บทที่ 305 สายเลือด (3)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 305 สายเลือด (3)

ลู่เซิ่งเข้าสู่เมืองเลียบคีรีผ่านประตูเมือง

ไม่ได้กลับมานาน เมืองไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ร้านค้าที่มีกลุ่มคนเดินถนนเข้าออก มีสองสามร้านที่เปลี่ยนป้าย ที่เหลือยังคงเหมือนเดิม

เขาไม่ได้แจ้งพรรควาฬแดง แต่ว่าตรงดิ่งไปยังตำแหน่งที่มีกลิ่นอายอยู่ทันที

หลังจากโคจรวิชาแสงมายากระทืบพสุธา แม้ความเร็วของเขาดูเหมือนจะไม่สูงมาก ทว่าแค่ก้าวเดียวก็ไปไกลหลายร้อยหมี่ คนปกติมองความเร็วของเขาไม่ทันอยู่แล้ว เพียงรู้สึกว่ามีลมอ่อนๆ ลอยมาปะทะหน้า แค่ตาลายแวบเดียว เงาคนก็หายไปแล้ว

ราวๆ สามสิบอึดใจให้หลัง ลู่เซิ่งก็ยืนอยู่ตรงหน้าคฤหาสน์ตระกูลลู่

องครักษ์ที่คุ้มครองคฤหาสน์ตระกูลลู่มีสีหน้าซีดขาว เหมือนกับได้รับความตกใจ มีคราบเลือดหลงเหลืออยู่บนพื้นหน้าคฤหาสน์ รถม้าสีดำที่หรูหรางดงามหลายคันจอดอยู่ตรงประตูใหญ่ มีชายฉกรรจ์ร่างกำยำจำนวนไม่น้อยเฝ้าอยู่ข้างรถม้า คอยจับจ้ององครักษ์คฤหาสน์ตระกูลลู่ตาเป็นมัน

ลู่เซิ่งยิ้ม หลังจากสัมผัสกลิ่นอายหลายสายเมื่อก่อนหน้านี้ได้จากบนรถม้าเหล่านั้น เขาก็เดินไปยังประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลลู่

หยวนกวงเสิ่นหนิงเบื่อหน่าย นางมาที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้เพื่อรวบรวมคนในสายเลือดเป็นเพื่อนพี่สาว เดิมทีเพียงคิดมาผ่อนคลายจิตใจ

ต่อให้เมืองที่อยู่ในสถานที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้ จะใหญ่โตอยู่บ้างและคนที่ให้กำเนิดนับเป็นผู้ตื่น ทว่าก็เป็นผู้เผาไหม้ที่มีประสบการณ์ตื้นเขิน พากลับไปจะทำอะไรได้

ดังนันนางจึงแค่มาฆ่าเวลาเท่านั้น ความจริงตระกูลลู่นี้ ให้พวกนางรอมานานมาก จนทำให้นางชักจะเหลืออดบ้างแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะความเชื่อใจและความรักที่มีต่อพี่สาว นางคงคร้านจะกล่าววาจาไร้สาระกับคนเหล่านี้ ฆ่าสวะมนุษย์ธรรมดาให้รู้แล้วรู้รอดในฝ่ามือเดียว ส่วนสายเลือดของพี่สาวแค่ฟาดให้สลบแล้วจับไปก็พอ ไม่เห็นมีอะไรต้องคุย

หยวนกวงเช่อซิ่งนั่งนิ่งบนที่นั่ง คิ้วงามขมวดมุ่นขณะมองลู่เฉวียนอันประมุขตระกูลลู่ด้วยความกระสับกระส่ายและจนปัญญา

“ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ ที่นี่อยู่ห่างจากจงหยวน ถ้าหากใช้วิธีการทั่วไปส่งจดหมายไป ครึ่งเดือนจึงค่อยส่งถึง” หยวนกวงเช่อซิ่งถอนใจเบาๆ

