ตอนที่ 363 จิตใจเริ่มตั้งมั่น

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินหยิบ ‘บันทึกภูเขาและแม่น้ำดินแดนทั้งสิบ’ ขึ้นมาดูก่อน ไม้สะกดวิญญาณนั้นถือเป็นเรื่องที่นางใส่ใจมากที่สุดตอนนี้ และตำแหน่งของเสวียนโจวอยู่ที่ใดก็ถือเป็นตัวตัดสินความยากง่ายของความสำเร็จครั้งนี้

 

 

แต่หลังจากที่อ่านแล้วก็อดหัวเราะขมขื่นขึ้นมาไม่ได้พลางปิดหนังสือลง คล้ายกับสิ่งที่นางรู้มาก่อนหน้านี้ ตำแหน่งของเซิงโจวตั้งอยู่บริเวณค่อนมาตอนเหนือของดินแดนทั้งสิบ ต่อไปทางทิศใต้จะเป็นหยวนโจว ดินแดนทั้งสองระยะทางใกล้ชิดติดกัน จากนั้นก็เป็นทะเลกว้างใหญ่ไพศาล ไม่รู้ว่าต้องเดินทางกี่หมื่นพันลี้ถึงจะถึงเฟิ่งหลินโจว แต่เสวียนโจวนั้นกลับตั้งอยู่ด้านเหนือของดินแดนทั้งสิบ เฟิ่งหลินโจวถือเป็นจุดที่จำต้องผ่าน เมื่อผ่านเฟิ่งหลินโจวไปแล้วยังจะต้องเดินทางผ่านอีกสองสามดินแดนถึงจะถึงจุดหมายปลายทาง

 

 

หนังสือ ‘บันทึกภูเขาและแม่น้ำดินแดนทั้งสิบ’ เล่มนี้ไม่ได้บันทึกแผนที่เซิงโจวเอาไว้อย่างละเอียดเหมือนที่ชายพายเรือเหล่าหยางพูด แต่กลับอธิบายบรรยายเกี่ยวกับทั้งสิบดินแดนคร่าวๆ รอจนมั่วชิงเฉินอ่านจบแล้วก็เริ่มเข้าใจทั่วทั้งดินแดนทั้งสิบแห่งฝั่งตะวันออกขึ้นบ้างเล็กน้อย

 

 

ตัดอาการความรู้สึกเบื่อหน่ายในใจออกไป มั่วชิงเฉินหยิบ ‘สนทนาอสูรมารในเซิงโจว’ ขึ้นมาแทน กวาดตามองสารบัญคร่าวๆ แล้วจึงเปิดไปหน้าแรก สัตว์อสูรตัวหนึ่งปรากฏเป็นร่างเงาขึ้นมากลางอากาศ ทั่งทั้งตัวเป็นสีแดงปลอด รูปร่างเหมือนเสือร้าย ซึ่งนี่ก็คือพยัคฆ์แดงที่สามารถนำเม็ดพลังมาหลอมเป็นยาบำรุงพลังวิญญาณได้นั่นเอง

 

 

ร่างเงาสามมิติของพยัคฆ์แดงลอยปรากฏขึ้นตรงด้านบนของหน้านั้น และบนกระดาษก็เขียนบรรยายเป็นย่อหน้าสั้นๆ เอาไว้อย่างชัดเจน แนะนำสถานที่ปรากฏตัวและนิสัยของพยัคฆ์แดง รวมถึงความถนัด และยังมีจุดอ่อน

 

 

พอเปิดดูต่อไปก็ไม่เห็นว่าจะบันทึกจุดอ่อนของสัตว์อสูรชนิดอื่นอีก มีสัตว์อสูรบางตัวที่บันทึกไว้เพียงชื่อและท่าไม้ตาย คาดว่าน่าจะเป็นสัตว์อสูรประเภทหายาก

 

 

แต่ได้เท่านี้ก็ถือว่าเลวแล้ว หนังสือจำหน่ายราคาห้าร้อยหินพลังวิญญาณ ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆ

 

 

หนังสือ ‘สนทนาอสูรมารในเซิงโจว’ บันทึกสัตว์อสูรเอาไว้จำนวนมาก ไม่สามารถอ่านหมดได้แค่ภายในสองสามวัน มั่วชิงเฉินนำหนังสือวางลงข้างๆ แล้วหยิบ ‘คัมภีร์รวมยา’ ขึ้นมา

