเป็นใคร เห็นชัดว่าเธอเกือบถามต่อว่ากินได้หรือเปล่าออกมาด้วย!”

คงเป็นเพราะเสียงคำรามไร้เสียงของหวังหลิ่นได้ผล ดังนั้นหลังจากที่หลิงม่อเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง จึงนั่งลงที่เดิม บอกว่า “ฉันจะอยู่ที่นี่” เพิ่งจะพูดจบ เขาก็พูดเสริมว่า “ไม่มีเรื่องสำคัญห้ามกวนฉัน”

“ชิ!”

หวังหลิ่นชะงัก จากนั้นก็สะบัดเสียงแรงๆ หนึ่งที

คนบ้า! ทำเหมือนฉันอยากจะสนใจนายมากนักล่ะ!

“เมื่อก่อนนายไม่เคยอยู่ในสายตาของคุณหนูอย่างฉันหรอกนะจะบอกให้! เอ๊ะ ไม่สิ! ตอนนี้นายก็ยังไม่อยู่ในสายตาฉันอยู่ดี!”

ทว่าถึงแม้ไม่สบอารมณ์ แต่ร่างกายเธอกลับนั่งลงข้างๆ หลิงม่ออย่างว่าง่าย จากนั้นก็ถลึงตาจ้องอวี่ซือหรานตอบอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงยัยเด็กนี่จะร้ายอีกแค่ไหน ก็ไม่มีทางตีก้นเธอแน่…

ซย่าน่าได้ละความสนใจออกจากหวังหลิ่นไปยังหลิงม่อแทน ทว่าหลังจากจ้องหลิงม่ออยู่ไม่นาน อยู่ๆ เธอก็หัวใจกระตุกวูบ แล้วหันไปมองเย่เลี่ยนที่อยู่ไม่ไกลทันที

เย่เลี่ยนที่ตอนแรกกำลังขว้างกิ่งไม้ออกไปกำลังจ้องหลิงม่ออย่างเหม่อลอย ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวที่มือก็ช้าลงมากโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว สีหน้าของเธอดูแปลกใหม่ เหมือนกำลังหวนนึกถึงบางอย่าง แต่ก็เหมือนกำลังสับสน

พอเห็นภาพนั้น ซย่าน่าก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “เฮ้อ…หืม? รุ่นพี่?”

“รู้สึกว่าเวลาที่เธอถอนหายใจไม่ค่อยเหมือนกับพวกเราเลย” หลี่ย่าหลินยื่นหน้าเข้ามาจากข้างหลังไหล่ซย่าน่าในองศาที่แปลกประหลาด พลางพูดขึ้น

“ไม่เหมือนตรงไหน?” ซย่าน่าหันมาถาม

หลี่ย่าหลินกัดนิ้วทำท่าคิด แล้วอยู่ๆ ก็ยิ้มบอกว่า “เหมือนมีอะไรบางอย่างที่มากกว่า ถึงแม้จะยังไม่เหมือนหลิงม่อ แต่ก็ใกล้เคียงมากแล้ว”

“อารมณ์หรอ?” ซย่าน่าพูดเหมือนคิดออก

แต่หลี่ย่าหลินกลับพึมพำกับตัวเองต่อว่า “เธอเหมือนหลิงม่อขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่าทำเรื่องอย่างการมีลูกกับหลิงม่อได้หรอกนะ…”

“เหมือนพี่จะเข้าใจอะไรผิดไปนะ…” ซย่าน่าพูดไม่ออก

ทว่าเวลานี้มีแค่เย่เลี่ยนเท่านั้นที่สังเกตเห็น หลิงม่อที่ดูเหมือนกำลังหลับตาเพื่อรวบรวมสมาธิ กลับกำลังยิ้มบางๆ เหมือนเข้าใจ

เพียงแต่หลังจากที่จ้องหน้าเขาอยู่สองวินาที ซอมบี้สาวตัวนี้ก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ รีบยกมือจับคอเสื้อเหมือนตกใจ และหันกลับไปทันที เธอกุมหัวใจตัวเอง เพื่อสัมผัสถึงอัตราการเต้นที่เร็วขึ้นนั้น…

“ทำไม…ถึงได้…”

ความรู้สึกอย่างนี้ เหมือนจะแตกต่างจากความตื่นเต้นยามล่าเหยื่อ…

…………

ในความทรงจำ ราวกับมีเงาร่างหนึ่งค่อยๆ ชัดเจนขึ้น…

ในห้องอันมืดมิด เด็กชายตัวน้อยนั่งเงียบๆ อยู่ในมุมห้อง

แต่ขณะที่เธอไปหาเด็กชาย อีกฝ่ายกลับเงยหน้าขึ้นทันที แล้วส่งรอยยิ้มซุกซนมาให้เธอ

“เด็กโง่ เธอลองทายสิว่าพาไปดูปลาทองแปลว่าอะไร?” (พาไปดูปลาทอง หมายถึง คำพูดล่อลวงของชายสูงอายุโรคจิตที่หมายจะหลอกเด็กสาวไปทำมิดีมิร้ายในห้องตัวเอง)

“ไม่รู้…”

“ให้ฉันสอนเธอไหมล่ะ?”