ลู่เฉวียนอันขมวดคิ้วเช่นกัน กลุ่มคนตรงหน้านี้ อยู่ๆ ก็พายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งบุกมา ทั้งยังบอกว่าตนเองเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของลู่เซิ่ง เขานึกเชื่อมโยงถึงสถานะที่ไม่ชัดเจนของทารกที่ถูกทอดทิ้งของซุนเยี่ยนในตอนนั้น ในใจเกิดความหวั่นไหวเล็กน้อยเช่นกัน

ทว่ามารดาของลู่เซิ่งจะต้องเป็นซุนเยี่ยนแน่ พยานไม่ได้มีแค่หมอตำแย แต่ยังมีหญิงชราในตระกูลจำนวนไม่น้อยด้วย

ดังนั้นเขาจึงแน่ใจในสถานะของลู่เซิ่งโดยสมบูรณ์ เพียงแต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะมีส่วนที่เชื่อมั่นเช่นกัน

“ยากยิ่ง คุณหนูเช่อซิ่ง พวกเราส่งจดหมายไปอย่างรวดเร็วที่สุดแล้ว ทั้งยังไหว้วานเส้นสายในขุมกำลังบางส่วนที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่…ขอให้ท่านใจเย็นสักเล็กน้อย” ลู่เฉวียนอันไม่รู้จักคนตรงหน้าเหล่านี้ แต่ก็คาดเดาจากการหยั่งเชิงพลังเมื่อก่อนหน้าได้แล้วว่า จะต้องไม่ใช่กลุ่มคนที่คนธรรมดาในคฤหาสน์ตระกูลลู่สู้ได้แน่

“นอกจากนี้เสี่ยวเซิ่งยังเป็นบุตรของข้า พวกเราสามารถพิสูจน์สถานะได้ผ่านการผสานเลือด แต่ตามที่ข้ารู้มา ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้เสี่ยวเซิ่งของข้าไม่เคยมีมารดาบังเกิดเกล้าคนไหนอีก มารดาเพียงคนเดียวของเขาจากไปเมื่อนานมาแล้ว” ลู่เฉวียนอันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไม่…ท่าน…” หยวนกวงเช่อซิ่งมิอาจอธิบายได้ว่าซุนเยี่ยนมารดาของลู่เซิ่งได้รับบาดเจ็บเพราะการฝากสายเลือด ผ่านไปไม่นานจึงเสียชีวิตลง

“ท่านไม่เข้าใจ…”

เช่อซิ่งมองน้องสาวที่อยู่ด้านข้าง หยวนกวงเสิ่นหนิงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหงุดหงิดแล้ว “ความจริงข้าเพียงคิดเจอลู่เซิ่ง…เพื่อถามเขาสองสามเรื่องต่อหน้า”

“ข้าบอกไปแล้วว่าไม่มีวิธีอื่นจริงๆ บุตรคนโตของข้าอยู่จงหยวนซึ่งอยู่ไกลจากที่นี่มาก ต่อให้ใช้นกส่งสารก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายวัน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเราไม่มีวิธีฝึกสัตว์ด้วย” ลู่เฉวียนอันมองด้านข้าง รอบๆ มียอดฝีมือระดับสำนึกปลอดโปร่งในตระกูลที่คอยคุ้มครองเขา ยามเผชิญหน้าคนเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไรหรือไม่ เขาไม่มีความมั่นใจจริงๆ

พรรควาฬแดงในปัจจุบันมียอดฝีมือค่อนข้างพรักพร้อม ยอดฝีมือระดับสำนึกปลอดโปร่งเหล่านี้มายังที่นี่ทันทีที่ได้รับข่าว

แถมยังสู้กันที่นอกประตูด้วย ผลลัพธ์…ยอดฝีมือสำนึกปลอดโปร่งคนหนึ่งถูกทำร้ายที่ไหล่ เห็นได้ถึงพลังอันน่ากลัวของอีกฝ่าย

“ท่านแม่ ในเมื่อไม่มีวิธีแล้ว เช่นนั้นพวกเราค่อยมาวันหลังเถอะ ครั้งนี้กลับไปก่อนค่อยว่ากัน พวกท่านย่าเกรงว่าจะรอไม่ไหวแล้ว”

คนที่อยู่กับหยวนกวงเช่อซิ่งยังมีอีกสามคน แบ่งเป็นสองบุรุษหนึ่งสตรี ล้วนมีอายุไม่มาก ประมาณยี่สิบกว่าปี

