บทที่ 242 ศพหญิงสาว
สวี่ชีอันไม่ได้รอคำตอบจากเว่ยเยวียน แต่รอพวกฆ้องทองคำมาถึงก่อน ร่างที่เปี่ยมด้วยพลังปราณแข็งแกร่งปรากฏขึ้นที่ชั้นเจ็ดทีละคนสองคน ซึ่งสองคนในจำนวนนั้นเป็นคนที่คุ้นหน้าค่าตากันอยู่แล้วด้วย
หนานกงเชี่ยนโหรวและจางไคไท่
“เว่ยกง ไม่เป็นอะไรนะขอรับ”
ฆ้องทองคำรูปร่างสูงใหญ่กำยำ มือถือค้อนสีม่วงทอง ตาโตดุจระฆังทองแดงมองไปรอบๆ ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่ง
“ข้าน้อยและคนอื่นๆ บกพร่องในหน้าที่ จนไม่พบการรุกรานจากศัตรูภายนอก เว่ยกงโปรดอภัยด้วย”
จางไคไท่พูดพลางแผ่พลังจิต เพื่อตรวจหาอันตรายและศัตรูที่อาจยังคงอยู่
ไม่นาน บรรดาฆ้องทองคำผู้มากประสบการณ์ก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
ประการแรก ด้วยพื้นฐานจากการฝึกในระดับหลอมวิญญาณ หากบริเวณโดยรอบเกิดวิกฤติขึ้น จิตสัมผัสต้องส่งสัญญาณกลับมา แต่นี่ไม่มีเลย หอเฮ่าชี่กลับมาอยู่ในความสงบ เหลือเพียงเหล่าเจ้าพนักงานในอาคารที่ยังตกอยู่ในความหวาดหวั่น
ประการที่สอง หากศัตรูที่แข็งแกร่งรุกราน แล้วยังสามารถปิดบังการรับรู้ของพวกเขาได้ ป่านนี้เว่ยกงคงไม่อยู่รอดปลอดภัยเช่นนี้แน่นอน
เว้นแต่ว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างจะเป็นความจริง ที่ว่าข้างกายเว่ยกงมียอดฝีมือในเงามืดคอยพิทักษ์อยู่รอบกาย
ข้อสันนิษฐานนี้เกิดขึ้นในใจของฆ้องทองคำจำนวนมาก แต่ไม่มีใครนึกถึงสวี่ชีอันเลย เหตุผลช่างง่ายดาย เพราะดในสายตาของฆ้องทองคำทุกคนมองว่าจิตเดิมของเขานั้นไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้น แต่เสียงคำรามเรียบๆ แต่ทรงพลังเมื่อครู่นั้นช่างน่าตะลึงจริงๆ
คนที่เพิ่งก้าวสู่ระดับหลอมวิญญาณไม่มีทางเปล่งออกมาได้อย่างแน่นอน
ในตอนนั้นเอง พวกเขาได้ยินหนานกงเชี่ยนโหรวถามสวี่ชีอันว่า “เมื่อครู่เจ้าเป็นคนก่อกวนใช่หรือไม่”
หนานกงเชี่ยนโหรวรู้ว่าสวี่ชีอันไม่ใช่ระดับหลอมวิญญาณธรรมดา
ก่อกวนอะไร ข้าไม่ใช่หนิงไฉ่เฉินเสียหน่อย… สวี่ชีอันมองไปที่เว่ยเยวียน เห็นเขาพยักหน้า จึงยอมรับอย่างผ่าเผย “ข้าเอง เมื่อครู่เว่ยกงต้องการทดสอบความแข็งแกร่งจิตเดิมของข้า ข้าจึงลองคำรามเล่นๆ”
ในห้องน้ำชา ตกอยู่ในความเงียบสงัดชั่วครู่
บรรดาฆ้องทองคำมองเขาเงียบๆ ใบหน้าปราศจากความรู้สึก
ผ่านไปเป็นเวลานาน จางไคไท่จึงพูดหยั่งเชิงว่า “สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าเลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณที่อวิ๋นโจวสินะ”
ตั้งแต่ตอนที่จดหมายลับของเจียงลวี่จงส่งกลับมายังเมืองหลวง พวกเขาก็รู้แล้วว่าสวี่ชีอันได้เลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณ ตอนนั้นที่เว่ยกงพูดถึงเรื่องนี้เขาอารมณ์ดีมาก
แต่ถึงกระนั้น เขาก็เลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณได้เพียงครึ่งเดือนกว่า ความเคลื่อนไหวของจิตเดิมที่รุนแรงและบริสุทธิ์เช่นนี้ ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ทหารระดับหลอมวิญญาณพึงมี
ความสามารถระดับนี้ ช่างน่าทึ่งจริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของบรรดาฆ้องทองคำที่มองสวี่ชีอันก็เหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์วัตถุประหลาด
“จู่ๆ ข้าก็เข้าใจเจียงลวี่จงและหยางเยี่ยนขึ้นมาทันที ว่าทำไมจะต้องตีกันนัวเพื่อเขา” ฆ้องทองคนหนึ่งพึมพำออกมา ในที่สุดก็ถึงบางอ้อ!