 

 

‘ผู้บำเพ็ญ ดื่มด่ำแก่นแท้ของหยกทอง ทานแก่นรากของจื่อจือ อิ่มทิพย์ตัวเบา กำหนดเรียกไว้ว่าเทพเซียน ข้ารู้ว่าหลิวโจวนั้นยิ่งใหญ่ แต่กลับไร้หญ้าวิญญาณมาปรุงยา ผู้ที่ศึกษาธรรมเช่นข้าล้วนทานเม็ดพลังและเลือดเนื้อสัตว์อสูรเข้าไป ข้อเสียเยอะมากนัก จำต้องปิดกั้นตัวตนจากโลกภายนอกกว่าสิบปี ในที่สุดก็ค้นพบวิธีการหลอมยา เขียนบันทึกคัมภีร์เอาไว้ให้คนรุ่นหลัง เพื่อทดแทนคืนวันที่ผ่านมา’

 

 

บทนำเขียนคำอธิบายเกี่ยวกับตนเองเอาไว้ประมาณนี้ มั่วชิงเฉินอ่านจบแล้วรู้สึกใจกระตุก สายตาทอดมองไปที่ประโยค ข้ารู้ว่าหลิวโจวนั้นยิ่งใหญ่ แต่กลับไร้หญ้าวิญญาณมาปรุงยา

 

 

ปกติแล้วการที่เกิดความรู้สึกอันลึกซึ้งล้วนมาจากมีประสบการณ์ มีการเปรียบเทียบ เปรียบเทียบแล้วสู้ไม่ได้ถึงได้เกิดความรู้สึกเสียใจอย่างลึกซึ้งในใจ

 

 

หากว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เติบโตมาในหลิวโจวตั้งแต่บรรพบุรุษย่อมต้องรู้สึกนึกคิดเคยชินกับสถานการณ์ขาดแคลนหญ้าวิญญาณและยโอสถวิญญาณถึงได้มีความคิดใช้เม็ดพลังหลอมยา แต่ก็ไม่ควรพูดเช่นนี้

 

 

เมื่อดูเช่นนี้แล้ว ผู้ที่เขียนหนังสือ ‘คัมภีร์รวมยา’ จะต้องไม่ใช่คนดินแดนทั้งสิบเป็นแน่

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินก็ยิ่งรู้สึกว่าคนผู้นี้มีความเป็นไปได้สูงที่เป็นบรรพบุรุษหญิงผู้นั้น

 

 

จากนั้นสายตาก็ทอดลงมองบนประโยคที่ว่า ‘เพื่อทดแทนคืนวันที่ผ่านมา’ นักเขียน ‘คัมภีร์รวมยา’ จะต้องมีวันคืนที่ผ่านมาอย่างไรกัน ถึงทำให้นางร้อนรุ่มอยู่ในใจ จนต้องเขียนบันทึกลงบนหนังสือสืบต่อให้ชนรุ่นหลัง

 

 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปริศนายากจะคลาย

 

 

มั่วชิงเฉินอ่านต่อไป ด้านหลังเขียนบันทึกความลับและเคล็ดลับวิธีการหลอมยาอย่างละเอียด อีกทั้งยังมีวิธีการปรุงยาและหลอมยาแบบธรรมดากว่าร้อยแบบ ในนั้นมียาไม่ถึงสิบชนิดที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณต้องการ ที่เหลือล้วนเป็นช่วงระดับปรับลมปราณและสร้างรากฐานมีเพียงชนิดเดียวที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามารถใช้ได้ เรียกว่ายาพลังหวน เอาไว้ใช้สำหรับเพิ่มตบะบำเพ็ญ หนังสือทำมือที่กู้หลีมอบให้นางก็มีบันทึกวิธีการหลอมยาและเคล็ดลับของยาพลังหวนเช่นเดียวกัน

 

 

มั่วชิงเฉินหลงอยู่ในโลกของการหลอมยาแบบใหม่อย่างเต็มตัว เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ผ่านไปแล้วสามวัน ท้องฟ้าปรากฏแสงสีขาวขึ้น

 

 

