ตอนที่ 532

Elixir Supplier

532 จืดชืดราวกับน้ำเปล่า

 

เบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์จากปักกิ่ง และน้ำเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากปลายสาย

 

“ซูเสี่ยวซวีเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ฉันเองค่ะ เซียนเชิง” ซูเสี่ยวซวีตอบ

 

“เธอเปลี่ยนเบอร์ใหม่เหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ตอนออกมา ฉันลืมเอามือถือของตัวเองออกมาด้วยน่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมีความสุขอย่างมาก ในตอนนี้ เธออยู่ที่สวนสาธารณะเซียงซานในปักกิ่ง อยู่ๆ เธอก็นึกอยากจะโทรหวังเย้าขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล แล้วเธอก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้เอามือถือติดตัวมาด้วย เธอจึงได้ยืมมือถือจากพี่ชายของเธอ

 

“คลินิกเปิดทำการรึยังคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เปิดวันนี้แหละ” หวังเย้าพูด

 

“ยินดีกับกิจการของคุณด้วยนะคะ ขอให้คุณร่ำรวยๆ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ขอบคุณ ถ้าว่างก็มาเยี่ยมได้นะ” หวังเย้าพูด

 

“แน่นอนค่ะ!” คำตอบของหวังเย้าทำให้ซูเสี่ยวซวีมีความสุข

 

“น้องกำลังคุยกับใครอยู่เหรอ ดูท่าทางมีความสุขจังเลยนะ?” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าและมีร่างกายกำยำ เขายืนอยู่ข้างๆซูเสี่ยวซวีและถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“หนูไม่บอกพี่หรอก” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ถึงน้องจะไม่บอกพี่ก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว เป็นหมอหวังใช่ไหมล่ะ?” ซูจือฉิงรักและเอ็นดูน้องสาวของเขามาก เขาต้องประจำอยู่ในกองทัพ ทำให้เขาแทบไม่ได้กลับบ้านเลย เมื่อไหร่ที่เขาได้มีโอกาสกลับมา เขาก็จะใช้เวลากับน้องสาวของเขาให้มากที่สุด ดังนั้น เขาจึงได้มาที่สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นเพื่อนเธอ

 

“พี่คะ เมื่อไหร่ที่หนูหายดีแล้วจริงๆ หนูอยากจะติดตามหมอหวังและฝึกฝนกับเขาค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“อะไรนะ? ฝึกฝนเหรอ!” ซูจือฉิงตกตะลึงกับคำพูดของเธอ เขาไม่เคยได้ยินพ่อแม่ของเขาพูดเรื่องนี้มาก่อนเลย

 

“ฝึกกำลังภายในของลัทธิเต๋าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“กำลังภายใน? เพื่ออะไรกัน?” ซูจือฉิงพูด

 

“หนูเรียนมาได้หน่อยนึงแล้วด้วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“กำลังภายในน่ะเหรอ? น้องกำลังโกหกพี่อยู่ใช่ไหม?” ซูจือฉิงถาม

 

“พูดจริงสิคะ ถ้าพี่ไม่เชื่อ เรามาลองแข่งกันดูก็ได้นะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด พร้อมกับโบกมือที่เนียนสวยของเธอไปมา

 

“แข่งเหรอ? จะแข่งยังไงล่ะ?” ซูจือฉิงถาม

 

“งั้น เรามางัดข้อกันดีกว่าค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“งัดข้อเหรอ? น้องกับพี่เนี่ยนะ?” ซูจือฉิงตกใจ

 

“ค่ะ หรือว่าพี่ไม่กล้าคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ก็ได้” ซูจือฉิงพูด

 

พวกเขาพากันเดินไปยังศาลาที่ตั้งอยู่บนเขา

 

“รอเดี๋ยวนะ พี่จะปูผ้าให้ก่อน เวลานั่งน้องจะได้ไม่รู้สึกเย็น” ซูจือฉิงปูผ้าลงไปม้านั่ง

 

“มาสิ” ซูจือฉิงชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว

 

“พี่คะ พี่กำลังดูถูกฉันอยู่ใช่ไหม?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความไม่พอใจ

 