สายตาของฆ้องทองคำลุกเป็นไฟยิ่งกว่าเดิม
“พวกเจ้าอย่าเข้าใจผิด…” สวี่ชีอันโบกมือไปมา “ข้าเพิ่งได้เลื่อนเป็นระดับหลอมวิญญาณในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนตายเท่านั้น”
เรื่องนี้…บรรดาฆ้องทองคำสำรวจเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นพร้อมกันว่า “เว่ยกง…”
เว่ยเยวียนส่ายหัว “สวี่ชีอันยังคงอยู่ใต้บังคับบัญชาของหยางเยี่ยน พวกเจ้าอยากได้ตัวเขา ต้องไปคุยกับหยางเยี่ยนเอาเอง”
“ตกลงตามนี้”
นอกจากหนานกงเฉียนโหรวแล้ว ฆ้องทองคำทั้งหกพูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
ข้าจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของใครก็ไม่สำคัญ แต่ว่ามันไม่ยุติธรรมกับฆ้องทองคำหยางเกินไปหรือไม่…. สวี่ชีอันอธิษฐานว่าหยางเยี่ยนจะกลับเมืองหลวงช้าหน่อย อย่างน้อยก็รอจนกว่าเรื่องร้อนจะผ่านไปก่อน ลองคิดดูหากฆ้องทองคำหยางผู้ปราบปรามกบฏอยู่ข้างนอก เดินทางไกลแสนไกลกลับเมืองหลวง สิ่งที่ต้อนรับเขาไม่ใช่เสียงไชโยโห่ร้อง แต่กลับเป็นหมัดของเพื่อนร่วมงาน และได้รู้ว่าเบื้องหลังเรื่องราวนี้คือการแทงข้างหลังของเจียงลวี่จง
จางไคไท่เดินไปที่ห้องสังเกตการณ์ มองออกไปด้านนอก แล้วพูดอย่างจนใจว่า “หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและองครักษ์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ที่ชั้นล่าง”
เว่ยเยวียนกล่าวว่า “แยกย้ายเถอะ เรื่องนี้รู้กันแค่พวกเจ้าก็พอ อย่าแพร่งพรายออกไป”
“ขอรับ!”