ยันต์พลังวิญญาณแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นมากลางอากาศ มั่วชิงเฉินเอื้อมมือไปรับไว้ เป็นลายมือของถังมู่เฉิน “น้องข้า เจ้ารีบออกมาเถิด พี่ชายเบื่อจะตายอยู่แล้ว ยันต์ส่งข่าวนี้คนอื่นเขาให้มา หากเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะไปเคาะประตูแล้วนะ”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะด้วยความจนปัญญา คิดถึงเจ้าคนนั้นที่อยู่คนเดียวภายในเรือนพักโดยไม่มีหนังสือให้อ่านฆ่าเวลา ไม่มีทั้งหินพลังวิญญาณและยาวิเศษให้ได้ฝึกซ้อมย่อมต้องน่าเบื่ออย่างแน่นอน นางจึงได้เดินออกไป ยื่นมือไปเปิดประตูเรือนออก

 

 

ถังมู่เฉินที่สวมชุดสีขาวนวลทั้งตัวยืนอยู่กลางประตู ส่งยิ้มกว้างหน้าตาแจ่มใสมองมา “น้องข้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใจร้ายปล่อยให้พี่ต้องเฝ้าห้องอยู่เพียงลำพังหรอก”

 

 

เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินงับประตูปิดเข้าไปใหม่ก็รีบแทรกตัวเข้าไปในทันใด

 

 

“โอ้ มีต้นท้อด้วยหรือ น้องข้า เจ้าเอามาจากที่ใดกัน ในเรือนผุพังของข้าแม้แต่หญ้าสักต้นก็ยังไม่มี”

 

 

“ข้ามีเรือนยาอยู่ติดตัวไม่ใช่หรือ ย้ายออกมาจากในนั้น” มั่วชิงเฉินตอบ

 

 

สายตาของถังมู่เฉินเป็นประกาย “ใช่แล้ว น้องข้าเจ้ายังมีสิ่งนี้นี่ มิเช่นนั้นไม่สู้ว่าเอายาวิเศษในนั้นออกมา…”

 

 

“ล้วนไม่มีราคา” ประโยคเดียวของมั่วชิงเฉินทำให้เขาพูดอะไรต่อไม่ออก

 

 

“น้องข้า ข้าไปถามมาแล้ว จากตรงนี้บินไปทางตะวันออกไม่ถึงสามหมื่นลี้จะเป็นเขตทะเลเดือด ตรงนั้นมีสัตว์อสูรอยู่มาก เป็นสถานที่ที่นักล่าชอบไปกันมาที่สุด อ้อ ที่นี่เรียกคนที่ไล่ฆ่าสัตว์อสูรว่านักล่า ว่าอย่างไรเล่า ไม่สู้ว่าพวกเราไปที่นั้น กำจัดล่าสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งมาแลกกับเอาหินพลังวิญญาณมาใช้” ถังมู่เฉินหัวเราะชอบใจพลางพูดออกมา

 

 

การไปเขตทะเลือดกำจัดล่าสัตว์อสูรย่อมต้องไปอย่างแน่นอน ไม่ต้องบอกว่าตอนนี้ยากจนจนเศษเหรียญกระทบเสียงดังไปมา ต่อให้เป็นคนร่ำรวยก็ต้องไปสักครั้งเช่นเดียวกันเพื่อสัมผัสความแตกต่างระหว่าสัตว์อสูรที่นี่และแผ่นดินใหญ่เทียนหยวน แต่มั่วชิงเฉินยังไม่อยากไปตอนนี้

 

 

มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า ‘ใช้เวลาในการลับมีด ไม่ทำให้งานตัดฝืนเสร็จช้าลง’ ตอนนี้ในมือพวกเขาว่างเปล่า ไม่มีอะไร จะไปก็มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนถึงได้กล้าไปเหยียบเขตทะเลดือด แล้วยังเป็นสถานที่แปลกถิ่นของจริง ไม่ได้ปลอดภัยแต่อย่างไร

 

 

นางอยากจะเตรียมยาวิเศษจำนวนหนึ่ง และซื้อกล่องหยกประเภทต่างๆ จากนั้นก็เอาเขี้ยวของปลากระหายกระดูกขั้นหกไปหลอมเป็นกริช

 

 

