บทที่ 204.2 คนรู้จักมาส่งกระบี่ให้

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 204.2 คนรู้จักมาส่งกระบี่ให้ โดย ProjectZyphon

ลู่เฉินเดินเตร่ไปตลอดทาง จนกระทั่งก้าวเข้าไปในตรอกหนีผิง ตอนที่ผ่านบ้านบรรพบุรุษตระกูลเฉา ประตูใหญ่ปิดสนิท เฉาซีเซียนกระบี่พสุธาแห่งนาตยทวีปที่อยู่ในบ้านหันมาคารวะเขาเงียบๆ จิ้งจอกสีแดงเพลิงนอนหมอบอยู่บนพื้นทั้งตัว แม้ว่าร่างจะสั่นสะท้าน แต่นี่ก็เป็นท่าทางที่แสดงให้เห็นถึงความเคารพเลื่อมใส

ลู่เฉินไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย เขาเดินตรงดิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง แล้วกระโดดตัวขึ้นสูงชะเง้อมองภาพเหตุการณ์ภายในลานบ้านหลังนั้น

เด็กสาวบ้านข้างๆ ที่กำลังนั่งอาบแดดอยู่ในลานบ้านลุกขึ้นยืน ขมวดคิ้ว “เจ้าทำอะไรน่ะ?”

ลู่เฉินย้ายเส้นสายตามามองนาง ชี้นิ้วเข้าที่จมูกตัวเอง หัวเราะร่าพลางเอ่ยว่า “แม่นาง เจ้าจำนักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าไม่ได้แล้วหรือ? เมื่อปีก่อนข้าเคยอยู่ที่นี่ พวกเรารู้จักกันนะ อีกอย่าง เจ้ากับนายน้อยของเจ้ายังเคยไปดูดวงที่แผงของข้า จำไม่ได้แล้วหรือ?”

เด็กสาวแสร้งทำท่าครุ่นคิด จากนั้นก็ส่ายหน้า “จำไม่ได้!”

ลู่เฉินเดินมาหยุดอยู่นอกกำแพงบ้านของเฉินผิงอัน เขย่งเท้าฟุบตัวบนหัวกำแพง สูดจมูกดมกลิ่นแรงๆ “แม่นางกำลังหุงข้าวหรือ หอมจริง ขนาดข้ายืนอยู่ตรงนี้ยังได้กลิ่นหอมของข้าวเลย”

จื้อกุยยังคงส่ายหน้าด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “เปล่าสักหน่อย”

ลู่เฉินยิ้ม เอียงศีรษะน้อยๆ ยื่นนิ้วชี้หน้าเด็กสาว “จมูกของข้าผู้เป็นนักพรตดีนักล่ะ แม่นางเจ้าโกหกข้าไม่ได้หรอก”

เด็กสาวร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเดินไปที่ห้องครัว คีบเอาฟืนทั้งหมดที่อยู่ในเตาดินออกมา เตาดินที่เดิมทีกำลังมีไฟเดือดปะทุมอดดับทันใด ข้าวในหม้อกลายเป็นข้าวกึ่งดิบกึ่งสุก

เด็กสาวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องครัว ปัดมือถามว่า “แล้วตอนนี้ล่ะ?”

ลู่เฉินยกนิ้วโป้งให้นาง “เจ้ามันร้ายกาจ!”

เด็กสาวไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย เพียงเอ่ยถามว่า “เจ้ามาหาเฉินผิงอัน? มีเรื่องอะไร? ข้าช่วยนำความไปบอกเขาได้”

ลู่เฉินยิ้ม “ข้าไปหาเขาเองดีกว่า ไม่กล้ารบกวนแม่นาง หาไม่แล้วข้าผู้เป็นนักพรตก็กลัวว่าพรุ่งนี้จะตั้งแผงต่อไม่ได้อีก”

จื้อกุยกล่าว “ว่ามาเถอะ ข้าสนิทกับเฉินผิงอันมาก”

กล่าวประโยคนี้จบ นางก็ชี้ไปที่ตัวอักษรฝูซึ่งติดไว้หน้าประตูบ้าน “เจ้าเห็นนั่นไหม เหมือนกับที่บ้านเขาเป๊ะ เฉินผิงอันมอบให้ข้าเอง”

แม่นางน้อย ไม่มีใครเขาโกหกหน้าตาเฉยอย่างเจ้าหรอกนะ คิดว่าข้าผู้เป็นนักพรตทำนายไม่เป็นจริงๆ หรือไง

ลู่เฉินมุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมปีนั้นฉีจิ้งชุนถึงทนกับนังหนูคนนี้ได้ แถมยังเต็มใจปกป้องนางอย่างเต็มกำลังของตัวเอง