…
รอจนกระทั่งองครักษ์และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลด้านนอกสลายตัวแล้ว สวี่ชีอันก็ดื่มชาอย่างช้าๆ จากนั้นจึงขอตัวไปจากหอเฮ่าชี่ กลับไปที่ห้องชุนเฟิง
อาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยกำลังนั่งรอที่โต๊ะ ส่วนสวี่หลิงอินนอนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของแม่และผล็อยหลับไป
“พี่ใหญ่ ท่านไปไหนมา” สวี่หลิงเยวี่ยเดินเข้ามาหา คิ้วขมวด ในใจยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย
“เหตุใดเมื่อครู่จึงมีเสียงฟ้าร้องได้เจ้าคะ ท่านแม่และหลิงอินตกใจกันยกใหญ่เลย”
สวี่หลิงเยวี่ยเป็นน้องสาวที่มีความคิดแยบคาย และเจ้าเล่ห์เล็กน้อย เมื่อครู่นางเองก็ตกใจจนหน้าซีด แต่อยู่ต่อหน้าพี่ชายคนโต นางต้องรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบไว้ จึงใช้น้องสาวและแม่เป็นข้ออ้างอย่างชาญฉลาด
“ฟ้าร้องในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เป็นเรื่องธรรมดา” สวี่ชีอันหยิบตั๋วเงินใบละหนึ่งร้อยตำลึงออกมาจากหน้าอก แล้วพูดว่า “เหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว นี่เป็นค่าชดใช้ที่สกุลจ้าวให้มา เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องสนใจแล้ว”
อาสะใภ้มองตั๋วเงิน ไม่อยากเชื่อสายตา “ให้ข้าหรือ”
สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างแรง “อาสะใภ้จัดการทุกอย่างเพื่อครอบครัวอย่างยากลำบาก นี่เป็นสิ่งที่ท่านควรจะได้รับ เสียดายที่มีเพียงแค่หนึ่งร้อยตำลึง เพราะที่พึ่งเบื้องหลังของเขาก็ไม่ธรรมดาเลย”
อาสะใภ้รับตั๋วเงินมา มองหน้าเขา รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “หนิงเยี่ยนเอ๋ย ความจริงอาก็แค่ชอบบ่นไปเรื่อยก็เท่านั้น คำพูดบางคำที่ไม่น่าฟัง เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเลย”
“ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น” สวี่ชีอันพูดอย่างจริงใจ
“อ้อ จริงสิ คืนนี้ข้ามีธุระ ไม่กลับบ้านนะ”
“มีธุระหรือ” อาสะใภ้เก็บตั๋วเงินแล้วเอ่ยถาม “ตั้งแต่เจ้ากลับมาจากอวิ๋นโจว ก็ไม่ได้พักผ่อนที่บ้านเลยสักวัน มีธุระอะไรรึ”
สวี่ชีอันพูดว่า “เจรจาการค้าขนาดใหญ่ ลงทุนกับภูเขาสองลูก พัฒนาหุบเขา ลงทุนทองคำจำนวนนับไม่ถ้วน”
“พี่ใหญ่พูดจาเพ้อเจ้อ เมื่อคืนท่านไม่ได้กลับจวน คืนนี้คงไม่เลี้ยงสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานอีกนะ” สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ตามสัญชาตญาณของผู้หญิง นางถามว่า “ท่านพ่อบอกว่าพี่ใหญ่ชอบไปสำนักสังคีต”
“ไป ไป ไป” อาสะใภ้ตวาดนาง “พี่ใหญ่ไม่ใช่คนแบบนั้น เอ้อร์หลางโน่นชอบสำมะเลเทเมา พี่ใหญ่ของเจ้าไม่เถลไถลหรอก”