นางพูดความคิดของตนเองออกไป ดวงตาเรียวรีของถังมู่เฉินถลึงเบิกกว้าง “น้องข้า ความคิดเจ้าช่างดีเหลือเกิน แต่จะไปเอาหินพลังวิญญาณมาจากที่ใด เม็ดพลังของปลากระหายกระดูกขั้นหกขายได้สามพันก้อนหินพลังวิญญาณ ตอนนี้คงเหลือแค่ร้อยกว่าก้อนเท่านั้นกระมัง”

 

 

“ร้อยกว่าก้อนอะไรกัน ไม่เหลือแล้ว นอกจากเตาหลอมยาแล้วข้ายังซื้อวัตถุดิบจำนวนหนึ่งอีก” มั่งชิงเฉินพูดเย้า

 

 

“เจ้า เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร ไม่ใช่ว่าจะหลอมยาหรอกนะ” ถังมู่เฉินตื่นตะลึง

 

 

มั่วชิงเฉินมองเขาด้วยความอึดอัดใจทีหนึ่ง “เจ้าจะตกใจขนาดนี้ทำไมกัน ไม่หลอมยาแล้วข้าจะซื้อหนังสือและเตาหลอมมาทำไมกัน”

 

 

ถังมู่เฉินพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “น้องข้า เจ้าดูซิว่าวิชาการหลอมยาที่นี่แตกต่างจากวิชาของพวกเราอย่างมาก เจ้าอยากฝึกฝีมือก็ต้องไม่ใช่เวลานี้ นี่ นี่มันไม่ได้เอาเงินไปโยนทิ้งเล่นๆ หรืออย่างไร”

 

 

มั่งชิงเฉินเหลือบมองถังมู่เฉินพลางหัวเราะออกมา “สหายเต๋าเชียนหัน จะบอกว่าโยนเงินทิ้ง แต่อย่างไรก็ไม่ได้เร็วไปกว่าตอนที่อยู่กับเจ้าหรอก”

 

 

พูดถึงเรื่องนี้ถังมู่เฉินก็รีบเงียบปากไม่พูดอะไรออกมาอีกในทันใด

 

 

มั่วชิงเฉินหยิบ ‘สนทนาอสูรมารในเซิงโจว’ ส่งไปมา “รออีกหนึ่งเดือนแล้วค่อยออกไปก็แล้วกัน หากเจ้าเบื่อหน่ายก็เอาเล่มนี้ไปอ่านก่อน หรือเจ้าจะออกไปก่อนก็ย่อมได้”

 

 

ถังมู่เฉินรับม้วนหนังสือไป กระพริบตาปริบพูดว่า “พี่ชายรอเจ้าก็แล้วกัน หลังจากนี้หนึ่งเดือนข้าจะมาเคาะประตูนะ”

 

 

หลังจากถังมู่เฉินจากไป มั่วชิงเฉินก็กลับไปจมอยู่ในภวังค์ของ ‘คัมภีร์รวมยา’ เช่นเดิม

 

 

นางอ่านอยู่เช่นนี้อย่างไม่รู้วันคืนจนผ่านไปอีกสองวัน มั่วชิงเฉินแอบออกไปตลาดมารอบหนึ่งซื้อวัตถุดิบราคาถูกจำนวนหนึ่งกลับมา จากนั้นก็ใช้วิชาหลอมยาแบบใหม่ทั้งหมดในการหลอมยาวิเศษที่ใช้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน

 

 

เพราะระดับของยาไม่ได้สูง และพรสวรรค์ในการปรุงยาของมั่วชิงเฉินนั้นก็ล้ำหน้าคนอื่น บวกกับผลข้างเคียงของไฟแก้วบริสุทธิ์และประสบการณ์ที่ล้นเหลือกว่าสิบปี ล้มเหลวไปเพียงสามเตาแล้วก็ค่อยๆ จับทิศทางของเคล็ดลับได้ จากนั้นยาวิเศษของผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานก็แทบจะออกมาทุกการหลอมแล้ว

 

 

นางกลับไปที่ตลาดอีกครั้งได้นำยาเหล่านี้ออกขายด้วยความถ่อมตัว ซื้อเม็ดพลังของพยัคฆ์แดงและวัตถุดิบเสริมอีกจำนวนหนึ่งเพื่อเริ่มฝึกหลอมยาบำรุง