ลู่เฉินถอนหายใจ “อันที่จริงวันนี้ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ได้มาหาเฉินผิงอัน แต่มาหาเจ้า หวังจู”

จื้อกุยมองนักพรตหนุ่มด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แม้ว่าคุณชายของข้าจะไม่อยู่ในเมืองเล็กชั่วคราว แต่หากเจ้ากล้ารังแกข้า เฉินผิงอันก็จะช่วยแก้แค้นให้ข้า อีกอย่าง ข้ารู้จักฉีจิ้งชุน เขาเป็นถึงอริยะลัทธิขงจื๊อ เจ้าไม่กลัวว่าเขาที่ตายไปแล้ว จู่ๆ จะฟื้นคืนชีพกลับมาเล่นงานเจ้าให้ตายหรือ?”

ลู่เฉินยกสองมือขยี้แก้มตัวเอง กล่าวอย่างระอาใจ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเฉินผิงอันจะช่วยเจ้าแก้แค้นหรือไม่ เอาแค่ฉีจิ้งชุนที่ตายไปก็คือตายไปแล้วจริงๆ ไม่มีทางฟื้นคืนชีพกลับมาอีก”

จื้อกุยเลิกคิ้วที่เรียวเหมือนกิ่งหลิวขึ้นเบาๆ

ประหนึ่งกิ่งหลิวและกิ่งหยางที่พลิ้วไหวไปตามลมฤดูใบไม้ผลิ

ลู่เฉินวางสองมือไว้บนหัวกำแพงอีกครั้ง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “หวังจู ข้าผู้เป็นนักพรตมีโชควาสอย่างหนึ่งจะมอบให้เจ้า เจ้ากล้ารับไว้หรือไม่?”

ชายแขนเสื้อคลุมเต๋าสีเขียวสองข้างทาบทับอยู่บนกำแพงดินเหลืองอย่างนุ่มนวล

ประหนึ่งมังกรขดตัวพยัคฆ์นอนหมอบ

จื้อกุยยกมือสองข้างกอดอกคล้ายกำลังปกป้องตัวเอง นางแค่นเสียงเย็น “บ้ากาม ไร้ยางอาย อันธพาล คนเสเพล!”

ลู่เฉินดึงมือกลับมากุมท้องหัวเราะก๊าก

หวนนึกถึงในอดีตเมื่อปีนั้น บนโลกยังมีมังกรที่แท้จริงอยู่มากมาย เมื่อแบ่งรางวัลตามคุณงามความชอบเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ไปรับหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ทะเลสาบ หนองบึง แม่น้ำและมหาสมุทรทั้งหมดที่มีทั่วหล้า หนึ่งในนั้นคือมังกรตัวเมียตัวหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุด สถานะของนางสูงส่งจนไม่อาจหาคำมาบรรยาย นางหลงรักตนมากแค่ไหน? และในสายตาของคนในโลก ตนนั้นไร้หัวใจถึงเพียงใด?

นักพรตหนุ่มหัวเราะจนแทบน้ำตาไหล

ต่อให้มหามรรคาจะกว้างใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีที่ว่างสำหรับความรักชายหญิง

คำว่าอิจฉาแค่ยวนยาง (เป็ดที่เป็นสัญลักษณ์ถึงคู่รัก) ไม่อิจฉาเซียน ในตำรามี บนภูเขามี แต่บนยอดเขาไม่มี

ลู่เฉินมองเด็กสาวตรงหน้าที่เดิมทีไม่ควรปรากฏตัวบนโลกใบนี้ จำได้ว่าตอนนั้นตนเคยถามอาจารย์ว่า ในเมื่อตาข่ายฟ้าตาถี่แน่นหนาไร้ช่องโหว่ แล้วเหตุใดถ้ำสวรรค์หลีจูถึงดำรงอยู่ได้

ผู้เฒ่าเพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยสองประโยค

“แน่นหนาไร้ช่องโหว่ก็คือปมของปัญหา ปฏิบัติตามกฎแห่งสวรรค์ กลับไม่มีที่มากพอให้หยัดยืน จึงเป็นเหตุให้พังทลาย”

“มหามรรคาห้าสิบ แตกแขนงได้สี่สิบเก้า หนึ่งในนั้นหลบหายไป หนึ่งก่อเกิดหมื่นสรรพสิ่ง”

ตอนนั้นผู้เฒ่านั่งยองอยู่ข้างสระดอกบัวของถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา วักน้ำขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วสาดลงไปบนใบบัวใบหนึ่งที่เอียงลู่ลงเล็กน้อย น้ำที่สาดจากที่สูงไหลลงต่ำ ค่อยๆ แบ่งเป็นสายแยกย้ายกันไป สุดท้ายล้วนกลับคืนสู่บ่อน้ำทั้งหมด