“ถ้าเช่นนั้นพี่ใหญ่สาบานกับข้าก่อน ว่าไม่เคยไปสำนักสังคีต” สวี่หลิงเยวี่ยเม้มริมฝีปาก ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยแววดื้อรั้น
ไม่ใช่แล้ว เจ้าเป็นน้องสาว มีสิทธิ์อะไรมาคาดคั้นกับข้า… สีหน้าของสวี่ชีอันเคร่งขรึม กล่าวสาบานว่า
“ข้าสวี่ชีอัน ไม่เคยใช้เงินที่สำนักสังคีตเลย”
สวี่หลิงเยวี่ยยิ้มหวาน ดวงตาเป็นประกาย
“หลิงเยวี่ย กลับถึงบ้านแล้วเจ้าก็ถามเอ้อร์หลางแบบนี้ได้เช่นกัน” สวี่ชีอันรู้สึกไม่เท่าเทียม จึงพูดยุยงว่า “ข้าเชื่อว่าเอ้อร์หลางก็เหมือนข้า เป็นสุภาพบุรุษเปิดเผยเช่นกัน”
“แน่นอนว่าเอ้อร์หลางไม่มีวันไปที่สำนักสังคีตอย่างแน่นอน” อาสะใภ้มั่นใจอย่างยิ่ง ในใจคิดว่า รอสวี่ผิงจื้อกลับบ้านคืนนี้เสียก่อน ตนจะถามแบบนี้เช่นกัน ดูซิว่าเขาจะกล้าสาบานหรือไม่
หลังจากส่งอาสะใภ้และน้องสาวกลับไปแล้ว สวี่ชีอันก็วางแผนกลับไปเอาตราประทับทองคำคืนจากสำนักชิงอวิ๋น แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนนำมันมาคืนแล้ว
“ใต้เท้าสวี่ ผู้บัญชาการมือปราบหลี่ว์ชิงแห่งที่ว่าการเมืองมาขอพบขอรับ” เจ้าพนักงานของห้องชุนเฟิงเข้ามารายงาน
“เชิญนางไปที่ห้อง” สวี่ชีอันหันหลังกลับแล้วเข้าไปในห้องทำงานของศิษย์พี่ชุนอีกครั้ง
ต่อมาไม่นาน หลังจากนั่งอยู่ที่หลังโต๊ะเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบ ราวกับกำลังไล่ตามอะไรบางอย่าง ต่อจากนั้น มือปราบหญิงท่าทางกระฉับกระเฉงก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในห้อง
ทันทีที่เห็นสวี่ชีอัน หลี่ว์ชิงซึ่งมีใบหน้างดงามฉายแววประหลาดใจระคนตื่นเต้น ก็ตกตะลึงทันที จ้องมองเขาด้วยความกังขา
สวี่ชีอันก็พินิจพิเคราะห์สหายที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน ดวงตาของนางสดใส ผิวคล้ำเล็กน้อย จมูกโด่ง ตาโต ปากน้อยๆ แดงเปล่งปลั่ง ดูเหมือนการบำเพ็ญจะก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง
ความน่าเกรงขามในตัวก็มีมากกว่าเมื่อก่อน
“หัวหน้ามือปราบหลี่ว์ ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีหรือไม่” สวี่ชีอันยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นต้อนรับ
“ใต้ ใต้เท้าสวี่?” หัวหน้ามือปราบหลี่ว์จ้องหน้าสวี่ชีอันอย่างจริงจัง
“กินยาคืนชีพที่อวิ๋นโจว จึงรอดตายมาได้ เพียงแต่รูปร่างหน้าตาก็เปลี่ยนไปด้วย” สวี่ชีอันอธิบาย
หลี่ว์ชิงพยักหน้า ฝืนยิ้มเล็กน้อย หยิบตราประทับทองคำออกมาจากอกเสื้อแล้วพูดว่า “เจ้าพนักงานจับกุมแห่งที่ว่าการเมืองเล่าเรื่องที่สำนักศึกษาให้ข้าฟังแล้ว ข้าตัดสินใจส่งหัวหน้ามือปราบจูกลับไปแล้ว และนำตราประทับทองคำมาคืนใต้เท้าสวี่ด้วยตัวเอง และถือโอกาสมาเยี่ยมเยียนด้วย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ใต้เท้าสวี่คงยอมให้ข้าได้นะ”