แต่ว่าพวกเขามีจุดคล้ายกัน นั่นก็คือใบหน้าล้วนคล้ายคลึงกับหยวนกวงเช่อซิ่ง คนที่พูดเป็นบุรุษหล่อเหลาหน้าตาผ่าเผย

“ไม่ต้องรีบ…” เช่อซิ่งส่ายหน้าปฏิเสธข้อเสนอของบุตรชาย

ความจริงลู่เฉวียนอันก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เนื่องจากว่าหยวนกวงเช่อซิ่งที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าเหมือนเสี่ยวเซิ่งเกินไป นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่เขาเลือกส่งจดหมายไปให้ลู่เซิ่ง

ขณะที่แต่ละคนกำลังหงุดหงิดมากขึ้น ด้านนอกก็มีเสียงร้องอุทานดังมาเลือนราง

“นายน้อยคนโตกลับมาแล้ว!”

“คุณชายใหญ่! เป็นคุณชายใหญ่!”

ข้ารับใช้ชายกับหญิงรับใช้พากันอุทานด้วยความตกใจ คุณชายใหญ่ลู่เซิ่ง บุคคลทรงอำนาจที่อยู่ไกลถึงจงหยวน และเสาหลักของครอบครัว กลับมาโดยไม่ทันตั้งตัว

ลู่เฉวียนอันที่อยู่ในโถงรับแขกลุกพรวดขึ้น จอกชาที่อยู่ใกล้ๆ เกือบจะตกลงพื้น

“จดหมายเพิ่งส่งไปไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงเร็วแบบนี้” เขามองไปด้านนอกอย่างเหลือเชื่อเล็กน้อย

คาดไม่ถึงว่าจะมีคนตื่นเต้นยิ่งกว่าเขา หยวนกวงเช่อซิ่งลุกพรวดพราด หายใจกระหืดกระหอบ มองไปด้านนอกอย่างร้อนใจด้วยดวงตาที่ฉายความละอายปนรู้สึกผิด

ครั้งนี้นางมาเพื่อชดเชยให้แก่สายเลือดของตัวเอง ดีที่สิ่งที่ทำให้นางปลาบปลื้มก็คือลูกๆ คนที่เหลือล้วนต้องการติดตามนางกลับตระกูลหลัก ถึงขั้นที่บางคนแสดงออกอย่างยินดีเป็นพิเศษ

แต่ว่าคิดไปคิดมานี่ก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน สามารถกลับไปยังตระกูลยิ่งใหญ่อย่างตระกูลหยวนกวงได้ เป็นตระกูลขุนนางตระกูลใหญ่และเป็นโอกาสไต่ขึ้นสู่สวรรค์ที่คนทั่วไปเฝ้าฝันปรารถนา

เมื่อนางมาถึงบ้านหลังนี้ พบว่าอีกฝ่ายถึงแม้ว่าจะสร้างรากฐานทางการค้าได้มากมายในโลกคนธรรมดา แต่ก็ยังคงมีปัญหาบางอย่าง

ลู่เซิ่งเดินเข้าโถงรับแขก คนที่เห็นในทันทีคือสตรีที่ยืนอยู่ด้านหน้าเก้าอี้ทางซ้ายมือ ใบหน้าและร่างกายแสดงให้เห็นถึงบุคลิกที่คุ้นเคย

บุคลิกนั้น…เหมือนกับเงาสะท้อนในน้ำของตัวเอง ในตอนที่ยืนมองอยู่ริมแม่น้ำเป็นอย่างยิ่ง! ไม่ใช่แค่บุคลิกเท่านั้น แม้แต่โครงหน้าก็คล้ายกันมากเช่นกัน

หลังจากทักทายลู่เฉวียนอันผู้เป็นบิดา เขาค่อยเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้

“ขอบังอาจถามพวกท่านคือ?” ลู่เซิ่งย่อมไม่บอกว่าตัวเองบินกลับมาหลังได้รับจดหมาย หากแสร้งทำเป็นไม่รู้ เพียงแต่บังเอิญกลับบ้านมาก่อนเท่านั้น