จากนั้นผู้เฒ่าก็ชูฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสูงหันมาทางลู่เฉิน ที่แท้กลางฝ่ามือของเขายังมีหยดน้ำอยู่อีกหนึ่งหยด เมื่อฝ่ามือเอียงลงมา หยดน้ำก็เริ่มไหลช้าๆ ไปตามเส้นลายมือ บิดๆ เบี้ยวๆ แยกไปตามรอยตัดอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่หยุดชะงักก็จะมีการเปลี่ยนทิศทาง หมายความว่าได้เดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างกัน หากเปลี่ยนหยดน้ำที่ไม่สะดุดตาหยดนั้นมาเป็นใครบางคนที่เดินอยู่ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ก็จะหมายความว่าเขาได้กลายมาเป็นคนที่แตกต่างกันไป

แตกต่างเพียงหนึ่งความคิด แตกต่างเพียงหนึ่งก้าวก็ก่อกำเนิดสามลัทธิร้อยสำนัก มีแม่ทัพ มีอัครเสนาบดี มีพ่อค้า มีกรรมกร

ลู่เฉินเก็บความคิดเกี่ยวกับเรื่องในอดีตลงไป นักพรตหนุ่มที่ยืนอยู่นอกกำแพงคลี่ยิ้มให้กับเด็กสาวที่อยู่ด้านในของกำแพง “โชควาสนาที่ข้าผู้เป็นนักพรตจะมอบให้เจ้า เจ้าไม่ต้องการก็ต้องรับไว้”

เด็กสาวแค่นเสียงเย็น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

ลู่เฉินถามกลับ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

จื้อกุยสีหน้ามืดทะมึน “นักพรตจมูกวัวตัวเหม็นอย่างเจ้าจะรับไหวรึ?” (จมูกวัวเป็นคำด่านักพรตเต๋าเพราะมวยผมของนักพรตเต๋าเหมือนเขาวัว)

ลู่เฉินยิ้มบางๆ “นามว่าลู่เฉินของข้าผู้เป็นนักพรตก็มากพอจะอธิบายทุกอย่างได้กระจ่างชัดแล้ว”

คราวนี้จื้อกุยไม่เข้าใจจริงๆ “พูดอะไรของเจ้าน่ะ?”

ลู่เฉินกลับคืนมามีสีหน้าดั่งเวลาปกติ เขาฟุบตัวลงบนหัวกำแพง พูดกลั้วหัวเราะอารมณ์ดี “แม่นาง จะให้ข้าผู้เป็นนักพรตดูลายมือให้หน่อยหรือไม่? จะแต่งงานเมื่อไหร่ จะมีลูกในเร็ววันไหม จะได้คู่ที่ดีหรือเปล่า ข้าผู้เป็นนักพรตล้วนทำนายได้ทั้งนั้น”

จื้อกุยกะพริบตาปริบๆ เอ่ยถาม “แค่กินข้าวอย่างเดียวได้หรือไม่? ไม่ต้องดูลายมือ?”

ลู่เฉินปีนข้ามกำแพง ดีดนิ้วดังเป๊าะ “ตกลง!”

จื้อกุยถามอีก “ข้าวไม่สุกดี ไม่ถือสากระมัง?”

“ถือสิ เดี๋ยวข้าหุงใหม่เอง” นักพรตหนุ่มกลอกตามองบน เดินอาดๆ เข้าไปในห้องครัว เริ่มเติมฟืนเข้าไปในเตาอีกครั้ง หยิบกระบอกเป่าไฟขึ้นมา พองแก้มเป่าลมเข้าใส่อย่างแรง

จื้อกุยยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว ใจอยากจะหยิบไม้กวาดขึ้นมาฟาดที่หัวนักพรตหนุ่มแรงๆ ยิ่งนัก

……

ในห้องหลอมกระบี่ห้องหนึ่งของร้านตีเหล็ก หร่วนฉงยังคงตีเหล็กอย่างไม่หยุดพัก พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก สะเก็ดไฟแตกกระจายไปทั่วทิศครั้งแล้วครั้งเล่า ในห้องที่กว้างใหญ่เจิดจ้าไปด้วยแสงเปลวเพลิง สะเก็ดไฟที่รวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นทับซ้อนกันไปเรื่อยๆ ไม่เคยสลายหายไปแม้แต่เสี้ยวเดียว ยิ่งไม่มีทางไหลออกไปนอกห้อง เป็นเหตุให้ในห้องแทบจะไม่มีที่ให้ยืน