ขณะที่พูด ดวงตาที่งดงามของหลี่ว์ชิงก็จ้องหน้าสวี่ชีอันไม่กะพริบ หากใบหน้าของเขาแสดงความไม่พอใจใดๆ ออกมา ตนเองจะรีบขอโทษอย่างรวดเร็ว หลังจากส่งคืนตราประทับทองคำแล้วก็จะจากไป
“ตราประทับทองคำไม่สำคัญ” สวี่ชีอันโยนตราประทับทองคำลงบนโต๊ะ พูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ได้เจอกันนาน คืนนี้ดื่มด้วยกันดีไหม”
หลี่ว์ชิงส่ายหน้าปฏิเสธ “ใต้เท้าสวี่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้หญิงนะ…”
ถ้าเจ้าเป็นผู้ชาย ประโยคที่ข้าพูดเมื่อกี้ต้องเป็น ‘ไปดื่มเหล้าที่สำนักสังคีตกัน’ สวี่ชีอันพึมพำในใจ
ทั้งสองดื่มชาพลางพูดคุยไปพลางจนลืมเวลา จนกระทั่งเสียงเกราะบอกเวลาเลิกเวรดังขึ้น ทันใดนั้นหลี่ว์ชิงจึงคืนสติจาก ‘ความงาม’ ของสวี่ชีอัน ลุกขึ้นยืนแล้วกุมหมัด “ข้าน้อยขอตัวก่อน”
สวี่ชีอันไปส่งนางที่ประตูที่ทำการ มองตามหลังรูปร่างแช่มช้อยของมือปราบสาว แล้วก็อดลูบคางไม่ได้
ดูเหมือนหลี่ว์ชิงจะสนใจข้านะ ซ่งถิงเฟิงพูดอยู่เสมอว่านางยังไม่ได้แต่งงาน แม้ว่าในยุคนี้นางจะเป็นสาวแก่อายุมาก แต่สำหรับข้า ผู้หญิงในช่วงอายุไม่ถึงสามสิบ เป็นช่วงที่ดีที่สุดอย่างแท้จริง
“ช่างเถอะ หลี่ว์ชิงเป็นผู้หญิงที่ดี ต่างจากผู้หญิงในสำนักสังคีต โลกของผู้หญิงที่ดีไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการจะเข้าก็เข้า จะออกก็ออก เจ้าจะต้องเข้าๆ ออกๆ ไปเรื่อยๆ”
เรื่องนี้ สวี่ชีอันทำไม่ได้แน่นอน
…
ยามสายัณห์ สวี่ชีอันขี่ม้าวิ่งเหยาะๆ ไปตามถนนโบราณที่กว้างขวาง แล้วเข้าไปในสำนักสังคีต
ฝูเซียงป่วยเป็นไข้หวัด หน้ามืดวิงเวียน นอนอยู่บนเตียงใบหน้าซีดเซียว
เมื่อเห็นสวี่ชีอันเข้ามา ก็รู้สึกประหลาดใจมาก พยายามฝืนลุกขึ้น
ทำให้สวี่ผู้ชื่นชอบของฟรีรู้สึกกระดากมาก เขากดไหล่ของฝูเซียง แล้วตำหนิตัวเองว่า “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ข้าทำให้แม่นางต้องเหน็ดเหนื่อย”
ฝูเซียงตาปรือ ง่วงเหงาหาวนอน พูดเสียงนุ่มนวลว่า “หญิงสาวในหอ สวี่หลางเลือกได้ตามสบาย ให้พวกนางปรนนิบัติสวี่หลางแทนข้าน้อยเถิดเจ้าค่ะ”
ในห้องนอน นัยน์ตาของสาวใช้แสนสวยสามคนเป็นประกาย
สวี่ชีอันส่ายหน้า และปฏิเสธอย่างจริงจัง “แม่นางเป็นล้มป่วยไข้หวัด ข้าจะมีอารมณ์หาความสุขได้อย่างไร ข้าจะถ่ายทอดพลังปราณให้เจ้า”
พูดจบก็จับข้อมือของฝูเซียง ถ่ายทอดพลังปราณอย่างช้าๆ
พลังปราณสามารถทะลวงหลอดเลือด กระตุ้นพลังในร่างกาย บำรุงอวัยวะภายใน ทำให้ภูมิต้านทานของสาวเจ้าเพิ่มขึ้น ไข้หวัดเล็กน้อย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
‘แค่กๆๆ….’ ฝูเซียงไออย่างรุนแรง ใบหน้าสวยของนางแดงเถือก
หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ สีหน้าของนางก็ดีขึ้นมาก
“สวี่หลาง ข้าน้อยดีขึ้นมากแล้ว” แววตาฝูเซียงเป็นประกาย จ้องมองด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง สาวใช้ทั้งสามต่างก็มีสีหน้าเบิกบานเช่นเดียวกัน
นางหญิงดื่มยาแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น พอคุณชายสวี่มา สีหน้าก็ดีขึ้นทันที ความรู้สึกที่มีผู้ชายให้พึ่งพาช่างดีจริงๆ
“พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าอีกครั้ง” สวี่ชีอันจับแก้มนาง แล้วออกจากหออิ่งเหมย
หลังจากแน่ใจแล้วว่าเขาไปแล้ว ฝูเซียงก็ลืมตาและพูดเสียงเบาว่า “พวกเจ้าออกไปเถิด ไม่จำเป็นต้องให้ใครอยู่ในห้อง”
สาวใช้ทั้งสามขานรับแล้วก็ออกไป
ประตูห้องนอนปิดลงอย่างช้าๆ สีหน้าของฝูเซียงซึ่งก่อนหน้านี้ดีขึ้นแล้ว ก็เหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็ว
ในห้องนอน แว่วเสียงถอนหายใจลอยออกมาเบาๆ
…
สวี่ชีอันไปที่สำนักชิงฉือต่อ ที่นี่มีคณิกาอีกคนหนึ่งอาศัยอยู่…หมิงเยี่ยนนั่นเอง
คณิกาหมิงเยี่ยนรูปร่างอรชรกะทัดรัด เป็นสาวใต้ตามแบบฉบับ ครั้งก่อน ทั้งสองได้พูดคุยความในใจกันมากมาย
หมิงเยี่ยนเกิดทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซี ในช่วงที่ยังเป็นสาวแรกรุ่น ได้ย้ายตามบิดาที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งมาอยู่เมืองหลวง เดิมทีคิดว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการเลื่อนตำแหน่งรวดเร็ว แต่ผลที่ได้รับก็คือจุดจบที่แตกสลาย
ในปีต่อมา บิดาของนางถูกกำจัดเนื่องจากยืนผิดข้าง ถูกเนรเทศไปไกลสามพันลี้ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ส่วนหมิงเยี่ยนก็ถูกส่งเข้าไปในสำนักสังคีต
“ใต้เท้าสวี่!”
จากรายงานของบ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตู ได้รับรู้ว่าสวี่ชีอันมาเยี่ยมเยียน คณิกาที่สวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้า สวมเครื่องประดับศีรษะล้ำค่า แต่งกายสวยเพริศพริ้ง จึงเดินไปต้อนรับด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากได้เห็นสวี่ชีอัน รอยยิ้มก็เปลี่ยนเป็นงงงัน เกือบคิดว่าตัวเองจำผิดคน
“ไม่พบกันหนึ่งวันเหมือนห่างกันสามปี” สวี่ชีอันยิ้มและพยักหน้า “เรื่องการเปลี่ยนแปลงของหน้าตาเดี๋ยวค่อยคุยกัน ข้าไม่ได้เจอแม่นางหมิงเยี่ยนนานกว่าหนึ่งเดือน ดูเหมือนห่างกันสามภพสามชาติ…อา ที่แท้พวกเราเป็นคู่กันสามชาติหรือนี่”
ช่างพูดจาน่าฟังจริงๆ …คณิกาหมิงเยี่ยนดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า รอยยิ้มหวานหวานซึ้งยิ่งกว่าเดิม
เฮ้อ คำหวานที่ไร้ความรับผิดชอบเหล่านี้ นับวันข้ายิ่งพูดได้คล่องปาก… สวี่ชีอันรู้สึกละอายใจ