 

 

เม็ดพลังของพยัคฆ์แดงขั้นห้าใช้หนึ่งพันก้อนหินพลังวิญญาณซื้อมา มั่วชิงเฉินซื้อไปทั้งหมดสามเม็ดและยังมีวัตถุดิบเสริมอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับใช้หินพลังวิญญาณทั้งหมดที่ในมือไปจนหมดเกลี้ยง

 

 

แต่เม็ดพลังหนึ่งเม็ดสามารถแบ่งออกเป็นยี่สิบส่วน หลอมยาได้ยี่สิบเตา

 

 

จำนวนเต็มของยาบำรุงพลังวิญญาณมียี่สิบเม็ดต่อเตา หากนำไปขายหนึ่งเม็ดมีราคายี่สิบก้อนหินพลังวิญญาณ หากทั้งยี่สิบเตาล้วนเป็นจำนวนเต็มก็จะเท่ากับสี่หมื่นก้อนหินพลังวิญญาณ

 

 

แต่อัตราการหลอมยาสำเร็จของนักหลอมยาปกติแล้วอยู่ที่สามถึงสี่ส่วน อย่างเก่งก็คือห้าและหกส่วน นี่ยังเป็นอัตราของการหลอมยาธรรมดาทั่วไป หากเป็นระดับสูงอัตราอยู่ที่หนึ่งถึงสองส่วนก็มี

 

 

ต่อให้ออกมาเป็นยาเม็ด จำนวนที่ออกมาได้ก็ไม่สม่ำเสมอเท่ากัน หลอมทั้งหมดสิบเตามีครั้งหนึ่งที่ออกมามีจำนวนเต็มเตาก็ถือว่าโชคดีครั้งใหญ่แล้ว โดยส่วนใหญ่มักจะออกมาประมาณสิบกว่าเม็ด พอคิดเช่นนี้ก็จะได้รับประมาณแปดพันก้อนหินพลังวิญญาณ

 

 

ตัดต้นทุนของเม็ดพลังและวัตถุดิบเสริม พอคำนวณแล้วก็จะได้รับประมาณหกพันก้อนหินพลังวิญญาณ

 

 

ความร่ำรวยของนักหลอมยายอดเยี่ยมนั้นเป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วไป แต่กว่าจะเดินมาถึงขั้นนี้ได้กลับไม่รู้ว่าต้องสูญเสียหินพลังวิญญาณไปมาเท่าไรและใช้เวลาเท่าไรในการสั่งสม

 

 

เวลาครึ่งเดือนผ่านไป มั่วชิงเฉินลืมวันลืมคืน ไม่หยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว สุดท้ายนางก็หลอมยาบำรุงพลังวิญญาณออกมาได้หกสิบเตา นางรู้สึกปวดหัวอยู่เล็กน้อย จิตวิญญาณถูกใช้ไปเกินขีดจำกัด

 

 

ยาบำรุงพลังวิญญาณหกสิบเตานี้เสียหายไปสิบห้าเตา อัตราความสำเร็จในการหลอมมีมากกว่าเจ็ดส่วนนั้นสูงจนน่าตกใจแล้ว พอมาคำนวณดูออกมาทั้งหมดห้าร้อยกว่าเม็ด หากนำออกขายในราคาตลาดก็จะเป็นห้าหมื่นก้อนหินพลังวิญญาณ ได้รับกำไรประมาณสี่หมื่นสี่พันก้อนหินพลังวิญญาณ

 

 

ตอนที่มั่วชิงเฉินอยู่ที่เหยากวงก็เคยนำโอสถวิญญาณออกไปขายเช่นเดียวกัน แต่กลับไม่เคยหลอมยาอย่างบ้าคลั่งเหมือนตอนนี้ แน่นอนว่ามีสาเหตุมาจากความขัดสนในตอนนี้ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือการใช้การหลอมยาแต่ละครั้งซ้ำไปมาเรียนรู้ความลับในการปรุงยา เร่งทำความเคยชินกับวิธีการหลอมยาแบบใหม่ของที่นี่

 

 