แต่วันนี้ไม่เพียงแต่หร่วนซิ่วเท่านั้นที่เข้ามาในห้อง แม้แต่เว่ยป้อก็อยู่ด้วย พื้นที่มีจำกัด หนึ่งคนหนึ่งเทพภูเขาจึงได้แต่ยืนเคียงบ่ากัน และในอ้อมอกของหร่วนซิ่วก็กอดกระบี่ยาวไร้ฝักไว้หนึ่งเล่ม คมกระบี่ไม่ปรากฏประกายแหลมคม มองไปแล้วจึงไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย เกรงว่าหากผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางมาเห็นเข้าก็คงคิดว่าเป็นแค่กระบี่ใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งเท่านั้น

หร่วนฉงเหวี่ยงค้อนพลางหันมาเอ่ยเสียงหนักกับเว่ยป้อไปด้วย “รบกวนเจ้าพาซิ่วซิ่วไปส่งที่ภูเขาลั่วพั่ว ผู้อาวุโสหยางช่วยอำพรางความลับสวรรค์ไว้แล้ว น่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น”

จากนั้นหร่วนฉงก็หันมากำชับหร่วนซิ่ว “ไปถึงภูเขาลั่วพั่ว มอบกระบี่แล้วก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ แค่บอกให้เขารีบตามเว่ยป้อไปที่ภูเขาหนิวเจี่ยว โดยสาร ‘เรือข้ามฝาก’ ลำนั้นไปทางทิศใต้ หากยังไม่ถูกลับคมจากแท่นสังหารมังกร กระบี่เล่มนี้จะไม่เผยความคมออกมาเด็ดขาด แต่หากเจอกับปีศาจใหญ่ก็อาจจะเผยพิรุธให้เห็น ดังนั้นจงบอกเจ้าเด็กแซ่เฉินที่เดินทางลงใต้ว่าอย่ารนหาที่ตาย อย่าไปมีเรื่องกับพวกปีศาจแห่งภูเขาและหนองบึงทั้งหลาย ด้วยขอบเขตวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ขอแค่ไม่รนหาที่ตายก็มีโอกาสจะรอดไปจนถึงภูเขาห้อยหัว”

เว่ยป้อคิดได้รอบคอบมากกว่า “ที่ข้ายังมีกิ่งไหวหนาๆ อยู่อีกกิ่งหนึ่ง พอไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ระหว่างทางที่พาเฉินผิงอันไปร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาหนิวเจี่ยว สามารถช่วยทำฝักกระบี่ให้เขาได้สองเล่ม”

หร่วนฉงขยับปากเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เว่ยป้อยิ้มอย่างเข้าใจ “วางใจเถอะ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น ข้าร่ายเวทอำพรางตาไปแล้ว มีแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเท่านั้นถึงจะมองออก ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”

หร่วนฉงจึงก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป เสียงตีเหล็กดังราวเสียงฟ้าผ่า

ไฟโทสะสุมทรวงอริยะสำนักการทหารท่านนี้อยู่นานแล้ว ใจเขาอยากจะให้เจ้าลูกหมานั่นหอบผ้าหอบเสื่อไสหัวไปเสียโดยเร็ว

ครั้งนี้เว่ยป้อไม่กล้าประมาท ไม่เพียงแต่ท่องคาถาในใจ ยังยกมือขึ้นทำมุทราแอบโคจรโชคชะตาน้ำและภูเขาในขอบเขตของตัวเองอย่างเงียบเชียบ

และเพียงไม่นานคนทั้งสองก็มาปรากฏตัวที่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว

เฉินผิงอันที่ได้ข่าวล่วงหน้าจัดเตรียมสัมภาระไว้รอเรียบร้อยแล้ว เพราะมีกระบี่บินสืออู่เป็นวัตถุฟางชุ่น ดังนั้นจึงไม่ต้องสะพายตะกร้าไม้ไผ่ สบายตัวยิ่งกว่าขึ้นเขาคราวก่อนเสียอีก แต่นี่กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกไม่คุ้นเคย ปกติเขาเคยชินที่จะถือมีดผ่าฟืนเพื่อใช้บุกเบิกเส้นทางไว้ในมือ แต่ตอนนี้กลับมีแค่กระบี่บินเบาๆ สองเล่มเก็บไว้ด้านใน รู้สึกไม่ชินเลยจริงๆ

หลังมอบกระบี่ให้แล้ว หร่วนซิ่วก็ถ่ายทอดคำพูดที่บิดาของนางกำชับมา สุดท้ายนางยื่นถุงปักลายดอกไม้ถุงหนึ่งให้เฉินผิงอันพลางเอ่ยยิ้มๆ “เฉินผิงอัน ขนมดอกท้อห่อนี้ ข้าให้เจ้า”

—–