“ก็แค่วอร์มก่อนเล่นจริงต่างหากล่ะ” เขาตอบ

 

หลังจากที่ซูจือฉิงเรียนจบระดับชั้นมัธยม เขาก็เข้าเรียนต่อในโรงเรียนทหาร เขาอยู่ในกองทัพมานานกว่า 10 ปีและเป็นนาวิกโยธินอยู่ช่วงหนึ่งด้วย เขามักจะฝึกกับกองทัพอย่างสม่ำเสมอ พูดได้ว่า เขาแข็งแกร่งอย่างมาก ส่วนน้องสาวของเขานั้น เธอต้องนอนป่วยเพราะโรคร้ายอยู่นานนับปี เพิ่งจะไม่นานมานี้เองที่เธอสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอิสระ แค่ยกมือขึ้นมาก็ยังยากสำหรับเธอเลย

 

เขามองว่า การงัดข้อครั้งนี้เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งกับน้องสาวของเขาเท่านั้น มือที่หยาบกระด้างและมือที่อ่อนนุ่มจับกันแน่น

 

หืม! ซูจือฉิงมองหน้าน้องสาวของเขาด้วยความประหลาดใจ แขนอันผอมบางของเธอที่ยังหนาไม่ได้ครึ่งของข้อมือของเขาด้วยซ้ำ กลับแข็งแรงอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเชื่อไม่ลงจริงๆ

 

ซูเสี่ยวซวีมองหน้าพี่ชายของเธอด้วยรอยยิ้ม “พี่อย่ายอมแพ้ให้หนูล่ะ!”

 

“ไม่มีทางหรอก!” ซูจือฉิงคิดที่จะยอมแพ้เพื่อให้น้องสาวของเขามีความสุข แต่เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงจากมือของน้องสาวที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เลิกคิดไปทันที ตอนนี้ เขารู้สึกว่า ถึงเขาจะใส่กำลังทั้งหมดลงไป เขาก็อาจจะแพ้ได้

 

มันคือความจริง ชายคนหนึ่งที่หมกตัวอยู่แต่ในกองทัพทั้งวันทั้งคืน เขาที่แข็งแกร่งราวกับไอรอนแมน กลับพ่ายแพ้ให้กับเด็กสาวอ่อนแอคนหนึ่ง

 

“พี่คงไม่ได้ตั้งใจยอมแพ้ให้หนูใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“น้อง เอาตรงๆนะ น้องทำแบบนั้นได้ยังไงกันน่ะ?” ซูจือฉิงถามด้วยอาการตกตะลึง

 

“มันคือกำลังภายในค่ะ!” ซูเสี่ยวซวีไม่ได้ปิดบังอะไรต่อหน้าพี่ชายของเธอ

 

“น้องใช้กำลังภายในได้จริงๆ” เขาพูดด้วยความประหลาดใจ

 

“ก็จริงสิคะ” ซูเสี่ยวซวีลังเลเล็กน้อย แล้วเธอก็หยิบก้อนหินขึ้นมาจากพื้นและถือมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่งของเธอ มันดูคล้ายกับว่า เธอเพียงแค่บีบมันเบาๆเท่านั้น แต่หินก้อนนั้นกลับแตกออกเป็นชิ้นๆ

 

ซูจือฉิงจับจ้องไปที่เศษชิ้นส่วนก้อนหินเหล่านั้น และลองทำดูบ้าง มันคือเรื่องจริง “น้อง น้องไปเรียนมันมาจากที่ไหนกัน?”

 

“หมอหวังค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“หมอหวังเหรอ? หวังเย้าคนนั้นนะเหรอ?” ซูจือฉิงถาม

 

“ถูกต้องแล้วค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“เขารู้เรื่องนี้จริงๆเหรอ?” ซูจือฉิงตกตะลึง

 

คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่เขานั้นรู้ดีว่า สิ่งที่น้องสาวของเขาทำลงไปนั้นคืออะไร มันคือกังฟู แต่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำลายกระดูกที่หน้าอกอย่างในนิยาย หากเพิ่มวิชากำลังภายในลงไปในหลักสูตรการเรียนของกองทัพละก็ กำลังรบก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี

 