“อื้อ…ไม่เอาหรอก!”

“ชิ โดนจับได้ซะแล้วหรอ…”

“เพราะพี่เอาแต่รังแกฉันตลอดน่ะสิ”

…………

“เด็กโง่ เคยเห็นดาวไหม?” บนระเบียง เด็กหนุ่มนั่งคีบบุหรี่อยู่บนพื้นไม้ แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน

“เหมือนจะเคยเห็นนะ…แต่ว่าลืมไปแล้ว น่าเสียดายจัง ตอนนี้มองเห็นดาวได้ยากแล้ว”

“ใช่ ฉันก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน ความทรงจำบางอย่าง ทั้งที่เป็นช่วงเวลาที่งดงามมาก แต่พอเวลาผ่านไป กลับหลงลืมไปอย่างไม่รู้ตัว…”

ชายหนุ่มในยามนี้ ทำให้เด็กสาวรู้สึกว่าเขาแตกต่างออกไป

บางที…เขาคงเหงามากสินะ?

แต่ว่า ปกติเขาออกจะร่างเริงนี่นา…เขามักแกล้งเธอเล่นอย่างไม่รู้จักเหนื่อย และมักจะทำเรื่องที่ทำให้เธอต้องกลั้นขำจนท้องแข็งอยู่เสมอ…

คงเพราะไม่อยากให้คนข้างกายรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระสินะ? หรือว่า เขาเองก็อยากให้ตัวเองได้ผ่อนคลายบ้าง?

“เวลาช่างเป็นสิ่งน่ารำคาญ จริงไหม? แต่ว่า ฉันไม่มีทางลืมแน่นอน!” อยู่เด็กสาวก็พูดขึ้นอย่างมั่นใจ

เด็กหนุ่มก้มหน้า แล้วมองเธอด้วยสายตาแปลกใจ “หา?”

“ฉันบอกว่า ฉันไม่มีทางลืมพี่แน่นอน!” หลังพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอก็รีบเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างลนลาน “แน่นอนว่าไม่ลืมพ่อแม่ด้วย ยังมีรสชาติของเค้กด้วย อ๊ะ ใช่แล้วๆ ยังมีนิยายอีกหลายเล่มด้วย! อืม…น่าจะยังมีเพลงอีกหลายเพลงด้วยนะ! พอคิดอย่างนี้แล้ว มีเรื่องที่ไม่อยากลืมเยอะจัง…”

ระหว่างที่กำลังพูดเจื้อยแจ้ว เด็กสาวก็จ้องมองท้องฟ้าอยู่ตลอด

แต่เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าสายตาของเด็กหนุ่มกำลังจับจ้องมาที่ตัวเอง

นั่นทำให้ใบหูของเธอเริ่มร้อนผ่าว พวงแก้มก็ดูเหมือนจะค่อยๆ แดงซ่าน…

ราวกับเข็มนาฬิกาได้เดินช้าลงในเวลานี้ รอบข้างแปรเปลี่ยนเป็นเงียบงันไร้เสียงทันที…

“ดึกมากแล้ว ฉันกลับแล้วนะ” อยู่ๆ เด็กสาวก็ปัดกระโปรงลุกขึ้นยืน แล้วละล่ำละลักพูด

“อ้อ เดี๋ยวฉันไปส่ง” เด็กหนุ่มสะดุ้ง

“ไม่ต้องหรอก อาทิตย์หน้าฉันจะมาใหม่”

“เอิ่ม…อย่าลืมเอาข้าวมาให้กินด้วยนะ!”

เด็กสาวที่เร่งฝีเท้าเดินไปทางประตูห้องพลันชะงัก “ปล่อยให้หิวตายไปเลย!”