เมื่อมีความรู้ในสิ่งหนึ่งก็สามารถรู้และเข้าใจถึงแขนงวิชาใกล้เคียงไปด้วย แม้ยาบำรุงพลังวิญญาณจะเป็นยาระดับมาตรฐาน แต่ก็ยังได้เรียนรู้แก่นแท้ของการปรุงยา เพราะการหลอมยาอย่างไม่รู้วันคืนนี้ทำให้นางมีความมั่นใจในวิธีการหลอมยาแบบใหม่อยู่หลายส่วนแล้ว

 

 

เสียงเสียดสีของการผลักประตูดังขึ้น เห็นเพียงอีกาไฟนั่งยองๆ อยู่บนกิ่งต้นท้อหลับตาพักผ่อนอย่างสบายใจ เจ้าเขาน้อยนอนกรนอยู่ใต้ต้นท้อ มีเพียงผึ้งโลหิตหยกเหล่านั้นที่ยังขยันขันแข็ง ยุ่งวุ่นวายกับการเก็บน้ำผึ้ง

 

 

แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างแยงตาจนต้องหรี่ตาลง ชั่ววินาทีนั้นมั่วชิงเฉินรู้สึกว่าจิตใจนิ่งสงบและสวยงามอย่างแปลกประหลาด เหมือนว่าสถานที่ที่นางอยู่ไม่ใช่ที่พักซอมซ่อชั่วคราวในเมืองแปลกที่ห่างไกล แต่เป็นยอดลั่วเถา

 

 

จู่ๆ มั่วชิงเฉินก็เกิดความทอดถอนใจ แท้จริงแล้วนางได้เติบโตออกมาได้ไกลกว่าที่ตนเองคิดไว้ ความกังวล ความคิดถึง ความทรงจำที่ลึกซึ้งและคนหรือสถานที่ที่ผูกพันธ์เหล่านั้น นางยังคงไม่ลืม แต่ไม่ได้เป็นข้อแม้ของตัวเธออีกต่อไป

 

 

ตอนที่นางเป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานนางคิดอยู่เสมอว่าเมื่อเข้าระดับก่อแก่นปราณจะอยู่ในพรรค เพราะเหยากวงเป็นสถานที่ที่มอบความปลอดภัยให้แก่นาง แต่ตอนนี้หากนางคิดจะไปเข้าสู่ระดับก่อกำเนิด แต่จะไม่คิดยึดมั่นว่าเป็นที่ใดอีก เพราะนางเติบโตแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ต่อให้ตกต่ำถึงขั้นไม่เหลือเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียวก็ยังสามารถอาศัยสองมือของตนหากลับมาได้

 

 

ความรู้สึกปลอดภัยของนางไม่จำเป็นต้องมาจากสถานที่หรือว่าใครอีกต่อไป เพราะที่พึ่งพิงที่ดีที่สุดของนางก็คือตนเอง!

 

 

ทุกเรื่องพึ่งตนเอง นี่เป็นความคิดในการดำเนินชีวิตของนางมาโดยตลอด ตราบจนเข้าสู่ระกับก่อแก่นปราณ ตราบจนวินาทีที่เดินออกจากประตูนี้ นางถึงรู้สึกว่าพูดออกมาแล้วในใจไม่มีคลื่นลมอีกต่อไป ใจสงบไม่สั่นไหว

 

 

ถังมู่เฉินที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวรีบเข้ามา เห็นมั่วชิงเฉินยืนเหม่อลอยอยู่ตรงบันได รอจนนางได้สติกลับมาแล้วถึงได้ยิ้มแย้มพูดขึ้นว่า “น้องข้า ไม่ได้บอกว่าอีกหนึ่งเดือนให้หลังค่อยเจอกันหรอกหรือ เหตุใดตอนนี้ถึงออกมาเล่า”

 

 

“ไปตลาด” มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ

 

 

ถังมู่เฉินตะลึงไป นานมาแล้วที่เขาไม่ได้เห็นสีหน้าดีๆ ของสตรีผู้นี้ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

พอคิดเช่นนี้กลับเกิดรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา พูดอย่างลังเลว่า “ไปตลาดทำอะไร”

 

 

“ขายยา” มั่วชิงเฉินตอบด้วยท่าทีขบขัน ทำไมพอเห็นท่าทางของถังมู่เฉิน แล้วเหมือนว่าตนเองจะขายเขาเสียอย่างนั้น