ขนาดน้องสาวของเขายังอยู่ในระดับนี้แล้ว ก็แสดงว่า หวังเย้าจะต้องอยู่ในระดับที่สูงกว่านั้นมาก เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ กลายเป็นเขาที่อยากจะติดตามหวังเย้าเพื่อฝึกฝนกำลังภายในแทน

 

“น้อง บอกพี่มาสิ ตอนนี้หมอหวังอยู่ระดับไหนแล้ว?” ซูจือฉิงรู้สึกสนใจในตัวหวังเย้ามาก และเขาก็เคยพบหวังเย้าแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น

 

“หนูไม่รู้หรอกค่ะ แต่หนูได้ยินมาจากพี่เฉินหยิงว่า เขาอยู่ในระดับที่สูงมากๆเลยล่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“เฉินหยิงเหรอ?” ซูจือฉิงถาม

 

ในตอนกลางวัน พระอาทิตย์เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย ภายในบ้านหลังหนึ่ง มีชาหนึ่งถ้วย ชายหนึ่ง และหญิงอีกหนึ่ง

 

“ทำไมถึงได้มีเวลาว่างแวะมาที่นี่ได้ละคะ คุณชาย?” เฉินหยิงถามด้วยรอยยิ้ม

 

“นี่ อย่างเรียกฉันแบบนั้นสิ มันฟังดูอึดอัดจะแย่ เรียกฉันว่าพี่สิ” ซูจือฉิงดื่มชาเข้าไป “เสี่ยวโจวอาการดีขึ้นรึยัง?”

 

“ยังค่ะ เขาเพิ่งจะอาการกำเริบไปได้ไม่นาน ฉันไปรับเขามาตอนช่วงตรุษจีน หลังผ่านวันที่ 15 ไป ฉันก็จะพาเขากลับไปรับการรักษาต่อ” เฉินหยิงพูด

 

“ในช่วงเวลานี้ พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กหลังนี้ ในบางครั้ง เธอก็จะออกไปเที่ยวตามโบราณสถานในปักกิ่งกับน้องชาย เฉินโจวมีความสุขมาก และเธอก็มีความสุขมากยิ่งกว่า

 

“หวังเย้าเป็นคนรักษาเขาเหรอ?” ซูจือฉิงถาม

 

“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงตอบ

 

“เขาก็คือสาเหตุที่ทำให้ฉันมาในวันนี้” ซูจือฉิงพูด

 

“เรื่องอะไรเหรอคะ?” เฉินหยิงงุนงงเล็กน้อย

 

“เธอรู้ไหมว่า เสี่ยวซวีสามารถใช้กำลังภายในได้?” ซูจือฉิงถาม

 

“รู้ค่ะ ฉันได้ยินจากคุณผู้หญิง” เฉินหยิงพูด

 

“กำลังภายในของเธอได้มาจากหวังเย้าใช่ไหม?” ซูจือฉิงถาม

 

“ใช่ค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“หวังเย้าสำเร็จไปถึงขั้นไหนแล้วเหรอ?” ซูจือฉิงถาม

 

“สำเร็จเหรอคะ?” แล้วเฉินหยิงก็เข้าใจว่าเขามาหาด้วยเรื่องอะไร แต่เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเขาจะถามไปเพื่ออะไร “คุณหมายถึงกังฟูใช่ไหมคะ?”

 

“ใช่ กังฟู” ซูจือฉิงพูด

 

“อืม…” เฉินหยิงคิดหาคำอธิบายอยู่ครู่หนึ่ง

 

หากพูดกันตามจริง เธอไม่เคยเห็นในประสบความสำเร็จได้สูงเท่ากับหวังเย้ามาก่อนเลยในชีวิต แม้แต่ในสำนักที่เธอเรียนมา ก็ไม่มีใครอยู่เหนือเขาเลยสักคน คืนนั้นที่กำแพงเมืองจีน มันยังคงเป็นความทรงจำที่สดใหม่สำหรับเธอ มันคล้ายกับว่า เขาคือเทพพระเจ้าในตำนาน

 

“เขาสำเร็จอยู่ในขั้นที่สูงมากค่ะ” หลังจากที่คิดดูแล้ว เธอก็ให้คำตอบที่คลุมเครือกลับไป

 

“ก็ใช่สิ ฉันรู้ว่าเขาอยู่ในระดับที่สูงมาก แต่มันสูงขนาดไหนล่ะ?” ซูจือฉิงถาม

 

“ฉันไม่เคยเห็นกังฟูของใครที่แข็งแกร่งกว่าเขามาก่อนเลยค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“หา!” ซูจือฉิงรับฟังและสูดลมหายใจเข้าลึก “แล้วพวกที่สำนักของเธอล่ะ?”