“ข้าชื่อหยวนกวงเช่อซิ่ง ลูก…สัมผัสได้หรือไม่ว่าสายเลือดในตัวเจ้ากำลังกระสับกระส่าย” หยวนกวงเช่อซิ่งไม่ได้อธิบายอะไร แต่ใช้วิธีการที่เรียบง่ายที่สุด ดั้งเดิมที่สุด กระตุ้นให้สายเลือดร่วมประสานเสียง เพื่อให้ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงพลังทางสายเลือดในร่างกายของตัวเอง นี่เป็นวิธีการที่เร็วที่สุด

ชั่วขณะนั้น ความร้อนหลายสายเอ่อล้นบนแผ่นหลังของลู่เซิ่ง

ซู่…

ในกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ หยวนกวงเช่อซิ่ง หยวนกวงเสิ่นหนิง และบุรุษสตรีอีกสามคน รวมถึงลู่เซิ่ง คนเหล่านี้เริ่มแผ่อุณหภูมิร้อนแผดเผาออกมา สายเลือดในตัวพวกเขากำลังถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง

“นี่เป็นสายเลือดของตระกูลหยวนกวง โลหิตแห่งการเผาไหม้ เจ้าเป็นผู้เผาไหม้ของตระกูลหยวนกวง เป็นบุตรชายของข้า ทั้งสามคนนี้ล้วนเป็นพี่น้องของเจ้า คนผู้นี้คือหยวนกวงเสิ่นหนิง อาหญิงของเจ้า” หยวนกวงเช่อซิ่งสัมผัสได้ถึงพลังทางสายเลือดในร่างกายของลู่เซิ่งเช่นกัน แม้ว่าจะอ่อนแอยิ่ง แต่สุดท้ายก็เป็นบุตรของนาง ขอแค่มี นางจะพยายามขอร้องมารดาให้จัดหาภารกิจดีๆ และสถานะดีๆ ให้แก่เขา ภายภาคหน้าจะได้ปลอดภัยไร้เรื่องราว ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องห่วงกังวลอีก

“ตระกูลหยวนกวงหรือ พวกท่านมาถึงก็บอกข้าว่าข้าไม่ใช่ลูกบ้านนี้ แต่เป็นลูกของท่าน หลักฐานเล่า มีแต่การประสานเสียงทางสายเลือดหรือ” ลู่เซิ่งถามต่อโดยไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

“ข้าสามารถหยดเลือดพิสูจน์ได้” หยวนกวงเช่อซิ่งตอบอย่างจริงจัง

การหยดเลือดพิสูจน์ในโลกใบนี้แตกต่างจากโลกที่ลู่เซิ่งเคยอยู่ ระหว่างสายเลือดของที่นี่มีพันธนาการและความเข้ากันได้ที่ล้ำลึกถึงขีดสุด ทั้งยังมีการเป็นปฏิปักษ์กันอย่างรุนแรงถึงขีดสุดต่อสายเลือดอื่นๆ ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีการถ่ายเลือด เกิดว่าเสียเลือดมากเกินไป ก็ได้แต่ทนเอาเอง การถ่ายเลือดได้แต่ต้องพึ่งพี่น้องของตัวเอง การเติมเลือดของคนอื่นๆ เข้าไปเท่ากับความตาย

การหยดเลือดพิสูจน์ของที่นี่มีความน่าเชื่อถือสูงยิ่ง

ลู่เซิ่งยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย เขาเห็นความไหวหวั่นกับความร้อนรนบนใบหน้าของลู่เฉวียนอัน และเห็นความพลุ่งพล่านและความคาดหวังบนใบหน้าของหยวนกวงเช่อซิ่ง แค่มองจากตรงนี้ บวกกับการประสานเสียงทางสายเลือดในร่างกาย ความจริงเขารู้แล้วว่ามีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดที่สตรีผู้นี้จะเป็นมารดาของตนจริงๆ