แต่ว่าสถานที่อย่างสำนักสังคีต เดิมทีก็เป็นที่ที่คนจัดเจนเข้ามามั่วสุมกันอยู่แล้ว ไม่มีที่ว่างสำหรับผู้ชายเถรตรง
คณิกาหมิงเยี่ยนนำสวี่ชีอันเข้าไปนั่ง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ทำไมคุณชายสวี่จึงไม่ได้ค้างที่หออิ่งเหมยล่ะเจ้าคะ” พูดพลาง มือหนึ่งก็หิ้วกาเหล้า อีกมือหนึ่งก็รวบแขนเสื้อ รินเหล้าให้สวี่ชีอัน
“เพราะคิดถึงแม่นางหมิงเยี่ยนอย่างไรเล่า” สวี่ชีอันตอบอย่างจริงใจ
คณิกาหมิงเยี่ยนหันหน้าไปด้วยความชื่นใจ สั่งสาวใช้ว่า “ปิดประตูสำนัก คืนนี้ไม่ประชุมชาแล้ว”
นางคลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนสวี่ชีอัน เงยใบหน้าที่สดใสขึ้นมองหน้าสวี่ชีอันด้วยความหลงใหล ไม่พบกันนานกว่าหนึ่งเดือน หน้าตาของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปอย่างมาก
หากกล่าวว่าเมื่อก่อนนางชื่นชอบในความรู้ความสามารถของเขา เช่นนั้นเวลานี้ คณิกาหมิงเยี่ยนก็อยากจะกลืนกินร่างกายของเขาเสียแล้ว
สวี่ชีอันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอวิ๋นโจวสั้นๆ อย่างฉะฉาน
“…ในเวลานั้น กองกำลังกบฏแปดพันคนได้ปิดล้อมโจมตีที่ทำการสมุหเทศาภิบาลของอวิ๋นโจว ผู้คนมืดฟ้ามัวดิน ใต้เท้าผู้ตรวจการถูกขังอยู่ในห้องโถง ชีวิตแขวนอยู่บนด้าย”
“ขณะที่อับจนหนทาง ข้าจำต้องสกัดอยู่เบื้องหน้ากลุ่มกบฏแปดพันคนด้วยดาบเพียงเล่มเดียว เข้ามาหนึ่งคนข้าก็ฆ่าหนึ่งคน เข้ามาสองคนข้าก็ฆ่าทั้งคู่ ใครจะสามารถบุกตะลุยได้ ข้าคิดว่าคงมีแต่ข้าสวี่ชีอันคนเดียวเท่านั้น”
“ข้าฟาดฟันศัตรูอยู่ครึ่งชั่วยามเต็มๆ โดยไม่กะพริบตา ในที่สุดก็ต้านทานไว้ได้จนกองหนุนมาถึง”
พูดไปพูดไป ทั้งสองก็พูดคุยจากห้องโถงมาถึงห้องนอน จากนั้นก็คุยกันไปถึงถังอาบน้ำ จากนั้นก็กลิ้งลงบนเตียง
“คุณชายสวี่ ตกลงกันแล้วว่าจะให้ข้าเต้นระบำให้ท่านดูมิใช่หรือ” หมิงเยี่ยนเบ้ปาก ทำท่าทางแง่งอนอย่างไม่พอใจ
“ถ้าเช่นนั้นก็เต้นระบำละตินสักเพลงก็แล้วกัน”
ณ สำนักชิงฉือ เตียงของคณิกาหมิงเยี่ยนถูกเขย่าจนดึกดื่น
…
วันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันผู้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าก็ออกจากสำนักชิงฉือ แล้วขี่ม้าไปที่พระราชวัง
จากระยะไกล เขาเห็นขันทีน้อยที่คอยดูแลเขายืนอยู่ไม่ไกลจากประตูวัง เดินกลับไปกลับมาด้วยความร้อนใจ
“โอ๊ะ ขันทีน้อยวันนี้ดูสุภาพเป็นพิเศษ”
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนหลังม้า ยิ้มหยอกล้อ
“ใต้เท้าสวี่ ในที่สุดท่านก็มาสักที” ขันทีน้อยรีบเดินมาหา เดินไปพูดไปว่า “เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องแล้ว เมื่อคืนนี้มีคนช้อนศพผู้หญิงขึ้นมาจากบ่อน้ำศพหนึ่ง”
……………………………………