 

“ยากที่จะมีคนเทียบเขาได้ค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

ซูจือฉิงรู้จักที่มาของสำนักที่เฉินหยิงเรียนมา มันคือสำนักที่สืบทอดมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี มันคือสถานที่ของกังฟูที่แท้จริง ไม่ใช่กังฟูอย่างที่แสดงโชว์ในทีวีหรือหนัง

 

“พอได้คุยกับเธอแล้ว ฉันก็รู้สึกอยากจะเจอหมอหวังขึ้นมาซะแล้วสิ” ซูจือฉิงพูด “แต่หมอก็ควรจะศึกษาเรื่องการรักษาให้หนักสิ เขาไปเรียนทักษะสุดยอดนี้มาจากไหน แล้วเอาเวลาตอนไหนไปฝึกกัน?”

 

“บนโลกนี้ มีบางคนที่มีพรสวรรค์สูงอยู่นี่คะ” เฉินหยิงพูด

 

“ก็ใช่” ซูจือฉิงพยักหนา หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเธอ

 

“อยากจะไปที่บ้านฉันด้วยกันกับเสี่ยวโจวไหม?” ซูจือฉิงถาม

 

“ไม่ละค่ะ ขอบคุณ พี่ก็รู้สภาพของเขาดี เขาอาจจะอาการกำเริบได้ทุกเวลา มันจะดีกว่าถ้าเราอยู่กันแต่ที่นี่ ขอบคุณสำหรับความใจดีของพี่นะคะ” เฉินหยิงพูด

 

หลังออกมาจากบ้านหลังน้อยนั้นแล้ว ซูจือฉิงก็กลับไปที่บ้าน เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็ยิ่งอยากเจอหวังเย้ามากขึ้นไปอีก

 

 

ภายในหมู่บ้านกลางหุบเขา

 

หวังเย้ากำลังอ่าน “สิบโรคร้าย” อยู่ในคลินิก เขาอ่านมันมาสามรอบแล้ว เนื้อหาทั้งหมดถูกบันทึกเอาไว้ในสมองของเขา แต่เขาก็ยังอดที่จะหยิบมันขึ้นมาอ่านในตอนที่ว่างไม่ได้ ทุกครั้งที่ได้อ่าน ก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้ความคิดใหม่ๆอยู่เสมอ

 

แล้วแต่ละวันก็ผ่านไปเช่นนี้ ในวันที่ 9 เดือนมกราคม มีแขกคนหนึ่งเดินทางมาที่คลินิก

 

“คุณหวู?” หวังเย้าพูด ตอนนี้ วันหยุดตรุษจีนได้ผ่านไปแล้ว หวูถงชิ่งผู้มีตำแหน่งใหญ่โตก็เดินทางมาที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้

 

“หมอหวัง สวัสดีปีใหม่ครับ” หวูถงชิ่งพูด

 

“สวัสดีปีใหม่ครับ” หวังเย้าตอบ

 

“ยาของพ่อถูกใช้จนหมดแล้วครับ” หวูถงชิ่งพูด

 

“ผมจะทำเพิ่มให้ แล้วให้คุณมารับวันพรุ่งนี้นะครับ” หวังเย้าพูด

 

ราคาของยาตัวนี้แพงเป็นสองเท่าของซุปเป่ยหยวน เพราะมันใส่สมุนไพรรากลงไปหลายชนิด แต่ตระกูลหวูก็สามารถจ่ายได้โดยไร้ปัญหา

 

“ดี ดี” หวูถงชิ่งพูด “นี่คือเลขาของผมครับ ชื่อว่า เชินจ้าวหยู” เขาตั้งใจแนะนำชายวัย 30 ที่ยืนอยู่ข้างๆให้หวังเย้าได้รู้จัก