จนกระทั่งเมื่อประตูห้องปิด เสียงหัวเราะเบาๆ ของอีกฝ่ายก็เหมือนยังดังก้องอยู่ในหูเธอ…

“มีอะไรน่าขำนักเล่า!” เด็กสาวคิดอย่างเคืองๆ

…………

“ใช่แล้ว เสียงหัวเราะ…แบบนั้นแหละ…”

ท่ามกลางป่ารกร้าง เย่เลี่ยนเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน เหมือนเด็กสาวในความทรงจำ

หลังจากเกิดภัยพิบัติ ภาพท้องถนนที่มีรถราสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง และภาพวิวยามกลางคืนของเมืองที่เต็มไปด้วยกิ่งไฟสว่างไสวก็ไม่มีให้เห็นอีก…แต่บนผืนฟ้าอันมืดมิดที่คว่ำหน้าลงสู่แผนดิน กลับมีแสงสว่างของดวงดาวนับล้านคอยส่องประกายระยิบระยับอยู่บนนั้น…

“นี่ก็คือ…ผืนฟ้าแห่งดวงดาวสินะ” เย่เลี่ยนพึมพำกับตัวเอง

แต่ภายใต้ทิวทัศน์อันสวยงาม กลับเต็มไปด้วยการเข่นฆ่ามากมาย รวมถึงกลิ่นคาวเลือดที่ลอยตลบอบอวลขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…

ทว่าความรู้สึกนี้เพิ่งจะพลุ่งพล่านขึ้นมา แต่กลับมลายหายไปทันทีเมื่อเธอจ้องมองหลิงม่ออีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เขามักทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้เสมอ…การมีชีวิตอยู่ ไม่ควรเป็นเรื่องที่หนักหน่วงตั้งแต่แรกอยู่แล้วหรือเปล่า? ไม่ว่าจะสำหรับมนุษย์ หรือซอมบี้ก็ตาม…

แต่ปัญหาที่ “ลึกซึ้ง” อย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่เย่เลี่ยนจะสามารถคิดหาคำตอบได้ ดังนั้นหลังจากที่เธอขมวดคิ้วหักกิ่งไม้สองที เธอก็เลิกคิดถึงปัญหาเหล่านี้ พร้อมกับสายตาครุ่นคิดที่ค่อยๆ เลือนหายไป และกลายเป็นเหม่อลอยอีกครั้ง

เพียงแต่ก่อนที่เธอจะเลือกหักกิ่งไม้กิ่งต่อไป เธอก็พึมพำเสียงเบาว่า “อืม ช่วงเวลานี้ก็ต้องจดจำไว้ด้วยเหมือนกัน!”

…………

หลิงม่อที่กำลังหลับตาได้พุ่งสมาธิไปยังหุ่นซอมบี้เต็มที่แล้ว ถึงแม้เขาจะได้ข้อมูลที่พักมาจากหยางเหมยแล้ว แต่ก่อนหน้านั้น เขากลับต้องคิดเกี่ยวกับจุดซุ่มโจมตีก่อน

อันดับแรก จุดซุ่มตัวจะต้องอยู่ระหว่างห้องประชุมและที่พักของฉีเทียนอี้ อันดับต่อมายังต้องเป็นจุดอับที่กล้องวงจรปิดมองไม่เห็นด้วย จะให้ดีที่สุดต้องเป็นมุมที่ไม่มีใครเดินผ่านเลย…สรุปคือ นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก

หุ่นซอมบี้หาห้องประขุกเจอก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ทำทีเป็นเดินไปยังห้องพักของฉีเทียนอี้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามสังเกตเส้นทางระหว่างนั้นอย่างสุดความสามารถ หลังจากที่เลือกสถานที่ได้บ้างแล้ว เขาก็เดินไปยังที่พักของฉีเทียนอี้อย่างอาจหาญต่อไป

เพิ่งจะเดินเลี้ยว หลิงม่อก็มองเห็นเงาคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินวนเวียนไปมา ซ้ำเงาคนเหล่านั้นล้วนมีอาวุธปืนและระเบิดครบชุด

กลุ่มตัวรับกระสุนของฟอลคอนแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานในฐานทัพที่ 2 อย่างหัวหน้าทีมย่อยคนนี้ อีกส่วนคือคนที่รับผิดชอบคุ้มกันบุคคลระดับสูงของฟอลคอน สมาชิกที่มีฐานะพิเศษอย่างฉีเทียนอี้ การคุ้มกันที่ได้รับย่อมแตกต่างจากหัวหน้าทีมใหญ่ราวฟ้ากับเหว

และที่นี่ก็ดูไม่เหมือนที่ที่เขาจะหาข้ออ้างเข้าไปได้ง่ายๆ เกรงว่าแค่ผลีผลามปรากฏตัวก็อาจถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพวกนั้นตรวจสอบอย่างละเอียด

ดังนั้นหลิงม่อจึงยืนแนบตัวชิดกำแพงและแอบสังเกตการณ์เงียบๆ แทน ขณะเดียวกันสมองก็ย้อนนึกถึงรายละเอียดเส้นทางที่เขาเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อกี้

“โอกาสในการลงมือมีประมาณสามครั้ง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าทีมทำลายล้าง เดาว่าคงจะมีฝีมือไม่น้อย ทันทีที่เสียเวลา อาจทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมาได้…ดังนั้น ต้องจัดการให้ได้ในครั้งเดียว!”

หลิงม่อคิดในใจ

—————————————————————————–