บรรยากาศในโถงรับแขกหนักอึ้งอยู่ชั่วขณะ

ลู่เซิ่งยืนมองพวกหยวนกวงเช่อซิ่งอยู่เงียบๆ

“พวกเจ้าออกไปก่อน” ลู่เฉวียนอันพลันถอนใจยาว ให้พวกยอดฝีมือระดับสำนึกปลอดโปร่งออกไปจากที่นี่ นี่เป็นเรื่องในครอบครัวของตระกุลลู่ เขาไม่อยากให้ลือกันไปทั่ว

พวกยอดฝีมือระดับสำนึกปลอดโปร่งพยักหน้าน้อยๆ หลังจากก้มศีรษะคำนับลู่เซิ่งแล้วก็ล่าถอยออกจากโถงรับแขก

ไม่นานโถงรับแขกก็เหลือแค่พ่อลูกตระกูลลู่และพวกหยวนกวงเช่อซิ่ง

“ดูเหมือนพวกท่านจะเกี่ยวข้องกับข้าอยู่บ้าง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ เขารู้สึกสนใจสายเลือดของตัวเองเช่นกัน จึงคิดจะไปตรวจสอบสักเล็กน้อย ถึงอย่างไรด้วยพลังของเขาในปัจจุบันก็ไม่กลัวว่ากลุ่มคนตรงหน้าจะวางแผนร้าย

“แต่ข้ามีเงื่อนไขสามข้อ พวกท่านต้องรับปากทั้งหมด ข้าถึงจะยอมไปกับท่าน”

“เจ้าบอกมาก่อน ข้าจะตอบสิ่งที่ตอบได้ทั้งหมด” เช่อซิ่งได้ยินก็ตาลุกวาว รีบร้อนพูด

“วาจาเขื่องโขนัก เงื่อนไขสามข้อหรือ” หยวนกวงเสิ่นหนิงกลับไม่ยินดี ไม่เพียงแค่นางเท่านั้น แม้แต่พี่น้องของลู่เซิ่งอีกสามคนก็ไม่พอใจเช่นกัน

พอมารดามาพิสูจน์สถานะที่แท้จริง พวกเขาก็ตอบรับแล้วติดตามมาทันที ไม่เห็นได้รับการปฏิบัติดีๆ แบบลู่เซิ่ง

แค่หัวหน้าพรรคของมนุษย์ธรรมดาคนเดียว อาจจะมีกิจการทางสังคมและมีเส้นสายในรัฐซ่งอยู่บ้าง แต่เทียบกับตระกูลหยวนกวงแล้ว ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย

ถึงกับกล้าพูดถึงเงื่อนไขต่อหน้าหยวนกวงเช่อซิ่งเชียวหรือ

ลู่เซิ่งไม่สนใจพวกเขา “ข้อแรก ข้าอยากให้ท่านเล่าความลับในตอนนั้น ถ้าท่านเป็นมารดาของข้า อย่างนั้นมารดาในตอนแรกของข้าเป็นใคร ท่านสวมรอยหรือ”

พอได้ยินคำพูดนี้ หยวนกวงเช่อซิ่งพลันสีหน้าแข็งทื่อ สิ่งที่นางกลัวที่สุดคือคำถามนี้ ความตายของซุนเยี่ยนในตอนนั้น ความจริงเกิดจากการใช้วิชาลับของนาง เดิมทีซุนเยี่ยนนับว่ามีร่างกายปกติดี ไม่ควรจะป่วยตายเพราะทนการคลอดที่ยังไม่ถือว่าเป็นการคลอดอย่างลำบากไม่ได้

นี่เป็นเพราะวิชาลับดูดซับพลังงานของซุนเยี่ยนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและทำให้สายเลือดหยวนกวงจับตัวกัน จนทำให้นางกลายเป็นตะเกียงสิ้นน้ำมัน

ดังนั้นจริงๆ แล้วนางจึงเป็นคนที่ทำให้ซุนเยี่ยนตาย

พอคำถามนี้ถูกถาม ลู่เฉวียนอันก็เคร่งเครียดเล็กน้อยเช่นกัน ตั้งใจฟังคำตอบ

“ข้า…ข้า…” เช่อซิ่งตะกุกตะกัก อ้าปากพะงาบๆ กลับไม่อาจกล่าวคำพูดต่อจากนั้นออกมา

……………………………………….